“แสงศักดิ์สิทธิ์?” เฉินฉางเซิงดูงงงวยอยู่บ้าง
เขาย่อมรู้จักแสงศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้ว่าเขาจะเชี่ยวชาญคัมภีร์เต๋า แต่ก็ไม่เคยเข้าไปในกระทรวงสิบสามชิงเหย้ามาก่อน หรือเคยไปยังเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แล้วร่างกายจะเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรกัน
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงชื่อหนึ่งขึ้นมาได้ เป็นสถานที่ซึ่งแทบไม่เคยถูกกล่าวถึง และไม่มีบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์เต๋า
ครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อของสถานที่นั้น ก็คือวันหิมะตกตอนต้นปี ตอนเขาพูดกับสวีโหย่วหรงเรื่องสถานที่ซึ่งผู้อาวุโสซูหลีอาจจะเดินทางไป
ดังที่คาดไว้ ชั่วขณะต่อมาเขาก็ได้ยินชื่อนั้นอีกครั้งจากคำพูดของสังฆราช
“อาจารย์เจ้าอาจไปยังดินแดนเซิ่งกวงมาแล้วกระมัง” สังฆราชย่นคิ้วเล็กน้อยราวกับว่ากำลังพบกับปัญหาที่ขบคิดไม่แตก
“แต่ก็ไม่อาจมั่นใจได้อย่างเต็มที่ในเรื่องนี้ มีข่าวลืออยู่เสมอว่ามีทายาทราชวงศ์อยู่ภายในสุสานเมฆาที่ได้ข้ามผ่านเขตแดนไปยังดินแดนเซ่งกวง เมื่อจักรพรรดิไท่จงไม่อาจสังหารพวกเขาได้หมด เขาก็หยุดการตามล่า หากพวกราชวงศ์เฉินเหล่านั้นไปอยู่ที่แห่งนั้นจริง นี่ก็อาจจะอธิบายสถานการณ์ของเจ้าได้”
ตอนนั้นเองเฉินฉางเซิงจึงเข้าใจว่าดินแดนเซิ่งกวงนั้นมิใช่เพียงสิ่งที่มีอยู่ในจินตนาการเท่านั้น และอาจมีคนที่เคยไปฝั่งนั้นมาแล้ว และคนพวกนั้นอาจจะเป็นคนตระกูลเดียวกันกับเขา…
แต่ก็ยังมีบางปัญหาที่ยังไม่ได้รับการอธิบาย “หรือว่าคนในดินแดนเซิ่งกวงล้วนมีร่างกายที่เต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์”
“มีข่าวลือว่าดินแดนเซิ่งกวงนั้นเปี่ยมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้สิ้นสุด แต่สถานการณ์ของเจ้านั้นก็ยังเป็นไปไม่ได้ ด้วยว่าสถานการณ์ของเจ้ามีความพิเศษอย่างที่สุด”
สังฆราชมองเขาด้วยความสังเวชและกล่าว “ตอนเจ้ายังอยู่ในครรภ์ วงตะวันของเจ้าถูกทำลาย ตามหลักเหตุผลแล้วเจ้าจะไม่อาจมีชีวิตรอด ข้าคิดว่าเป็นเพราะมียอดคนจากดินแดนเซิ่งกวงที่สะสมแสงศักดิ์สิทธิ์เอาไว้มากมายเกินจินตนาการ ได้ถ่ายทอดเข้าสู่ร่างกายเจ้าเพื่อช่วยให้เจ้ารอดมาได้”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เฉินฉางเซิงก็พยักหน้า “การรอดชีวิตครั้งนี้ก็เป็นเรื่องเหนื่อยยาก”
“แต่สุดท้ายแล้วการมีชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องที่ดี”
สังฆราชลูบหัวเขาเบาๆ และกล่าว “ไป หากเจ้ายังอยู่ ข้าเกรงว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะเผาโถงตำหนักแสงสว่างเอาได้”
เฉินฉางเซิงก้มหน้า รับคำอวยพรอย่างห่วงใยจากสังฆราช
หินแกร่งสีเทาส่งเสียงดังเมื่อรถเข็นของเฉินฉางเซิงเคลื่อนตัวออกจากห้องโถง
สังฆราชมองหลังของเขาและกล่าวเตือน “ในอนาคต อย่าได้ใช้วิธีนี้ในการลองใจ มันอันตรายเกินไป”
เฉินฉางเซิงหยุดรถเข็น หลังจากนิ่งอยู่สักพักเขาก็พยักหน้า
“ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือจิตใจของมนุษย์ เจ้าไม่อาจทดสอบได้ เพราะเมื่อเจ้าคิดหาวิธีที่จะทดสอบ ก็หมายความว่าเจ้านั้นได้มีความสงสัยขึ้นแล้ว”
สังฆราชกล่าวในที่สุดว่า “และความสงสัยนั้นก็เป็นต้นเหตุแห่งความโชคร้ายทั้งปวง”
……
……
