ไม่พูดถึงสังฆราชหรือศิษย์พี่ พิจารณาเพียงเรื่องอาจารย์กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ใครที่เฉินฉางเซิงไว้ใจมากกว่ากัน ไม่นานก่อนหน้านี้เขาไม่จำเป็นต้องคิดถึงคำตอบด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้ หลังจากคิดอย่างจริงจังเป็นเวลานาน ก็พบว่าเขาไม่อาจไว้ใจได้ทั้งคู่
เขาไม่เคยพบกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เข้าใจเกี่ยวกับนางบางอย่างผ่านม่ออวี่ สวีโหย่วหรงและเฉินหลิวอ๋อง แน่นอนว่าเขานั้นได้อ่านบันทึกเกี่ยวกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มามากมายจนเกินไป รู้ว่านางเป็นหญิงแกร่ง โหดเหี้ยมและไร้จิตใจ ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้ ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว อาจารย์ของเขาก็เป็นคนแบบนี้เช่นเดียวกัน บางทีเมื่อบำเพ็ญเพียรถึงระดับที่สูงขึ้น ก็จะมีความยำเกรงและสนใจต่อสิ่งต่างๆ น้อยลง และเริ่มทำเหมือนกับว่าโลกนี้ไม่มีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ กระมัง หลังจากก้าวขึ้นสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่อาจนับเป็นมนุษย์ทั่วไปได้อีก บางทีแม้แต่อารมณ์อย่างมนุษย์ก็คงไม่มีแล้ว
“หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า เมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และสังฆราชไม่มีที่ให้เจรจากันแล้ว ภายในสองปีนี้ ทุกคนก็ต่างหลอกลวงกันและกัน รวมไปถึงตัวเอง แต่พวกเขาก็ยังมีเหตุผลที่จะหลอกตัวเอง ความขัดแย้งระหว่างราชสำนักกับนิกายหลวงนั้นรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังมีโอกาสที่จิงตูจะตกอยู่ในความโกลาหล”
เฉินฉางเซิงมองสวีโหย่วหรงและกล่าว “ข้าไม่ใช่หวังผ้อที่สามารถแบกรับโลกนี้เอาไว้ได้หลังจากที่ตระกูลล้มละลายและถูกสังหาร แต่หากโลกจะพังทลายลงเพราะข้า ข้าก็คงรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง นอกจากนี้ หากข้าเป็นรัชทายาทเจาหมิงจริง ข้าก็ไม่อาจคิดได้เลยว่าจะมีเหตุผลใดที่จักรพรรดินีจะปล่อยข้าไป”
“หากเจ้าเป็นรัชทายาทเจาหมิงจริง เช่นนั้นจักรพรรดินีก็คือแม่ผู้ให้กำเนิดเจ้า”
สวีโหย่วหรงเห็นสีหน้าสงบนิ่งของเขา ก็รู้ว่าคำพูดนี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาวางใจ แม้แต่นางเองก็ยังไม่วางใจ คนอย่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยสิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์ของมนุษย์อย่างความรักของครอบครัว สวีโหย่วหรงมองออกไปนอกหน้าต่างยังต้นไม้ยามฤดูไม้ร่วงและกล่าว “ข้าจะขอร้องนางแทนเจ้า”
“หากจักรพรรดินีอยากจะฆ่าข้าจริงๆ จะมีการขอร้องใดที่เป็นผล และข้าคิดว่านางก็รู้ทุกอย่างแล้ว”
เฉินฉางเซิงลุกขึ้นยืนข้างนางริมหน้าต่าง
ในการเดินทางกลับจากหานซาน ภายใต้การดูแลปรนนิบัติอย่างเข้มงวดของสวีโหย่วหรง แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะไม่ดีขึ้น กระนั้นก็ไม่ได้แย่ลงเช่นกัน พลังแห่งเลือดแท้หงส์สวรรค์ช่วยให้เขาฟื้นฟูแรงกลับคืนมาเป็นการชั่วคราว
แสงดาวส่องต้องใบหน้างดงามของสวีโหย่วหรง ทำให้ดูขาวซีดลงกว่าเดิม “เรายังคงต้องหาวิธีแก้ปัญหานี้”
“ที่จริงแล้ว มันมีวิธีที่ง่ายมาก”
“วิธีใด”
“ไม่ว่าอาจารย์ข้าจะมีแผนการใดซ่อนเอาไว้ มันก็ต้องเกี่ยวกับข้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นหากข้าหายตัวไป เรื่องทั้งหมดก็จะหายไปพร้อมกับข้า”
ฟองอากาศในทะเลสาบสะท้อนแสงดาวงดงามแต่ก็เป็นสิ่งลวงตา ในความเป็นจริงแล้ว ผนังบางๆ ของฟองอากาศนั้นก็คือน้ำ
หากไม่มีน้ำ ก็ย่อมไม่มีฟองอากาศ
สวีโหย่วหรงพอจะเดาได้ว่าเขาจะทำอะไร
หายไปจากสายตาคนอย่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และนักพรตจี้นั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง
มีทางออกเดียวที่ทำให้ทั้งจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และนักพรตจี้ไม่มีทางแก้ได้
ก็คือหายไปจากโลกนี้
วิญญาณกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ร่างกายกลายเป็นเถ้าธุลี
ตาย
“หลังจากออกจากหานซาน ข้าก็คิดมาตลอด บางที ข้าอาจจะเป็นคนที่ไม่ควรมีชีวิตอยู่”
“หากข้าเป็นรัชทายาทเจาหมิง ตามทฤษฎีที่ว่าจักรพรรดินีได้สังเวยข้าให้กับทะเลดวงดาวเพื่อเปลี่ยนชะตาของนาง ข้าจึงไม่ควรมีชีวิตเกิดมา บางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ เมื่อข้าอยู่ในครรภ์ก่อนจะได้ลืมตาดูโลก วงตะวันในร่างกายข้าจึงถูกทำลาย แต่ด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบ ข้ายังไม่ตาย”
“คนที่ควรจะตายไปนานแล้วกลับอยู่มาได้อีกสิบกว่าปี นี่ก็นับว่าฝืนวิถีสวรรค์และทำให้โลกเกิดความปั่นป่วนแล้ว”
“หลังจากข้ายืดเวลามาได้สิบกว่าปี หากตายไปตอนนี้ ก็เท่ากับว่าได้แก้ปัญหาไป เหมือนกับการสร้างรั้งล้อมคอก”
“หากข้าตาย แผนการทั้งหมดก็จะไร้ประโยชน์ ความขัดแย้งทั้งหมดก็จะไร้ความหมาย เหลือไว้แต่ความสงบและสันติ ไม่ใช่เรื่องแย่อันใด”
เฉินฉางเซิงจ้องมองดวงตาของสวีโหย่วหรงและกล่าวอย่างจริงจัง
เขากล่าวช้าๆ กล่าวแต่ละคำออกมาอย่างชัดเจนเพื่อให้แน่ใจว่านางได้ยินเจตนาของเขา
สวีโหย่วหรงได้ยินและรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร สีหน้านางยังคงสงบ ทว่าน้ำเสียงกลับเปลี่ยนเป็นโมโหขึ้นมา “ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย”
“เจ้าก็เข้าใจ ต่อให้ข้าไม่อยากจะตาย ข้าก็ยังต้องตายอยู่ดี ก็แค่ว่าจะตายเร็วขึ้นหลายสิบวันหรือตายช้าไปอีกหลายสิบวันเท่านั้น”
เฉินฉางเซิงอธิบายอย่างจริงจัง
ในการสนทนาอย่างยาวนานกับสังฆราชในพระราชวังหลี พวกเขาได้พูดถึงเรื่องจากเมื่อพันปีก่อน เรื่องดินแดนที่อยู่ไกลสุดคณนา และอาการป่วยของเขา แต่ก็ไม่ได้ละเอียดนัก เรื่องการรักษายิ่งไม่ค่อยได้พูด
จึบชัดเจนแล้วว่าสังฆราชก็ไม่อาจรักษาอาการป่วยของเขาได้
เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาครุ่นคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่สิบขวบหรือไม่ พอปัญหานี้มาปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาจริงๆ เฉินฉางเซิงถึงได้ไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด
บางทีข้าอาจชินชาแล้ว เขาคิดในใจ
ณ เวลานี้เขาครุ่นคิดอย่างจริงจัง ในเมื่อเขากำลังจะตาย สิ่งที่เขาควรทำก่อนตายคือสิ่งใด และจะตายอย่างไร
บางทีมันอาจจะแตกต่างกันอย่างมากแค่ไม่กี่สิบวัน จะตายเร็วหรือช้านั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือจะตายในโอกาสใด
ตายเพราะเส้นลมปราณแห้งเหือดเลือดหมดสิ้น หรือถูกยอดฝีมือสักคนกินเข้าไป จะตายอย่างไรนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเขาเป็นคนที่ตัดสินใจที่จะทำ
เขาฝึกบำเพ็ญในวิถีแห่งการทำตามใจปรารถนา เมื่อเขาไม่อาจมีชีวิตได้ดังที่หวัง ก็เพียงต้องเลือกว่าจะจบลงอย่างไร
ยามที่เขาคิดถึงปัญหาเหล่านี้ ดวงตาเขาก็ส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อนางเห็นดวงตาของเขา สวีโหย่วหรงก็มั่นใจในเจตนาของเขาและหัวใจนางก็เศร้าอย่างล้ำลึก
“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย” นางยื่นคำขาด
ในหานซาน ระหว่างเดินทาง หรือเมื่อครู่นี้ นางมักกล่าวกับเฉินฉางเซิงว่า “ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย”
ตอนนี้นางกล่าวว่า “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย”
มันต่างกันเพียงไม่กี่คำ ทว่ากลับมีความหมายที่ต่างไปอย่างมาก แสดงถึงอารมณ์ที่ต่างกันไปมาก
ปกติแล้วเมื่อผู้หญิงกล่าวประโยคนี้ ดวงตามักจะแดงก่ำน้ำเสียงสะอื้น
แต่สวีโหย่วหรงยังคงสงบนิ่ง ถึงขั้นเรียกได้ว่าเฉยชา
แม้แต่นางยังไม่ตระหนักว่าในยามที่นางกล่าวมันออกมา น้ำเสียงนางสั่นไหวเล็กน้อย
มันคือความสิ้นหวังอย่างล้ำลึก
……
……
ทั่วทั้งต้าลู่ มีเพียงห้าคนที่รู้ว่าเฉินฉางเซิงกำลังจะตาย
สำหรับคนส่วนใหญ่ในจิงตู มันก็เป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง พวกเขาใช้ชีวิตอย่างปกติ ทำงาน กินข้าว เดินเตร่ ดื่มสุราพูดคุย ไปมุงดูหลังจากเห็นรถม้าของตระกูลสูงส่งชนเข้ากับสิงโตหิน ได้ยินข่าวลือบางอย่างและเริ่มแพร่ข่าวออกไปอย่างตื่นเต้น
ในวันธรรมดายามฤดูใบไม้ร่วงนี้ ข่าวน่าตกใจแพร่ไปทั่วจิงตู ดึงดูดความสนใจของคนทั้งมวล
มีคนหลายคนรู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าขบวนเดินทางของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้มาถึงจิงตูพร้อมกับขบวนของนิกายหลวง ทว่ากระทั่งเช้าวันนี้นี่เองพวกเขาถึงได้รู้ว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้พักที่พระราชวังหลี ไม่ใช่ที่วังหลวง หรือกลับไปที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ แต่นางตรงไปยังสำนักฝึกหลวง
ยิ่งไปกว่านั้น ว่ากันว่านางอยู่ในสำนักฝึกหลวงตลอดทั้งคืน
“เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสำนักฝึกหลวงตลอดทั้งคืนอย่างแน่นอน!”
เจ้าของโรงจำนำยืนอยู่หน้าร้านโบกมือตะโกน สีหน้าเคร่งเครียดและยำเกรงราวกับว่ากำลังอ่านคัมภีร์นิกายหลวงอยู่
ไม่มีใครยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะชายหนุ่ม ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบัณฑิตหรือผู้ใช้แรงงาน ล้วนยืนออกันอยู่ที่ประตูร้านด้วยสีหน้าปั้นยาก