“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
เสียงที่ผ่านริมฝีปากสังฆราชไม่เป็นดั่งน้ำไหลอีกต่อไป ทว่าเย็นเยียบเสียดกระดูก
เฉินฉางเซิงมองดูดวงตาสังฆราชและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้ารู้ดีกว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”
ภายนอกเขาดูสงบอย่างมาก แต่อันที่จริงเขาเป็นกังวลอย่างยิ่ง มือจับพนักแขนของรถเข็นนั้นสั่นเทาเล็กน้อย แม้แต่เลือดบนใบหน้าก็ดูมัวลงเพราะอารมณ์ของเขา
เขาไม่ได้ใช้วิชากระบี่สันดาป เขาได้ควบคุมปราณแท้ไว้ที่ระดับหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าความเร็วที่เลือดแท้จะไหลออกมาจากร่างกายนั้นไม่เร็วจนเกินไป
แต่สำหรับสังฆราชที่เป็นยอดฝีมืออันดับต้นของโลก ย่อมเป็นธรรมดาที่จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดที่ลอยออกมาจากระยะใกล้เท่านี้
ทะเลดวงดาวในดวงตาสังฆราชนั้นได้เปลี่ยนเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวไปแล้ว
เฉินฉางเซิงกำลังเสี่ยง เสี่ยงที่จะทำให้ชีวิตตกอยู่ในอันตรายหรืออาจจะอันตรายเกินกว่านั้นไปมาก
เขาทำเช่นนี้โดยตั้งใจ
ด้วยเขาไม่อาจรู้ได้ว่าเจตนาที่แท้จริงของอาจารย์คืออะไร อาจารย์อาสังฆราชก็เป็นผู้อาวุโสคนสำคัญของโลก กระนั้นเขาก็ยังเป็นคนที่เขาไว้ใจน้อยที่สุด
สังฆราชบอกว่ามุขนายกเหมยลี่ซาไม่มีเจตนาร้ายกับเขา แล้วตัวสังฆราชเองเล่า
เขารู้ดีว่าสังฆราชมีท่าทีต่อเขาเช่นไร ไม่ว่าสังฆราชจะมีเจตนาดีกับการมีอยู่ของเขาหรือไม่
หากสังฆราชมีเจตนาร้ายต่อเขา เช่นนั้นก็ต้องหาประโยชน์จากร่างกายของเขาและคงจะกินเขาลงไป
การล่อใจเช่นนี้นั้นสำคัญยิ่งกว่าบัลลังก์จักรพรรดิ เหนือล้ำยิ่งกว่าอำนาจ
แล้วสังฆราชจะทำเช่นไร
เขาจ้องมองไปยังแม่น้ำดวงดาวเชี่ยวกรากในดวงตาสังฆราช ความตึงเครียดค่อยๆ ลดลงเหลือไว้เพียงความสงบ สงบอย่างแท้จริง
สังฆราชจ้องมองเขา แม่น้ำแห่งดวงดาวที่เชี่ยวกรากดูน่ากลัวยิ่งขึ้นราวกับว่ามันจะกลืนกินทั้งโลกนี้ได้ทุกขณะ
……
……
สวีโหย่วหรงยืนอยู่ภายในแสง มองดูภาพวาดบนผนังอย่างเงียบงัน เงยหน้าแต่ไม่ได้มองขึ้นไป
บนผนังนี้มีภาพวาดของสิบสองมหาบุรุษ สิบสองมหาบุรุษเหล่านี้ไม่ได้เป็นปราชญ์ทั้งหมด ทว่ามีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์นิกายหลวง ดังนั้นสถานะของพวกเขาจึงสูงกว่านักปราชญ์เสียอีก
ว่ากันว่าผนังหินสูงหลายสิบจั้งและภาพวาดบนผนังนี้ ล้วนสร้างขึ้นจากวัสดุที่มีส่วนผสมของเศษหินสวรรค์ ตราบใดที่มีแสงจากภายนอกแม้เพียงเล็กน้อย ภาพก็จะสามารถแผ่แสงเจิดจ้าไร้ขอบเขตออกมาได้
ดังนั้นไม่ว่าจะยามทิวาหรือราตรีที่แห่งนี้ก็จะมีแสงสว่างที่โอ่อ่าผ่าเผยอยู่เสมอ
ทันใดนั้นลำแสงภายในกำแพงก็ส่องสว่างมากขึ้น จนถึงขนาดแสบตา
สวีโหย่วหรงหรี่ตาเล็กน้อย ดวงตานางประดุจดังใบหลิวและคมกระบี่
นางสัมผัสได้ถึงพลังอันพลุ่งพล่านภายในแสง ก็กางแขนกว้าง
เกิดเสียงเบาๆ ดังสองครั้ง ธนูถงก็มาอยู่ในมือซ้ายของนางในขณะที่กระบี่จำศีลอยู่ในมือขวา
ขวับ!