นี่เป็นช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วง ต้นไทรย้อยริมทะเลสาบยังคงมีใบสีเขียวสด มีเพียงแค่ต้นหญ้าในสนามเท่านั้นที่เริ่มมีบางจุดเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อย
วันนี้สำนักฝึกหลวงอยู่ภายใต้การป้องกันอย่างหนาแน่น ทหารม้านิกายหลวงลาดตระเวนอย่างแข็งขันอยู่บนถนนด้านนอก ร้านรวงที่ปกติมีโคมไฟแขวนอยู่ภายนอกได้รับข่าวก็ปิดร้านเร็วกว่าปกติ กลายเป็นภาพอันเปลี่ยวร้าง
ศิษย์สถานศึกษาหนานซีไม่ได้พักอยู่ในพระราชวังหลี หรือไปยังวังหลวง พวกเขาตรงมาที่สำนักฝึกหลวง เริ่มกางกระโจมตั้งค่ายพักภายในสนามหญ้า ในเวลาเดียวกันก็ยึดครองห้องสมุดไปอย่างถือวิสาสะ
อาจารย์และศิษย์ของสำนักฝึกหลวงถูกกางกั้นเอาไว้ด้วยม่านผ้าไหม ได้เห็นศิษย์หญิงสถานศึกษาหนานซีเดินไปเดินมา ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความขัดแย้งอันใด ถึงขนาดรู้สึกยินดีอยู่ภายใน อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้แสดงออกมา ทั้งยังพูดอย่างขุ่นเคือง “สำนักฝึกหลวงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เมื่อไร”
ซูม่ออวี๋กับเซวียนหยวนผ้อกำลังอยู่ในครัวที่เพิ่งจะสร้างใหม่ได้ไม่ถึงครึ่งปี จากที่ศิษย์สถานศึกษาหนานซีกล่าว พวกเขานั้นไม่อาจกลับไปยังบ้านของตนเองได้เป็นการชั่วคราว ได้รับอนุญาตให้กลับเข้าไปข้างในเพียงเพื่อนำเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวออกมาเท่านั้น พวกเขาย่อมไม่ชอบใจเป็นธรรมดา
“เกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุใดผู้คนจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ถึงมาพักที่สำนัก ทั้งยังต้องการแย่งที่พักของพวกเราด้วย แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกัน”
เจ๋อซิ่วนั่งบนธรณีประตูห้องครัว มองไปที่ต้นไหวซึ่งเพิ่งปลูกได้ไม่นานริมกำแพง เขาคงปลีกตัวไปอยู่ตามลำพังเช่นเดียวกับที่เคยเป็นในอดีต คนที่ตอบคำถามนี้ย่อมเป็นถังซานสือลิ่วตามธรรมดา
“มีเรื่องหนึ่งที่พวกเจ้าอาจจะยังไม่รู้ แต่ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะได้รู้ในไม่ช้า ดังเช่นคนอื่นๆ ในโลก”
เขากล่าวอย่างจริงจังกับซูม่ออวี๋และเซวียนหยวนผ้อ “เจ้าเฉินฉางเซิงนั่นเป็นคู่ขากับสวีโหย่วหรงมานานแล้ว”
คำพูดนี้ออกจะหยาบไปบ้างแค่ก็อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้อย่างชัดเจน
ทุกคงนิ่งเงียบ ซูม่ออวี๋กับเซวียนหยวนผ้อต้องใช้เวลารับมือกับความตกใจสักพัก
ปฏิกิริยาแรกของซูม่ออวี๋ก็คือขวมดคิ้วและมองไปที่ถังซานสือลิ่ว “เจ้าใช้คำพูดหยาบช้าเช่นนั้นกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร”
การตอบสนองของเซวียนหยวนผ้อนั้นตรงไปตรงมา เขาถอนหายใจด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชม “เจ้าสำนักนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่…แล้วองค์หญิงเล่า”
ถังซานสือลิ่วกลายเป็นฝ่ายตกใจ เขามองดูคนทั้งคู่และถาม “พวกเจ้าไม่ผิดหวังหรือโกรธบ้างหรือ”
“ทำไมพวกเราต้องผิดหวังด้วย”
“ชู้รักคู่นี้แอบคบหากันลับหลังพวกเราตั้งนาน”
“ถังถัง ข้าเตือนเจ้าไว้เลยนะ เมื่อพูดถึงเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ อย่าได้ใช้คำพูดหยาบคาย” ซูม่ออวี๋เหมือนจะโมโหขึ้นมา
ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างขุ่นเคือง “พวกเจ้าถูกไล่ออกจากห้องแล้วยังจะมาพูดแทนพวกเขาอีกหรือ”
เซวียนหยวนผ้อนั้นเป็นตัวแทนของความจริงใจและตรงไปตรงมา “นี่ก็เหมือนภรรยาที่เพิ่งแต่งงาน นำสาวใช้ติดตัวมาเยี่ยม เป็นเรื่องปกติที่พวกเราต้องต้อนรับอย่างเหมาะสม”
……
……
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงไม่รู้เลยว่าถังซานสือลิ่วได้เรียกพวกเขาว่าชู้รักอีกครั้งหนึ่งแล้ว พวกเขากำลังสนทนากันเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในพระราชวังหลี
“ ‘ความสงสัยเป็นต้นเหตุของโชคร้ายทั้งปวง’ นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่อาจารย์อากล่าวกับข้า ข้ารู้ว่านั่นเป็นบทเรียนให้กับข้า แต่ข้าก็คิดว่ายามที่เขากล่าวเช่นนั้น อาจคิดถึงเรื่องที่อาจารย์ส่งข้ามาจิงตู ซึ่งเป็นการราดน้ำมันใส่เพลิงระหว่างเขากับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้น…สำหรับเขาแล้ว นี่ก็นับเป็นความโชคร้ายอย่างหนึ่ง”
“สังฆราชมีใจอันโอบอ้อมต่อทั้งโลก ความโชคร้ายที่เขาสัมผัสนั้นเป็นความโชคร้ายของโลกนี้ ความโชคร้ายของผู้คนนับล้านล้านคน”
“แต่การถูกอาจารย์ใช้เช่นนี้ แม้แต่อาจารย์อาที่เชื่อว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์สมควรสละบัลลังก์ ก็คงรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง”
“ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่าอาจารย์เจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์ ในตอนนี้ข้าอยากจะรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไรเสียจริง”
สวีโหย่วหรงถอนสายตากลับมาจากที่ห่างไกลและมองดูเฉินฉางเซิง
แสงดาวและสายลมต้นฤดูใบไม้ร่วงผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ตกต้องบนใบหน้าของเขา ให้ความรู้สึกสบายราวกับสัมผัสที่เขามอบให้ผู้อื่น
นางไม่รู้ว่านักพรตจี้หรือเจ้าสำนักซางเป็นคนเช่นไร แต่นางรู้ว่านางไม่เคยเกลียดใครเท่ากับเขามาก่อน
แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นอาจารย์ของเฉินฉางเซิงก็ตาม
นางเกลียดก็เพราะว่าเขาเป็นอาจารย์ของเฉินฉางเซิงนั่นเอง
จะมีใครในโลกที่ใช้ลูกศิษย์ที่ตนเองเลี้ยงดูขึ้นมาเป็นตัวหมากได้แบบเขาอีก แล้วยังไม่ยอมปล่อยศิษย์พี่ที่เคยเว้นชีวิตเขาอีกด้วย
เฉินฉางเซิงจดจำคำพูดที่เขียนอยู่ในสมุดบันทึกของหวังจือเช่อที่พบในหอหลิงเยียนได้
สมุดบันทึกของหวังจือเช่อไม่ได้กล่าวถึงนักพรตจี้เอาไว้โดยตรง แต่เขาได้บันทึกว่าเคยไปพบกับขุนนางและแม่ทัพที่มีชื่อเสียงหลายคนในหอหลิงเยียนก่อนที่เขาจะป่วยตาย เขาต้องเคยพบหรือได้ยินว่านักพรตจี้มาพบหลายครั้ง
ในฐานะหมอเทวดาที่มีทักษะการแพทย์เป็นเอกในต้าโจว การได้รับราชโองการให้ไปพบเพื่อรักษาขุนนางใหญ่และแม่ทัพที่มีชื่อเสียงที่ป่วยหนักนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดา
แต่เมื่อคิดในอีกแง่หนึ่ง ก็กล่าวได้ว่าไม่นานหลังจากนักพรตจี้ไปพบกับเหล่าขุนนางและแม่ทัพที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ภายใต้คำสังของจักรพรรดิไท่จง เหล่าผู้ที่มีความสำเร็จฝากไว้ในประวัติศาสตร์เหล่านี้ก็ไปสู่ทะเลดวงดาวกันทีละคนๆ หากคิดดูให้ดีว่านักพรตจี้เป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องของนิกายหลวง และหลังจากผ่านไปหลายปีได้กลับมาใช้นามจริงของตนว่าซางสิงโจว เพื่อปกครองสำนักฝึกหลวงในขณะที่ทำการต่อต้านการปกครองของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อยู่ลับๆ….
“ข้าคิดว่า…อาจารย์นั้นเป็นคนที่จักรพรรดิไท่จงเชื่อถือที่สุด”
หลังจากที่เฉินฉางเซิงกล่าวคำพูดนี้ออกมา ก็พลันรู้สึกว่าสายลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดผ่านหน้าต่างมานั้นก็เย็นเยียบขึ้นมา
ภายในห้องเงียบงันไปเป็นเวลานาน
หากเรื่องนี้สืบย้อนไปจนถึงสมัยจักรพรรดิไท่จงจริงๆ และยังขยายไปจนถึงดินแดนที่ไม่รู้จัก เช่นนั้นมันก็ซับซ้อนเกินไปแล้ว
แม้ว่าเขากับนางจะไม่ใช่คนหนุ่มสาวทั่วไป กระนั้นก็ยังเป็นคนที่เพิ่งอายุไม่ถึงสิบเจ็ดจนกว่าจะผ่านไปอีกสองเดือน พวกเขาไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น แล้วจะมองผ่านหมอกที่หนานี้ได้อย่างไรกัน
“ในตอนนี้ เรามั่นใจได้แค่ว่าใต้เท้าสังฆราชทนที่จะไม่สังหารเจ้าได้” สวีโหย่วหรงกล่าว
เฉินฉางเซิงพยักหน้า นี่เป็นความจริงที่เขายืนยันด้วยความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวงเพื่อให้ได้รู้ แต่เขายังไม่เข้าใจว่าทำไมสังฆราชถึงได้ยั้งมือในตอนนั้น
หากเป็นเช่นที่สังฆราชกล่าว ร่างกายเขาบรรจุไว้ด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ปริมาณมาก การกินเขาก็จะทำให้คนผู้หนึ่งก้าวหน้าอย่างมากจนอาจบรรลุระดับขั้นมหาอิสระได้ ก้าวข้ามความยากลำบากของชีวิตและความตาย แม้แต่ราชามารก็ยังเสี่ยงมายังหานซานเพื่อกินเขา แล้วสังฆราชควบคุมตนเองได้อย่างไร
ศิษย์พี่อวี๋เหรินเคยกล่าวไว้ว่ามีเพียงนักปราชญ์เท่านั้นที่จะต้านทานการยั่วใจจากเลือดของเขาได้ การต้านทานนี้พูดถึงเพียงความสามารถเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงเจตนา
หากเป็นเฉินฉางเซิงเองที่พบกันสถานการณ์เช่นนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองจะเลือกเช่นใด
สิ่งที่สำคัญในใจของสังฆราชคือสิ่งใดกัน ย่อมไม่ใช่อำนาจ
เขาคิดในใจหรือว่าจะเป็นอนาคตของมนุษยชาติ
สวีโหย่วหรงรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่และตอบ “เป็นเพราะความยำเกรง”
คนอย่างสังฆราชนั้นไปอยู่ในจุดสูงสุดในแง่ของการบำเพ็ญเพียรและฐานะ ยังมีอะไรให้ต้องยำเกรงอีก
คนธรรมดาเงยหน้าขึ้นไป เห็นดวงดาวมากมายบนฟ้าเช่นเดียวกับแสงที่อยู่ในความมืดมิดอย่างที่สุดของมัน
บางที แสงนั้นอาจเป็นคุณธรรม หลักการ ความรัก ความห่วงหา หรือบะหมี่ไข่ชามหนึ่ง หรือเลือดในกาย รักที่ผูกพันธ์ลึกซึ้ง
มิใช่ทุกคนจะมีความยำเกรงนี้
สวีโหย่วหรงเชื่อว่าอาจารย์ของเฉินฉางเซิงไม่มี
ผู้ที่มีความยำเกรงในใจแม้ว่าจะอยู่ในจุดที่สูงที่สุดแล้ว คนเช่นนี้นับเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
นับตั้งแต่ต้นจนจบ จากสวรรค์สู่ปฐพี จากแสงสู่เงา ไม่ยำเกรงสิ่งใด คนเช่นนี้ย่อมน่ากลัวอย่างยิ่ง
จนถึงตอนนี้ คนผู้นั้นยังคงอยู่ในเงามืด รู้เพียงแค่ว่าเขาได้ใช้เฉินฉางเซิงอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเขาใช้เฉินฉางเซิงเพื่อสิ่งใด
“ข้ายังคงยืนกรานความคิดข้าเฉกเช่นตอนอยู่หานซาน”
สวีโหย่วหรงกล่าว “เราควรบอกทุกอย่างกับจักรพรรดินี”
เฉินฉางเซิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน