ในการเดินทางหมื่นลี้ลงใต้ สวีโหย่วหรงได้ใช้แสงศักดิ์สิทธิ์กับร่างเฉินฉางเซิงหลายครั้งเพื่อป้องกันกลิ่นไอปราณของเขาจากโลกภายนอก
ยามที่ผ่านเมืองเป่ยซาน นางได้ถ่ายเลือดให้เฉินฉางเซิงสองครั้งติดต่อกัน
ในแง่ของพลังใจ ปราณแท้หรือเลือดแท้หงส์สวรรค์ที่ล้ำค่าที่สุด รวมถึงแสงศักดิ์สิทธิ์ นางล้วนใช้มากจนเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้น ในหานซานนางยังได้รับกระบี่วิถีสวรรค์โดยตรงและได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเพื่อช่วยชีวิตเฉินฉางเซิง
แต่นางก็ยังไม่อาจพักได้
ในตอนนี้ นางยืนอย่างเงียบงันในโถงตำหนักแสงสว่างเพราะนางสามารถฟื้นฟูได้เร็วกว่าในที่แห่งนี้ โดยเฉพาะการฟื้นฟูแสงศักดิ์สิทธิ์
อีกทั้งนี่ยังเป็นที่ที่ใกล้ที่สุด กางกั้นด้วยผนังเพียงชั้นเดียว หากมีอะไรเกิดขึ้น นางจะทำลายผนังและบุกเข้าไป
ในตอนนี้ เฉินฉางเซิงกับสังฆราชกำลังพูดคุยกันอยู่ตรงนั้น
ดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า ทั่วทั้งต้าลู่อาบไล้ไปด้วยแสงสีเงิน ส่วนลึกของพระราชวังหลีมีชายคายื่นออกมาอยู่เต็มไปหมด ดังนั้นจึงมีความมืดในที่แห่งนี้มากกว่า
เฉินฉางเซิงเอาผ้าห่มออก แต่เขาไม่ได้ยืนขึ้นจากรถเข็น
เขาก้มหน้าพับผ้าห่มอย่างจริงจังจนผ้าห่มกลายเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ จากนั้นก็เงยหน้าถามสังฆราช “ข้าคือใครกันอาจารย์อา”
เขาเคยถามคำถามนี้กับผู้เฒ่าความลับสวรรค์มาครั้งหนึ่ง
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ตอบเขาด้วยความมั่นใจอย่างมาก แต่นั่นก็ยังไม่ชัดเจนพอ
สังฆราชจ้องเขาอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นเฉินฉางเซิงก็รู้สึกว่ามันจะเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมาและเขาก็จะได้รับคำตอบอย่างแน่นอน สังฆราชเปิดปากช้าๆ และกล่าว “ในตอนแรกเมื่อข้าได้รับจดหมายจากอาจารย์ของเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้านั้นเป็นศิษย์หลานของข้า เข้ามาในจิงตูเพื่อหาทางรักษาอาการป่วย การรักษาก็คือบำเพ็ญเพียรและที่เจ้าบำเพ็ญก็คือทำตามที่ใจปรารถนา ข้าจึงไม่ทำอะไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินฉางเซิงก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีกว่าที่ผ่านมาตอนที่เขามายังจิงตูเป็นครั้งแรก เขาพอจะเข้าใจว่าก่อนที่เขาจะเข้าสำนักฝึกหลวง จดหมายของอาจารย์ก็ได้มาถึงจิงตูแล้ว
สังฆราชเดินมาด้านหลังเขาและเริ่มเข็นรถเข้าไปในโถง ทางลาดสลักลายเมฆนั้นมีอยู่ทั้งสองข้างของบันไดหิน เมื่อล้อรถเข็นกลิ้งผ่านไปบนผิวของทางลาด ก็เกิดเสียงเสียดสีเป็นจังหวะคล้ายคลึงกับเสียงของสังฆราช สุขุมแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเศร้า “จนกระทั่งเหมยลี่ซามาพบข้า ข้าถึงได้รู้ว่าเขาเองก็ได้รับจดหมายเช่นกัน”
ห้องโถงยามราตรีเงียบสงบมาก น้ำใสในสระสะท้อนแสงดาวกลายเป็นจุดแสงพร่างพราวบนผนังและต้นเสา ใบไม้ครามส่ายไหวเบาๆ อยู่ในกระถาง เป็นภาพที่งดงามชวนให้เคลิบเคลิ้ม
“พูดตามจริง แม้แต่ตอนนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าอาจารย์เจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่”
สังฆราชปล่อยมือจากรถเข็นแล้วเดินไปยังสระ ก่อนยกกระบวยขึ้น ตักน้ำมาครึ่งกระบวยและเริ่มรดใส่ใบไม้คราม
แสงดาวสาดส่องลงมาผ่านกระจกแก้วสีบนหลังคา ส่องต้องเสื้อคลุมผ้าป่านของสังฆราชราวกับกำลังสลักอักษรที่ไม่อาจอ่านได้นับไม่ถ้วนอยู่
เฉินฉางเซิงมองไปที่ร่างซึ่งโค้งงอเล็กน้อย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ถาม “หากอาจารย์อาไม่รู้ว่าเขามีแผนอะไรแล้วทำไมถึงช่วยเขา”
“ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นคนที่ปรารถนาจะรู้ที่สุด ว่าเหตุใดอาจารย์เจ้าถึงได้ส่งเจ้ามายังจิงตู…หากเจ้าเป็นรัชทายาทเจาหมิงจริงๆ”
น้ำใสที่ไหลลงจากกระบวยไม้ส่งเสียงรวยริน แต่ก็ไม่ได้รบกวนเสียงของสังฆราช แค่ดังอยู่เบื้องหลังเท่านั้น
“สิ่งที่อาจารย์ของเจ้าต้องการจะทำในชีวิตนี้นั้นเรียบง่ายอย่างมาก คือนำเทียนไห่ลงจากบัลลังก์ หรือไล่นางจากไป จากนั้นก็คืนบัลลังก์จักรพรรดิให้กับตระกูลเฉิน ข้าคิดว่า…เขาให้เจ้าเข้าจิงตูก็ย่อมเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ในตอนนี้ ข้าพอจะเชื่อมโยงสิ่งที่อาจารย์เจ้าต้องการจะทำได้บ้าง แต่ก็ยังไม่อาจจะแน่ใจได้”
“ในเหตุการณ์นองเลือดที่สำนักฝึกหลวงเมื่อหลายปีก่อนนั้น ทุกคนกล่าวว่าอาจารย์อาสังหารอาจารย์ด้วยตัวเอง ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องจริง”
น้ำเสียงสังฆราชอ่อนโยนประดุจน้ำไหล “ผู้สืบทอดนิกายหลวงอย่างถูกต้องมีเพียงแค่ข้ากับอาจารย์เจ้าเท่านั้น ดังนั้นข้าจะสังหารเขาได้อย่างไรกัน ซ้ำในตอนนั้นแม้เขาจะถูกเทียนไห่ทำร้ายบาดเจ็บสาหัสภายในวังหลวง ข้าก็ยังไม่อาจสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย…ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่อาจปิดบังได้ตลอดไป แต่ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะมายังจิงตู”
เฉินฉางเซิงกล่าว “เพราะข้ามายังจิงตู เพราะจดหมายของอาจารย์ เพราะอาจารย์อาดูแลข้า จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จึงพบว่าอาจารย์ของข้ายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างง่ายดาย”
“ทุกคนกล่าวว่าผู้เฒ่าความลับสวรรค์นั้นเข้าใจวิถีสวรรค์ที่สุด แผนเจ้าเล่ห์ของคนชุดดำก็หาใครเปรียบมิได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาจารย์เจ้าจึงเป็นคนเจ้าเล่ห์อย่างแท้จริง ไม่ต้องพูดถึงเป้าหมายที่แท้จริงในการส่งเจ้ามายังจิงตู แค่การเผยเรื่องที่เขายังมีชีวิตอยู่ให้เทียนไห่รู้ก็สามารถสร้างรอยร้าวระหว่างข้ากับนางได้แล้ว และรอยร้าวนี้ก็มีแต่จะกว้างขึ้น”
“เมื่อไม่อาจซ่อมแซมรอยร้าวนี้ได้ ความสงสัยที่อาจารย์อากับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มีต่อกันก็จะกลายเป็นความขัดแย้ง”
“ใช่แล้ว เมื่อเกิดความขัดแย้งกัน หากมีฝ่ายใดรู้ถึงความเป็นปรปักษ์ของอีกฝ่าย ก็จะเป็นเวลาที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าและกลายเป็นศัตรูกัน”
“นี่ไม่เท่ากับบอกว่าอาจารย์ใช้ความเมตตาที่อาจารย์อามีต่อเขาในตอนนั้นมาบังคับให้อาจารย์อาอยู่ข้างเขาหรอกหรือ”
เฉินฉางเซิงมองแผ่นหลังสังฆราช ก็เห็นว่ามันโค้งโก่งลงมากกว่าเดิม ดูเหมือนชายชราผู้อ่อนล้ามากยิ่งขึ้น ส่งผลให้น้ำเสียงเขาหดหู่ลงโดยไม่รู้ตัวเช่นเดียวกับอารมณ์ของเขาในตอนนี้
ทว่าเสียงของสังฆราชนั้นยังคงสงบเช่นเคย “ดังที่ข้าบอกก่อนหน้านี้ อาจารย์เจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์อย่างแท้จริง ในสายตาของเขา ทุกอย่างสามารถสังเวยได้เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย”
เฉินฉางเซิงรู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิมด้วยคำพูดนี้ “ทำไมต้องเป็นเช่นนี้ด้วย” เขาถาม
สังฆราชปล่อยมือจากกระบวยไม้ แล้วคว้าผ้าแห้งที่อยู่ข้างกระถางมาเช็ดมือ “ย้อนไปตอนนั้น ข้ากับอาจารย์เจ้านั้นเห็นไม่ตรงกันเพราะเรามีมุมมองต่อโลกที่ต่างกัน วันนี้ อาจารย์เจ้าใช้วิธีการของเขาบังคับข้าให้อยู่ข้างเดียวกับเขา กระนั้นข้าก็ยอมรับเรื่องนี้ได้เพราะเวลาได้เปลี่ยนสิ่งต่างๆ มากมาย และมุมมองต่อโลกนี้ของข้ากับเทียนไห่ก็ต่างกันแล้ว”
เฉินฉางเซิงนึกไปถึงบทสนทนาในโถงที่มืดมัวนี้หลังจากกลับมาจากสุสานเทียนซู
“ข้าก็เชื่อว่าเทียนไห่นั้นควรจะสละบัลลังก์”
แม้ว่าเสียงสังฆราชในโถงที่มืดมัวนี้จะไม่ดังมากนัก แต่ก็เหมือนกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากท้องฟ้าราตรีเบื้องบน
ไม่มีเสียงในห้องโถงนอกเหนือไปจากเสียงน้ำหยดลงจากกระบวยที่ยังก้องอยู่ในอากาศ
หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินฉางเซิงก็อ้าปากถามอีกครั้ง “แล้วข้าเล่า ข้ากำลังรับบทบาทใดกันแน่ เหตุใดอาจารย์อากับเหมยลี่ซาถึงได้ดูแลข้าตลอดสองปีที่ผ่านมา”
“ข้าได้แต่คาดเดาความต้องการของอาจารย์เจ้าในขณะที่เหมยลี่ซาอาจจะรู้มากกว่าเล็กน้อย แต่เจ้าต้องมีศรัทธาว่าผู้อาวุโสที่กลับสู่ทะเลดวงดาวผู้นี้จะไม่มีวันคิดร้ายต่อเจ้า ความคิดของเขากับอาจารย์เจ้านั้นอาจจะไม่เหมือนกัน เขาเชื่อมั่นว่าเจ้าอาจจะบาดเจ็บไม่น้อยแต่เจ้าก็จะได้รับประโยชน์มากมายเช่นกัน”
“ประโยชน์หรือ”
“เหมยลี่ซาเชื่อว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าจะรักษาได้ก็ด้วยเพียงวิธีนี้เท่านั้น”
“อาการบาดเจ็บของข้ารักษาได้เช่นนั้นหรือ” เสียงเฉินฉางเซิงสั่นเครือเมื่อกล่าวออกมา
สังฆราชเดินไปด้านหน้ารถเข็น ดวงตาที่มองมาสงบนิ่งดั่งผิวน้ำ “แม้แต่ชะตายังเปลี่ยนได้ แล้วทำไมจะรักษาอาการป่วยไม่ได้”
เฉินฉางเซิงสงบลงอย่างรวดเร็ว เขามองกลับไปที่สังฆราชและถามอย่างจริงจัง “อาจารย์อารู้นานแล้วว่าข้าป่วย”
สังฆราชตอบ “ใช่”
เฉินฉางเซิงถามอย่างจริงจังมากขึ้น “อาจารย์อารู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
นี่เป็นสถานที่รโหฐานและอยู่ลึกที่สุดในพระราชวังหลี จึงมืดมัวอย่างยิ่ง มีเพียงแสงดาวเล็กน้อยที่ส่องผ่านกระจกแก้วสีบนหลังคาลงมา
เขานั่งอยู่บนรถเข็น ผ้าห่มพับอยู่บนต้นขา เสื้อผ้าก็บาง
ดวงดาวเคลื่อนไหวไปตามกาลเวลา ในบางจุด ดวงดาวที่ส่องสว่างที่สุดบนท้องฟ้าราตรี ดาวมังกรได้ปรากฏเหนือโถงตำหนักที่มืดมัว แสงดาวส่องผ่านกระจกแก้วสีและตกกระทบลงมาบนตัวเขา
แสงดาวนั้นอ่อนนุ่มยิ่งกว่าเกล็ดหิมะ ตกลงมาอย่างไร้เสียง แต่กระนั้นด้วยเหตุใดไม่ทราบ กลับมีเสียงแผ่วเบาราวกับมีบางอย่างถูกจุดขึ้นมา
เฉินฉางเซิงนั้นยืมแสงดาวมาจุดประกายดาวที่ยังเหลืออยู่ภายในร่างกาย
เส้นลมปราณทั้งหมดของเขาขาดสะบั้น เช่นเดียวกับปราณแท้ ไม่ว่าจะเป็นแดนลี้ลับหรือทุ่งหิมะภายนอกก็ไม่มีที่ใดให้ระบายและแตกออกภายในร่างของเขา
ร่างกายของเขาร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าและลำคอรวมถึงมือทั้งสองล้วนกลายเป็นสีแดง
เมื่อมองด้วยดวงตาจะเห็นว่ามีสีชมพูหม่นมัว แต่ภายในร่างกายกลับมีสีแดงดุจโลหิต เพราะนี่เป็นสัญญาณว่ามีเลือดไหลภายในร่าง
เมื่ออุณหภูมิในร่างเพิ่มสูงขึ้น ผิวหนังก็แดงปลั่งมากขึ้น เปลี่ยนจากการดูมีสุขภาพดีกลายเป็นดังอสูร ในเวลาเดียวกันไอพลังปราณที่อ่อนจางก็แผ่ออกมาจากรูขุมขนจำนวนนับไม่ถ้วน ลอยไปตามสายลมเข้าหาสังฆราช
สีหน้าสังฆราชเปลี่ยนไปในทันที ทะเลดวงดาวไร้สิ้นสุดในดวงตาของเขาพลันเปลี่ยนไปเป็นแม่น้ำดวงดาวที่พลุ่งพล่าน
ในดวงตาทั้งสอง ไม่มีความเมตตาเหลืออยู่ มีเพียงความโหดเหี้ยมเย็นชา