ปีกสีขาวบริสุทธิ์กางออกด้านหลังและกระพือช้าๆ
นอกเหนือจากมหาบุรุษทั้งสิบสอง ภาพวาดยังมีนักปราชญ์และทูตศักดิ์สิทธิ์อีกมากมาย
ทูตศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่จุดสูงสุดนั้นมีสีหน้าเฉยชา ทว่าดวงตากลับโหดเหี้ยมไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากจะกลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งมวลตรงหน้า
นี่คือทูตศักดิ์สิทธิ์แห่งการทำลายล้าง
ยามมองไปที่ทูตศักดิ์สิทธิ์บนภาพวาด สวีโหย่วหรงมีสีหน้าที่สงบนิ่งอย่างมาก
ในเวลานี้ ที่นางยืนอยู่ในโถงตำหนักแสงสว่าง ยังไม่ได้ฟื้นฟูจากการบาดเจ็บอย่างสมบูรณ์ ยังไม่ได้ฟื้นฟูปราณแท้และแสงศักดิ์สิทธิ์ได้เต็มที่ แต่นางก็พร้อมจะต่อสู้แล้ว
นางได้ฝืนผลักระดับการบำเพ็ญเพียรไปจนถึงสุดสูงสุด ธนูถงในมือซ้าย กระบี่จำศีลในมือขวา ปีกทั้งคู่พร้อมโบยบิน
หากการต่อสู้เกิดขึ้นจริง นางคงไม่ลังเลที่จะจุดเลือดแท้หงส์สวรรค์ในกายขึ้นมา
แม้ว่านางจะยังไม่ได้อยู่ในระดับรวบรวมดวงดาว ด้วยสภาพของนางในตอนนี้ ต่อให้กวนไป๋ใช้กระบี่วิธีสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาก็ยังไม่อาจเทียบนางได้
แต่ในการต่อสู้นี้ คู่ต่อสู้ของนางไม่ใช่กวนไป๋ หรือทูตศักดิ์สิทธิ์แห่งการทำลายล้างในภาพวาด ทว่าเป็นชายชราที่อยู่ด้านหลังผนังกั้นที่มีรูปนั้นวาดอยู่
ชายชราคนนี้คือหนึ่งในยอดฝีมือขั้นสูงสุดของโลก
……
……
พวกเขาถูกขวางกั้นด้วยเพียงผนังโถงตำหนักแสงสว่างเท่านั้น
สังฆราชยืนอยู่ตรงหน้ารถเข็น ตาจับจ้องไปที่เฉินฉางเซิง แม่น้ำดวงดาวภายในดวงตาเขานั้นกำลังพลุ่งพล่าน สีหน้าน่าไม่แยแสอย่างยิ่งราวกับเทพที่โหดเหี้ยมไร้หัวใจ
เฉินฉางเซิงรู้ว่าเวลาที่วิกฤตที่สุดกำลังจะมาถึง แต่เขากลับรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ความจริงซ่อนอยู่เบื้องหลังความมืด และเขาไม่อาจประจักษ์แจ้งด้วยปัญญา จึงเลือกที่จะใช้วิธีอันหยาบกร้านที่สุดในการเปิดผ้าม่านแห่งความมืดขึ้นมา แม้จะเปิดเพียงมุมเดียวก็ตาม
พลันเสียงน้ำก็หยุดลง
ก่อนหน้านี้น้ำใสไหลจากกระบวยที่ลอยอยู่กลางอากาศลงไปยังใบไม้ครามอย่างต่อเนื่อง
เฉินฉางเซิงเคยเห็นสังฆราชรดน้ำใบไม้ครามมาหลายครั้งก่อนหน้านี้และรู้ว่าน้ำในกระบวยนั้นเหมือนจะไม่มีวันหมด
แต่กระนั้นในวันนี้ ดูเหมือนว่าน้ำในกระบวยไม้จะหมดลง
ครั้นเสียงน้ำไหลหยุดลง ร่างสังฆราชก็สั่นไหวเล็กน้อย ตัวอักษรแสงดาวที่ไม่อาจอ่านได้บนเสื้อคลุมผ้าป่านก็ดูผิดรูปและพร่าเลือน
