GGS:บทที่ 971 คนไข้รายแรก
ณ โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน ลูฉินหมิงที่ตอนนี้กำลังวุ่นอยู่กับการรักษาในคลินิกประจำโรงพยาบาล โดยที่ในส่วนคลินิคที่ดีที่สุดของโรงพยาบาลนี้จะถูกเรียกว่าโซนวีไอพีโดยมีซูจิ้งเป็นผู้ดูแลแต่เพียงผู้เดียว
“รองประธานตั้งใจจะใช้ห้องนี้เป็นคลินิกพิเศษ(โซนวีไอพี)จริงๆหรือครับ” หมอคนหนึ่งที่เห็นเครื่องไม้เครื่องมือสุดแสนจะธรรมดาก็อดจะถอนหายใจและถามออกมาอย่างสงสัยเสียไม่ได้
“นี่จะเป็นไปได้จริงๆเหรอที่เขาจะใช้เครื่องมือเพียงเท่านี้แล้วได้รับค่ารักษาหลักล้านมาน่ะ” หมออีกคนถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน
“คุณซูตัดสินใจที่จะลดค่ารักษาในส่วนคลินิกรักษาทั่วไปเพื่อให้โรงพยาบาลของเรามีชื่อเสียงคืนมาอันนี้ฉันก็เห็นด้วยนะ แต่การที่จัดต้องการรักษาแบบพิเศษนี่….นี่มันไม่ใช่ว่าจะยิ่งบั่นทอนชื่อเสียงของพวกเราหรอกเหรอ”
“หยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้วน่า เดี๋ยวประธานซูก็เข้ามาได้ยินหรอก”
ลูฉินหมิงถอนหายในออกมาเบาเมื่อได้ยินบุคลากรของตัวเองพูดถึงแต่เรื่องนี้กันถึงแม้จะเป็นเสียงเบาๆแต่ก็ทำให้เขาต้องถอดถอนหายใจอยู่ดี
ความคิดของซูจิ้งนั้นเอาจริงๆก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเพียงแต่เขากลัวแต่ว่าความคิดของเขาจะหวังผลไว้สูงเกินไป เอาจริงๆเขากลัวว่าไอ้ความคิดเรื่องคลีนิกพิเศษที่เริ่มค่าใช้จ่ายเริ่มที่หนึ่งล้านหยวนนี้จะเป็นเพียงการหาเรื่องว่างงานของซูจิ้งด้วยซ้ำ
“รองประธานลูครับ รองประธาน” ทันใดนั้น มีเสียงนางพยาบาลสาวคนหนึ่งได้รีบเข้ามาหาลูฉินหมิงอย่างร้อนรน
“เกิดอะไรขึ้น” ลูฉินหมิงถามออกมาด้วยความสงสัย
“มีคนข้าคนหนึ่งเข้ามาเพื่อขอเข้ารับการรักษาจากประธานซูค่ะ เขาบอกว่าพร้อมที่จะรับเงื่อนไขการรักษาในคลีนิกพิเศษ” นางพยาบาลพูดออกมา
“ว่าไงนะ” ลูฉินหมิงถามออกมาก่อนที่จะนิ่งอึ้งไป
“คนคนนั้นเขารู้ใช่รึเปล่าว่าค่าใช้จ่ายขั้นต่ำอยู่ที่หนึ่งล้านหยวน” หมอที่เมื่อสักครู่กำลังเผาซูจิ้งอยู่ได้ถามออกมา
“ใช่ค่ะ เขาวางเงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนไว้แล้วด้วย” นางพยาบาลพูดออกมา
ลูฉินหมิงในตอนนี้ได้แต่ทำท่าทางโง่งม แม้แต่หมอที่กำลังนินทาซูจิ้งก่อนหน้านี้ก็มีท่าทางไม่ต่างกัน พลางนึกถึงว่าคลีนิกพิเศษในตอนนี้ที่ไม่ค่อยจะมีเครื่องมืออะไรเลยด้วยซ้ำจะพร้อมรักษาได้ยังไง
ยิ่งไปกว่านั้นคนๆนี้ยังวางเงินไว้แล้วหนึ่งล้านหยวนพลางนึกไปว่าโรคที่ต้องยอมเสียเงินกว่าล้านหยวนเพื่อรักษานี่ต้องเป็นโรคร้ายแรงแค่ไหนกันแน่ นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายหลังการรักษาอีกนะ
และที่สำคัญที่สุดคือซูจิ้งคือหมอชนิดที่ว่าใหม่ๆสดๆซิงๆเลยนะ นี่เขาน่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอ
“ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ให้เขาเข้ามาก่อนก็แล้วกัน” ลูฉินหมิงพูดออกมากับพยาบาลสาวคนที่เข้ามาแจ้งข่าว
“ได้ค่ะ” พยาบาลสาวรีบวิ่งออกไปในทันที
ลูฉินหมิงได้หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาก่อนที่จะโทรหาซูจิ้ง เมื่อซูจิ้งรับสายปรากฏว่าตัวเขานั้นยังอยู่บ้าน ต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งกว่าจะถึง
สักพักหนึ่ง พยาบาลสาวก็ได้พาคู่สามีภรรยาวัยกลางคนพร้อมกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งเข้ามา เด็กผู้ชายคนนี้เข้ามาโดยเขาอยู่ตรงกลางระหว่างคู่สามีภรรยาที่จูงมือเขาอย่างทะนุถนอม สายตาของเด็กผู้ชายค่อนข้างฉายแววคุ้มคลั่งผิดกับท่าทางนี่ทำให้ลูฉินหมิงรีบเข้าไปต้อนรับเป็นการส่วนตัวในทันที
ทั้งสองได้อธิบายสถานการณ์ของลูกเขาให้ฟังพร้อมทั้งผลการตรวจร่างกายที่เคยผ่านมา และนี่ทำให้เขานั้นรู้เหตุผลทันทีว่าทำไมเด็กน้อยถึงมีท่าทีแบบนี้
นั่นเป็นเพราะว่าเขาพึ่งจะผ่านการตรวจสอบปัสสาวะผ่านการเจาะเก็บปัสสาวะผ่านทางหน้าท้องมา
นี่เป็นเทคนิคการตรวจของแพทย์ตะวันตกสมัยใหม่ที่นิยมใช้ในการตรวจหาโรคที่เกี่ยวข้องเลนส์ตาหรือก็คือต้อกระจกนั่นเอง
โรคต้อกระจกนี้เป็นโรคที่ก่อให้เกิดการสูญเสียทัศนวิสัยน์ทางการมองเห็นจนนำพาไปถึงขั้นตาบอดได้เลย โดยเด็กน้อยคนนี้มีอาการที่หนักมากจนถึงขั้นสูญเสียทัศนวิสัย์ในการมองเห็นจนตาพล่ามัวไปแล้ว ต่อให้จะยังไม่ถึงกับบอดแต่ก็ถือว่าหนักมากอยู่ดี
คู่สามีภรรยานี้เองก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สายตาลูกชายของเขาแย่ลง พวกเขาไม่มีเวลาดูแลลูกโดยทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับหาเงิน
ตอนแรกนั้นพวกเขาเองก็ไม่รู้เรื่องที่ลูกชายตัวเองมีปัญหาด้านสายตาแม้แต่น้อย ตอนที่พวกเขาสังเกตเห็นก็เพียงนึกว่าเป็นเพราะไม่เคยดุด่าไม่ให้ลูกของเขาใช้สายตามากเวลาดูทีวีเท่านั้น
กว่าจะพบว่าลูกตัวเองมีสายตาปัญหาจริงๆก็เรียกได้ว่าสายเกินแก้แล้ว กว่าทั้งคู่จะพาเด็กชายคนนี้ไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาจริงจังก็ทำได้เพียงรักษาตามอาการเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แถมยังมีท่าทีที่ต่อกระจกตาจะเสื่อมเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“อาการหนักแล้วนะครับ พวกเราต้องรีบรักษาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้” ถึงลูฉินหมินจะพูดออกมาแบบนั้นแต่ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าอาการของเด็กน้อยสายเกินแก้แล้ว
“ที่เรามาหาคุณซูในวันนี้เป็นเพราะพวกเราเคยได้ยินมาว่าคุณซูนั้นไม่เพียงจะรักษาอาการนี้ได้ แต่คนที่เขาเคยรักษายังมีสายตาที่ดีขึ้นจนถึงขั้น 5.3 เลยด้วยซ้ำ” แม่ของเด็กผู้ชายได้พูดออกมา
“ห้ะ นี่คุณไปได้ยินมาจากไหนกัน” เมื่อได้ยินดังนั้น ลูฉินหมิงก็ได้แต่นิ่งอึ้งไป แม้แต่หมอที่อยู่ใกล้ๆกันที่ได้ยินดังนั้นก็มีสภาพไม่ต่างกัน
ต้องรู้กันก่อนว่าโรคที่เกี่ยวกับกระจกตานั้นถือได้ว่าเป็นโรคทางระบบประสาทอย่างหนึ่ง นั่นหมายความว่าเมื่อกระจกตาได้รับความเสียหายจะเป็นความเสียหายแบบถาวรเนื่องจากระบบประสาทจะไม่มีความสามารถในการฟื้นฟูสภาพตัวเอง
การรักษาและการซ่อมแซมระบบประสาทนั้นโดยทั่วไปแล้วเป็นเพียงการหลอกระบบประสาทไม่ให้เกิดอาการรุกลามเท่านั้น
นั่นหมายความว่าเมื่อป่วยเป็นโรคนี้แล้วจะไม่มีวันหายอย่างแน่นอน หากว่ารู้ตัวช้าไปมากเท่าไหร่ยิ่งส่งผลต่อระดับการรักษาได้ยากมากขึ้นเท่านั้น แต่กว่าโรคจะแสดงอาการจนสามารถตรวจพบได้โดยส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่สายเกินแก้ไปแล้วทั้งสิ้น
ตอนนี้เด็กตรงหน้าพวกเขานั้นมีอาการที่เรียกได้ว่าหนักมาก ต่อให้มีการรักษาดีขนาดไหน ระดับการมองเห็นไม่มีทางฟื้นฟูมาสภาพเดิมได้ นับประสาอะไรกับการเพิ่มระดับการมองเห็นเป็น 5.3 เลย นั่นเป็นเพียงการฝันลมๆแล้งๆชัดๆ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆได้ยินก็ต้องถึงกับเหวอกันไปหมด ต่อให้ไม่ต้องพูดถึงการรักษาโรคต้อกระจกนี่เลย เรื่องการฟื้นฟูระดับการมองเห็นเพียงเรื่องเดียวนี่ยังยากเย็นนัก
ขนาดคนที่ผ่านการทำเลสิกมาแล้วก็ยังมีปัญหาตามมาอยู่เรื่อยๆ ดังที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ว่าหากระบบประสาทได้รับความเสียหายย่อมต้องไม่มีทางฟื้นฟู ดังนั้นคนที่จะทำเลสิกได้จึงจะต้องเป็นคนที่ไม่มีโรคทางระบบประสาทตาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นไม่เพียงระยะสายตาจะไม่ได้ดีขึ้น แต่จะทำให้โรคต้อกระจกจะยิ่งแสดงอาการมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
แต่ดูเหมือนว่าคู่สามีภรรยาคู่นี้จะเชื่อเรื่องที่ซูจิ้งสามารถรักษาโรคกระจกนี้อย่างหมดใจ นี่เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าข่าวลวงฆ่าคนได้
ซูจิ้งต้องแก้ตัวเรื่องนี้ให้ดีๆซะแล้ว ไม่อย่างนั้นนี่จะค่อนข้างจะกลายเป็นปัญหาสำหรับการเป็นหมอของเขาในอนาคต
“เอ่ออออ เรื่องการเพิ่มสมรรถนะการมองเห็นเป็น 5.3 หลังการรักษานั้นคงจะเป็นไปไม่ได้หรอกครับ และการฟื้นฟูระดับการมองเห็นได้นั้นก็อาจจะไม่เท่ากับระดับปกติ
แต่ไม่ว่ายังไงพวกเราก็จะทำให้เต็มที่เพื่อปกป้องการมองเห็นของลูกชายคุณเอาไว้ให้สุดความสามารถ” ลูฉินหมิงได้พูดออกมา
“เพียงแค่พวกคุณไม่สามารถ ไม่ใช่หมายความว่าคุณซูจะไม่สามารถนี่นา พวกเราไม่ได้จ่ายเงินหนึ่งล้านหยวนเพียงเพื่อแค่มาใช้พื้นที่วีไอพีนี่เท่านั้นนะ ไม่ใช่ว่านี่สมควรจะเป็นคุณซูที่มารักษาหรอกเหรอ เขาอยู่ไหนกัน” แม่ของเด็กชายได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจกับหมอเหล่านี้
“ต่อให้คุณซูมาก็สมควรจะทำไม่ได้เหมือนกันนะครับ นี่เป็นปัญหาการรักษาที่อยู่ในระดับโลกเลยนะ ต่อให้ยกหมอทั้งโลกมาก็ไม่มีทางรักษาได้ ผมที่เป็นรองประธานคนนี้ไม่มีทางพูดจาไร้สาระเป็นอันขาด” ลูฉินหมิงได้พยายามอธิบายให้คนไข้ฟัง
“ฉันไม่พูดอะไรกับคุณแล้ว ฉันจะพูดกับคุณซูคนเดียวเท่านั้น” พ่อของเด็กชายได้ตัดบทพูดด้วยท่าทีไม่พอใจอย่างมาก ลูฉินหมิงเองก็พยายามที่จะอธิบายเพิ่มเติมแต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมฟังกันจนทำให้บรรยากาศรอบข้างในตอนนี้คุกรุ่นราวกับปืนที่เตรียมพร้อมจะยิงออกมาได้ทุกเมื่อ
ในตอนนี้เองที่ซูจิ้งได้เขามาถึง เขาเดินเข้ามาพร้อมพูดออกมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อยว่า “คุณลู ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าหากไม่ใช่เคสด่วนล่ะก็ คนไข้ในคลีนิกผู้ป่วยพิเศษนี้ผมจะเป็นคนรักษาเอง”
“ผมไม่ได้พยายามจะรักษา ผมแค่พยายามจะอธิบายให้พ่อแม่ของเด็กน้อยคนนี้ฟังเฉยๆว่าพวกเขากำลังเชื่อในสิ่งที่ผิดอยู่เท่านั้นเอง
พวกเขาคิดว่าหลังจากรักษาแล้ว ความสามารถในการมองเห็นของเด็กน้อยจะดีเหมือนเดิม เมื่อผมได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะอธิบายให้ทั้งสองเข้าใจก่อนเพราะผมกลัวว่าจะกลายเป็นปัญหาทีหลังน่ะ” ลูฉินหมิงพูดออกมา
“แล้วใครบอกว่าการมองเห็นของเด็กน้อยคนนี้จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไม่ได้กัน อย่ามาด่วนสรุปก่อนที่ผมจะได้ดูอาการสิ” ซูจิ้งพูดออกมา เมื่อได้ยินดังนั้นทำให้ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆเองได้แต่มองเขาแบบตาไม่กระพริบ
“คุณซู ในที่สุดคุณก็มาสักที คือ…ลูกชายผมมีอาการ…” หลังจากได้เห็นซูจิ้ง ชายวัยกลางคนก็ได้รีบยืนขึ้นแล้วก้าวเข้ามาหาซูจิ้งด้วยความยินดียิ่งก่อนที่จะเริ่มอธิบายอาการของลูกชายตัวเอง
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะพยายามรักษาลูกของคุณอย่างสุดความสามารถ รับรองได้ว่าในไม่ช้าเขาจะกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ
ลูฉินหมิงละหมอคนอื่นๆที่เห็นฉากนี้ต่างก็พูดกันไม่ออก การรักษาโรคทางดวงตานั้นสำหรับพวกเขาแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นี่ซูจิ้งไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้ไปรับปากพ่อแม่ของเด็กน้อยนี่กัน
แถมเขายังพูดราวกับว่าเขาสามารถทำให้ระยะการมองเห็นดีในโดยเร็วได้เสียอีก พวกเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าซูจิ้งจะทำยังไงกันแน่ในการรักษานี้