อู๋เสอเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าร่างของซ่านอิงถูกควบคุม หลังจากคลำหาใต้ซีกโครงอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ดึงหนามไม้ยาวครึ่งฟุตออกมา ถือไว้ในมือแล้วถอนหายใจ “ทำไมเจ้าต้องมาเจอคนเช่นนี้ด้วย วิธีโหดร้ายเช่นนี้ก็ยังมีคนนำมาใช้ หนามไม้ควบคุมอวัยวะห้าจุดและปอดหกจุดของเจ้า รวมไปถึงหนัง กระดูกและเลือด หากทักษะแย่ไปนิดเจ้าคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ เป็นฝีมือของตาเฒ่าติงเหยี่ยนผิงล่ะสิ”
แม้ว่ามือและเท้าของซ่านอิงแทบจะขยับไม่ได้ แต่การดึงหนามไม้ออกนั้นก็ทำให้เขาผ่อนคลายลงได้บ้าง ร่างกายได้รับบาดเจ็บและอ่อนแรง หมาน้อยยกซ่านอิงใส่เปลหามแล้วให้ศิษย์น้องอีกสองคนช่วยกันแบก เขาหยิบกุญแจมือคู่หนึ่งออกมาจากหลังเอวของตัวเองจากนั้นก็ล็อกตัวซ่านอิงไว้กับเปล ขณะที่จัดการโซ่เหล็กก็พูดกับซ่านอิงที่รู้สึกผิดจนพูดอะไรไม่ออกในตอนนี้ว่า “ท่านโหวบอกว่า ‘จี้หยกหายแล้วก็หายไป เป็นความโชคร้ายเสียที่ไหน การถูกขโมยไปถือเป็นความโชคดีไม่ใช่เรื่องร้าย พวกเจ้าต้องพาซ่านอิงกลับมาให้ข้า หากเจ้านั่นจะตายก็ต้องตายอย่างมีศักดิ์ศรี หรือหากยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องได้รับโทษ บางทีเมื่อพาติงเหยี่ยนผิงหนีไปแล้วเขาก็อาจจะหายตัวไป พวกเจ้าต้องจับตัวเขามาให้ข้า’ เป็นอย่างไรล่ะ ท่านโหวดีต่อเจ้าจนพูดไม่ออกเลยล่ะสิ คุณหนูต้ายาก็มาขอพบอาจารย์ข้าโดยเฉพาะเพื่อขอให้พาเจ้ากลับมาโดยสวัสดิภาพ
ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงโชคร้ายเช่นนี้ แบกตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั้นไว้บนหลังตั้งหลายร้อยลี้แล้วยังถูกเขาหักหลัง ทิ้งไว้ให้ตายแทนเขา อาจารย์แบบนี้ไม่เห็นจะต้องมีเลย เจ้าดูอาจารย์ข้าสิ ตั้งแต่ข้าเคารพเขาเป็นอาจารย์ก็มีแต่ความโชคดี ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน”
เมื่ออู๋เสอได้ฟังใบหน้าเ**่ยวย่นของเขาก็แสดงความเมตตาออกมา มองซ่านอิงที่กำลังร้องไห้แล้วพูดกับบรรดาลูกศิษย์ว่า “พวกเจ้าดูไว้ว่าเจียงหูอันตรายแค่ไหน เสี่ยวอิงถือว่าเป็นคนฝีมือดี อาจารย์ของเขาต้องการจะควบคุมเขาแต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะมีความผูกพันเกิดขึ้นผลที่ได้จึงแตกต่างออกไปจากฝีมือ ความผูกพันเป็นสิ่งที่ทำร้ายคนได้มากทีเดียว ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องระมัดระวังให้ดี ดูเขาไว้เป็นบทเรียน ลูกศิษย์ในสำนักข้าต้องจำไว้ให้ดี ชีวิตมาเป็นอันดับหนึ่ง ชีวิตตัวเองจะต้องไม่อยู่ในกำมือของผู้อื่น แม้แต่อาจารย์ก็ไม่ได้”
ลูกศิษย์สองสามคนโค้งคำนับเป็นการตอบรับ จากนั้นก็แบกซ่านอิงออกไป อู๋เสอเดินอยู่ข้างหน้าสุด เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นขันทีสองคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มองไม่ออกว่าอายุเท่าใด เหมือนห้าสิบแต่ก็เหมือนสามสิบ ยืนทำความเคารพอู๋เสออยู่ที่บริเวณนั้น
“อาจารย์ ตอนนี้ชีวิตท่านดียิ่งกว่าเทพเซียนเสียอีก ออกไปท่องเที่ยวผจญภัยแล้วก็ฝึกสอนลูกศิษย์ ช่างน่าอิจฉาเสียจริง ได้ยินมาว่าท่านสามารถทำตามอำเภอใจได้ในภูเขาอวี้ซันด้วยหรือ”
อู๋เสอหัวเราะเสียงดัง หนึ่งปีผ่านมานี้เจ้าเด็กนี่เริ่มเหมือนผู้ชายมากขึ้นเรื่อยๆ แค่ไม่มีหนวดเครา ที่เหลือทั้งจิตวิญญาณและท่าทางก็แทบจะไม่ต่างไปจากผู้ชาย เขาพูดกับขันทีที่อยู่ใต้ต้นไม้ว่า “ข้าไม่สนใจสถานะของพวกเจ้า ที่นั่นพวกเจ้ามีกฎเกณฑ์มากมาย แต่อยู่ที่อวี้ซันเพียงแค่ข้าจ่ายเงินก็จะไม่มีใครมายุ่ง ข้าเตรียมจะสั่งสอนลูกศิษย์เพื่อในภายภาคหน้าจะได้มาส่งข้า แน่นอนว่าชีวิตผ่านไปอย่างมีความสุข หากพวกเจ้าต้องการจะตามหาติงเหยี่ยนผิงก็รีบเร่งเข้าเถิด ตาเฒ่านั่นจะต้องมีทางออกให้ตัวเองเป็นแน่ หากช้าจะตามไม่ทัน เรื่องจี้หยกข้าจะไม่ไปยุ่ง อวิ๋นโหวแค่ต้องการให้ข้าพาเจ้าเด็กนี่กลับไป”
ซ่านอิงยกแขนที่ไม่ได้ถูกล็อกไว้ขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ชี้ไปที่โพรงหญ้า ขันทีทั้งสองคนยกมือขึ้นคำนับอู๋เสอจากนั้นก็กระโดดลงไปบนโพรงหญ้าสีเหลืองที่เ**่ยวเฉา…
นกพิราบตัวหนึ่งบินมาที่กรงนกพิราบ เหล่าเฉียนแกะกระดาษออกมาจากขาของนกพิราบ เมื่อเปิดดูเสร็จก็รีบไปที่สวนหลังบ้านทันที เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าต้ายาก็เปิดหน้าต่างมองดูด้านนอกอีกครั้ง เมื่อเห็นเป็นพ่อบ้านจึงจะปิดหน้าต่างด้วยความตกใจ
เหล่าเฉียนหัวเราะแล้วพูดว่า “คุณหนู อาจารย์อู๋เสอเจอตัวซ่านอิงแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน ตอนนี้ควรวางใจได้แล้ว ข้าน้อยเคยบอกไว้แล้วว่าไม่มีเรื่องใดที่ท่านโหวทำไม่ได้”
ต้ายาได้ยินพ่อบ้านพูดหยอกล้อตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเขินอายแต่ก็หยุดน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความดีใจไม่ได้ ซินเย่วให้พ่อบ้านนำข่าวนี้ไปบอกกับท่านโหว ตัวเองโผเข้ากอดต้ายา ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ว่ากันว่าแต่งกับใครก็ต้องปรับตัวให้เข้ากัน สามีของเจ้าก็เหมือนกับลิงที่วิ่งเล่นไปทั่ว หลังจากนี้เจ้าก็ต้องทำใจยอมรับ น้องสาวผู้น่าสงสารของข้า จากนี้ไปความรักของเจ้าจะไม่มีวันสิ้นสุด”
อวิ๋นเยี่ยกำลังวาดเต่าอยู่บนโต๊ะ วาดไปแล้วหลายแผ่น พ่อบ้านไม่เข้าใจว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยต้องวาดหนึ่งแผ่นต่อหนึ่งตัว ยังเหลือที่ว่างอีกตั้งเยอะ สิ้นเปลืองกระดาษเสียจริง
แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าเต่าทุกตัวที่อวิ๋นเยี่ยวาดนั้นมีชื่อของมัน อย่างเช่นหัวหน้าเต่าที่วาดนั้นมีชื่อว่าหลี่ซื่อหมิน ส่วนตัวที่อ้วนหน่อยก็คือจั่งซุนอู๋จี้ ส่วนเต่าตัวนี้ที่ตาเยิ้มๆ หน่อยก็คือหลี่เซี่ยวกง บรรยากาศในต้าถังไม่ค่อยดี แต่ทำไมคนยังคงตามหาความเป็นอมตะอย่างไม่รู้จบ ในเมื่ออยากเป็นอมตะ เช่นนั้นทุกคนก็ไปเป็นเต่าเสียก็สิ้นเรื่อง สัตว์ชนิดนี้อายุยืนยาวอย่างมาก
ซ่านอิงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าจบลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนจี้หยกที่ติงเหยี่ยนผิงเอาไปนั้น หากตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเขาแล้ว ต่อให้มีคนที่ฉลาดเป็นกรดสามารถไขความหมายลายเส้นบนจี้หยกได้ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เชื่อว่าคนเหล่านั้นที่ตัวเองวาดเป็นเต่าหรือไม่ได้วาดก็ตามจะได้รับผลประโยชน์จากมันได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างก็พากันรนหาที่ตายทั้งนั้น พากันรีบตายก่อนกำหนดและรีบคลอดก่อนกำหนด เมื่อมีคนตายมากขึ้นไม่แน่อาจจะไม่มีใครสนใจไป๋อวี้จิงอีกต่อไปแล้วก็ได้
เมื่อซ่านอิงกลับมาตัวเองจะใจดีกับเขาไม่ได้แล้ว หากจะแสดงก็ต้องจัดให้เต็มชุดใหญ่ จะพลาดไม่ได้ บวกกับความรู้สึกผิดของซ่านอิง เพื่อที่เด็กคนนี้จะได้ไม่ก่อเรื่องงี่เง่าขึ้นมาอีก ต้องดัดนิสัยสักหน่อย มิเช่นนั้นชีวิตต่อจากนี้ของต้ายาคงจะลำบากน่าดู
ควบวั่งไฉไปที่สำนักศึกษา วันนี้นัดกับหลี่ไท่และไฮปาเทียเพื่อทำโครงการดีๆ ร่วมกัน โครงการนี้จะน่าสนใจก็ต่อเมื่อทำสำเร็จได้ด้วยตัวเอง การยืมมือคนอื่นทำเป็นเรื่องน่าเบื่อ
ล้อรถวิ่งทับใบไม้ที่ร่วงหล่นแล้วผ่านไปอย่างรวดเร็ว วั่งไฉอยากจะวิ่งรถเร็วอย่างวันนั้นแต่อวิ๋นเยี่ยไม่อนุญาต เอาแต่ตีก้นวั่งไฉให้มันวิ่งช้าลง ตัวเองจะไปรับไฮปาเทีย ดังนั้นจะวิ่งรถเร็วเหมือนคนบ้าไม่ได้
ทุกครั้งที่เห็นไฮปาเทีย อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกอยากจะเลียริมฝีปาก จู่ๆ ก็ริมฝีปากก็เกิดแห้งขึ้นมา เสื้อคลุมเปอร์เซียเป็นของดี หากเจาะรูสามรูเหมือนถุงแป้งจะดูดีแค่ไหน แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเลือกคาดเข็มขัดบนเอว ผ้าฝ้ายของต้าถังนั้นหายากและมีราคาแพง ไฮปาเทียจึงไม่ชอบผ้าฝ้าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผ้าลินิน ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ชื่นชอบผ้าบาติกเป็นที่สุด บอกว่าเมื่อสวมใส่แล้วความลื่นของเนื้อผ้าทำให้รู้สึกสบาย แต่ว่าผ้าบาติกมีข้อเสียคือมีไฟฟ้าสถิต ชอบแนบติดกับร่างกาย ในยุคที่ไม่มีน้ำยาซักผ้าป้องกันไฟฟ้าสถิต หุ่นที่งดงามของไฮปาเทียแค่เพียงคิดก็รู้ดีว่าสามารถดึงดูดเหล่าสัตว์ร้ายในสำนักศึกษาได้มากแค่ไหน
ไฮปาเทียกลับชอบความรู้สึกที่ได้เป็นจุดสนใจ ไม่เคยคิดจะแต่งกายให้มิดชิด ให้อาจารย์หลี่กังสั่งสอนไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว สุดท้ายก็ตักเตือนไฮปาเทียว่าหากยังกล้าทำตามอำเภอใจตัวเองก็จะระงับสิทธิ์ในการเข้าสอน หลังจากที่การอุทธรณ์เป็นโมฆะ ไฮปาเทียจึงต้องขอให้ซิวเย่วช่วยเย็บเสี้อผ้าในแบบของต้าถัง
วันนี้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่งตัวได้เหมาะสม สวมเสื้อปิดร่องลึกของหน้าอก แต่ความบางของผ้าไหมทำให้มองเห็นสองเม็ดเล็กๆ ได้อย่างชัดเจน
“อาจารย์ไฮปาเทีย ท่านช่วยสวมเสื้อผ้าให้หนาขึ้นหน่อยไม่ได้หรือ วันนี้อากาศหนาวระวังจะเป็นหวัด ควรจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”
ไฮปาเทียชี้ไปที่ขนสัตว์ในอ้อมแขนของสาวใช้ พูดอย่างได้ใจว่า “คนต้าถังอย่างพวกเจ้าคงจะหาวิธีคลายหนาวไม่ได้ ที่บ้านเกิดข้าเพียงแค่เสื้อคลุมตัวเดียวก็เพียงพอสำหรับเราในฤดูหนาว”
“เหลวไหล เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรจะใส่ต่างหากจึงทำได้เพียงร้องโอดโอยด้วยความเหน็บหนาว แล้วยังจะบอกว่าตัวเองไม่กลัวหนาว ข้าเคยเห็นคนที่บอกว่าไม่กลัวหนาวพากันรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนในตอนกลางคืน พอเช้าวันต่อมาก็พากันแข็งตายทั้งหมด”
“ข้าเคยเห็นความร่ำรวยของต้าถังมาแล้ว แต่ก็ไม่เชื่อว่าประเทศของพวกเจ้าจะไม่มีคนจน”
“แน่นอนว่าไม่มี เจ้าเห็นหรือว่ามีคนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นของข้าต้องแข็งตาย ชาวบ้านต่างพูดว่าในบ้านร้อนเกินไปไม่ค่อยชินเท่าไหร่”
“ท่านโหวตลอดกาลสุดที่รักของข้า ที่เจ้าพูดถึงเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย ไม่ได้หมายความว่าทั้งประเทศจะเป็นเช่นนั้นด้วย ท่านคิดว่าข้าคือคนโง่จากโรมันอย่างนั้นหรือ”
“ท่านอาจารย์ไฮปาเทีย หากเสื้อผ้าของท่านถูกสวมใส่โดยผู้หญิงของต้าถัง เช่นนั้นชะตากรรมชีวิตของผู้หญิงคนนี้คงจะหน้าเศร้า ชะตากรรมเดียวของนางคือจะต้องถูกขังอยู่ในกรงหมูแล้วเอาจุ่มน้ำ”
“ท่านพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว ตอนที่ข้าอาศัยอยู่ที่หอเอี้ยนไหลโหล ข้าเห็นว่าผู้หญิงสวยๆ เหล่านั้น การแต่งกายและทรงผมของพวกนางทำให้ข้าอิจฉา ข้ามีร่างกายที่สวยงามทำไมจึงเอามาอวดให้คนชื่นชมไม่ได้”
อวิ๋นเยี่ยไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เอานางรำพวกนั้นมาเปรียบเทียบกับตัวเอง ผู้หญิงคนนี้ช่างไม่ถือศักดิ์ศรีเอาเสียเลย ช่างเถิด ขอเพียงแค่หลี่กังรับได้ก็พอ ถือเสียว่าเป็นสวัสดิการใหม่ของสำนักศึกษาไปแล้วกัน
ห้องสมุดเหลือพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ทีเดียว มีการแต่งแต้มสีสันจนครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของห้องโถง วันนี้เป็นวันที่สมบูรณ์แบบที่สุด เดิมทีได้เชิญพวกอาจารย์หลี่กังมาเข้าร่วมด้วย แต่ชายเฒ่าหัวแข็งกลับคิดว่านี่คือเกมจึงไม่สนใจ คิดว่าอวิ๋นเยี่ย ไฮปาเทีย และหลี่ไท่ไม่เอาการเอางาน
ไม่ว่าเหล่าอาจารย์จะคิดเห็นอย่างไร อวิ๋นเยี่ย หลี่ไท่ และไฮปาเทียก็พากันเล่นอย่างสนุกสนาน กระรอกที่อยู่ในกรงเริ่มวิ่ง เชือกบนแกนหมุนวนรอบแกนหลัก เชือกรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ไม้ไผ่ถูกดึงจนเอียง ลูกเหล็กกลมกลิ้งลงมาชนกับไม้กระดานเล็กๆ ปลายอีกด้านของไม้กระดานง้างขึ้น กริชคมที่ผูกอยู่ด้านบนตัดเชือกขาด โดมิโนตัวแรกที่ผูกกับเชือกร่วงลงบนเรือลำเล็กที่จอดอยู่ในอ่างพอดี โดมิโนล้มไปโดนกลไกบนเรือ เรือเล็กเริ่มแล่นไปช้าๆ ขับเคลื่อนไปยังฝั่งตรงข้าม
สามคนนอนหมอบอยู่ที่พื้น จ้องไปที่เรือลำเล็กตาไม่กะพริบ เรือลำเล็กแล่นเป็นเส้นตรง คันธนูบนหัวเรือที่ยาวโผล่ออกมาไปแทงโดนโดมิโนที่อยู่บนฝั่ง ทั้งสามคนร้องด้วยความดีใจ โดมิโนล้มไปทีละตัว ผ่านภูเขาสูง ผ่านที่ราบ ข้ามลำห้วย ผ่านถ้ำภูเขา ส่งเสียงดังเบาๆ จากการที่โดมิโนล้มลงทีละตัว ดูมีจังหวะเป็นอย่างมาก
เมื่อโดมิโนตัวสุดท้ายล้มลง ไฮปาเทียกำลังจะเข้าไปกอดทั้งสองคน แต่สุดท้ายกลับได้รับคำเตือนอย่างจริงจังจากทั้งสองคนว่าไม่อนุญาตให้ผู้หญิงคนนี้สัมผัสโดนตัวของตัวเอง
ไฮปาเทียโยนโดมิโนในมือทิ้งไปด้วยความเบื่อหน่ายสะบัดมือแล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วเกมนี้สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก ในระบบที่เชื่อมต่อถึงกัน พลังงานตั้งตนเพียงเล็กน้อยอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อไปเรื่อยๆ หลักการนี้ใช้กับการเมือง การทหาร และชีวิตได้ เหตุใดท่านผู้เฒ่าหัวโบราณเหล่านั้นจึงไม่ยอมชายตาสนใจหลักการเช่นนี้เล่า”