แม่น้ำดวงดาวที่เชี่ยวกรากในส่วนลึกของดวงตาสังฆราชดูเหมือนจะติดขัดขึ้นมาในทันที
ยามเมื่อสายลมราตรีลูบไล้ใบไม้ครามและแสงดาวส่องสว่างท้องฟ้าเบื้องบน รอยเหี่ยวย่นอันบรรจุไว้ด้วยความจริงในประวัติศาสตร์มากมายก็ดูลึกยิ่งขึ้น…
สังฆราชหลับตาลง
……
……
นักพรตซือหยวน มุขนายกทั้งหลาย รวมถึงนักบวชมากมายในพระราชวังหลีล้วนยืนอยู่นอกโถงตำหนักแสงสว่าง
พวกเขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติภายในโถง โดยเฉพาะพลังพลุ่งพล่านที่แผ่ออกมาภายนอกผ่านลำแสงนั้นทำให้พวกเขาหวาดกลัวจับใจ
ในประกายแสงศักดิ์สิทธิ์นั้น พวกเขามองเห็นปีกสีขาวบริสุทธิ์คู่หนึ่งที่กางอยู่ด้านหลังสวีโหย่วหรง ได้เห็นการตื่นขึ้นของหงส์สวรรค์ในตำนานกับตาตัวเองนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาตกใจ แต่ก็ไม่อาจชื่นชมสิ่งนี้ได้เพราะพวกเขารู้ว่ามีเรื่องสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น
นักพรตซือหยวนไม่อาจยืนเฉยได้อีกต่อไป รีบพุ่งเข้าไปในแสงเจิดจ้าภายในโถงด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
ในฐานะหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวง เขามีระดับพลังขั้นสูงสุดของระดับรวบรวมดวงดาว ห่างจากเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ถึงครึ่งก้าว ลำแสงอันเปี่ยมด้วยพลังพวกนั้นไม่อาจหยุดการย่างก้าวของเขาได้
แต่กระนั้นเมื่อเขาเข้ามาภายในโถงใหญ่ กลับไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เขาสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าคือเรื่องอะไร
แสงสีขาวบริสุทธิ์กระพือช้าๆ สวีโหย่วหรงมือซ้ายถือธนูมือขวาถือกระบี่ สีหน้าสงบแฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึมประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ กระนั้นสุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้ทำอะไร
ในสถานการณ์เช่นนี้ นักพรตซือหยวนไม่อาจเป็นฝ่ายลงมือโจมตีก่อนได้ ถึงอย่างไรสวีโหย่วหรงก็เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของแดนใต้ มีสถานะเท่าเทียมกับสังฆราช หากเขาลงมือก่อนที่จะไถ่ถาม ก็จะเป็นการล่วงเกินอย่างใหญ่หลวงจนถึงขั้นเลวทราม
สวีโหย่วหรงนั้นไม่ได้ทำอะไรอย่างแท้จริง เพียงมองดูภาพวาดบนผนังอย่างเงียบงัน
นางสัมผัสได้ว่าถึงแม้ลำแสงที่แผ่ออกมาจากภาพวาดจะยังคงเข้มข้น ทว่าความปั่นป่วนได้ลดลงจนกลับคืนสู่ความสงบแล้ว
นางพิศดูยังภาพวาดอย่างเงียบงัน และคนในภาพวาดก็มองกลับมาที่นาง
นอกจากทูตศักดิ์สิทธิ์แห่งการทำลายล้างและนักปราชญ์ที่อยู่เหนือชั้นเมฆ ก็ยังมีสิบสองมหาบุรุษผู้เมตตาและปุถุชนที่น่าสงสาร
มหาบุรุษเหล่านั้นล้วนมีดวงตากระจ่างใส สีหน้าอบอุ่นเปี่ยมเมตตา
……
……
สังฆราชลืมตาขึ้น แม่น้ำดวงดาวอันเชี่ยวกรากในดวงตาได้หายไป ไม่มีทะเลดวงดาวกว้างใหญ่ให้เห็น มีแต่ความสว่างกระจ่างใส
ดวงตาเขาเป็นประกายแจ่มใส สีหน้าอบอุ่นมีกรุณา
เขาหันหน้าเดินไปยังใบไม้คราม คว้ากระบวยไม้ในอากาศ จุ่มลงตักน้ำในสระแล้วรินรดลงในกระถาง
ใบไม้ครามที่มีสีเหลืองเล็กน้อยจากไอพลังปราณที่บ้าคลั่งได้เปลี่ยนไปเป็นสีเขียวครามอีกครั้งหนึ่ง
สังฆราชตักน้ำจากสระ รดลงบนตัวเขาจนเปียกโชกแต่หัวจรดเท้า
เขาถือกระบวยที่ตักน้ำเพิ่มแล้วเดินไปยังรถเข็น
หยดน้ำร่วงลงมาจากผมสีขาวซึมเข้าไปในเสื้อคลุมผ้าป่านที่แนบติดอยู่กันร่างกาย เผยให้เห็นร่างชราผอมบางภายในเสื้อคลุม
สังฆราชเทน้ำทั้งหมดในกระบวยไม้ลงบนศีรษะของเฉินฉางเซิง
โถงมืดมัวแทบไม่เคยเห็นแสงตะวันทำให้น้ำในสระเย็นเยียบอยู่เสมอ เฉินฉางเซิงเปียกโชกไปทั้งตัวในทันที
ไอน้ำจางๆ ลอยขึ้นจากร่างกายก่อนจะหายไป สังฆราชโบกแขนเสื้อเบาๆ พัดไอน้ำออกไป
ร่างกายอันร้อนผ่าวของเฉินฉางเซิงเย็นลงอย่างฉับพลัน กลับคืนสู่อุณหภูมิปกติและเลือดภายในกายที่กำลังไหลซึมออกมาก็ถูกสะกดกลับเข้าไป
สังฆราชวางกระบวยไม้ลงที่ตำแหน่งเดิม หยิบผ้าแห้งมาสองผืน ส่งให้เฉินฉางเซิงผืนหนึ่ง
“ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดอาจารย์เจ้าจึงตั้งชื่อให้เจ้าว่า ‘ฉางเซิง’ (อายุยืน)” สังฆราชกล่าวกับเฉินฉางเซิงพลางเช็ดน้ำออกจากใบหน้า
เฉินฉางเซิงเช็ดหน้าโดยไม่พูดอะไร
“หากกินเจ้าเข้าไปก็จะทำให้คนอายุยืนได้จริงๆ” สุ้มเสียงสังฆราชเรียบเฉยอย่างมาก
เฉินฉางเซิงกำผ้าที่ชื้นอยู่ในยามที่เอ่ยปาก “อาจารย์อธิบายว่าวิญญาณของข้าได้เข้าไปในแก่นแท้ของเลือด แต่ข้าไม่คิดว่ามันน่าเชื่อสักเท่าไร”
“ทุกคนล้วนมีวิญญาณ แล้วจะถูกวิญญาณล่อใจได้อย่างไร เหตุที่เจ้าต่างไปจากทุกคนก็เพราะร่างกายของเจ้านั้นเปี่ยมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์อันเข้มข้น”
สังฆราชมองดูเขา ทว่าสายตาดูเหมือนจะมองไกลออกไป เสมือนว่ามองไปยังโลกที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง