GGS:บทที่ 972 ทรงพลัง
ในคลีนิกพิเศษ ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆในตอนนี้ถูกเชิญ(ไล่)ให้ออกไป เหลือเพียงซูจิ้ง เด็กชายตัวน้อยและพ่อแม่ของเด็กชายเพียงเท่านั้น
ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นต่างก็รู้สึกว่าสิ่งที่ซูจิ้งทำนั้นไม่เหมาะสมเลยแม้แต่น้อยกับการที่เขาได้ไปสัญญาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้กับพ่อแม่ของเด็ก
ในขณะเดียวกันพวกเขายังคงเป็นกังวลในตัวซูจิ้งด้วยเช่นกัน พวกเขากังวลว่าด้วยความสามารถในการแพทย์ของซูจิ้งนั้นนอกจากจะรักษาไม่หายแล้วเกรงว่าจะทำให้เด็กน้อยตาบอดไปเลยเสียอีก
นั่นก็เพราะว่าต่อให้ซูจิ้งมีทักษะการแพทย์สูงเทียมฟ้าขนาดไหน แต่นี่ก็ยังถือว่าเขาเพิ่งจะได้เรียนเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เขานั้นยังถือได้ว่าขาดประสบการณ์อย่างมาก
อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างก็คิดว่าซูจิ้งนั้นใจร้อนและมั่นใจในทักษะความสามารถเกินไป ซึ่งสิ่งนี้แม้แต่ตัวของลูฉินหมิงและหมอคนอื่นก็ไม่อาจทำอะไรได้เพราะยังไงซะซูจิ้งก็ยังถือว่าเป็นประธานของพวกเขาอีกด้วย นี่ทำให้ทุกคนเริ่มเป็นห่วงอนาคตของโรงพยาบาลอย่างมาก
“หมอซูครับ อาการตาบอดของลูกชายของผมจะรักษะได้รึเปล่าครับ” พ่อของเด็กน้อยได้ก้าวเท้าเข้ามาข้างหน้าซูจิ้งก่อนที่จะเอื้อมมือตัวเองไปจับมือกับมือของซูจิ้งด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย
“อย่ากังวลไปเลยครับ โรคนี้ผมสามารถรักษาให้หายได้” ซูจิ้งพยักหน้ารับพลางตบบ่าของชายตรงหน้า เขาพลันนึกไปถึงเรื่องที่ลูฉินหมิงสอบถามอาการก่อนหน้านี้ เขานั้นได้ยินมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเด็กน้อยคนนี้มีอาการตาเป็นต้อ
แต่นั่นก็ต้องทำให้ซูจิ้งนึกสงสัยอย่างหนึ่งก่อนจะถามออกมาว่า “ขอถามหน่อยได้หรือเปล่าครับว่าคุณไปได้ยินเรื่องที่ผมสามารถรักษาอาการทางสายตานี้มีจากไหน คุณรู้แม้กระทั่งว่าผมมียาพิเศษสำหรับรักษาโรคนี้โดยเฉพาะอีกด้วย”
“เอ่อออ เป็นตอนที่พวกเราสองคนพาลูกของผมไปโรงพยาบาลเฉพาะทางแล้วพบว่าลูกชายของพวกเรามีอาการเป็นต้อขั้นร้ายแรง ที่นั่นผมได้ยินหมอคนหนึ่งสามารถรักษาโรคนี้ได้ในทันที
แต่เมื่อพวกผมพาลูกชายไปรักษาจริงๆกลับพบว่าหมอคนนั้นสามารถรักษาได้เพียงชะลออาการไว้ได้เท่านั้น กลับกันหลังจากรักษาเขากลับตัวพบว่าหากไม่รักษาอย่างต่อเนื่องล่ะก็ อาการเสื่อมของกระจกตาของลูกผมนั้นมีแนวโน้มว่าจะเสื่อมเร็วขึ้นอีกด้วย
ถึงขนาดที่หมอที่นั่นพูดออกมาเลยว่าด้วยวิธีการรักษาของเขาในตอนนี้ถือได้ว่าดีที่สุดในโลกแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถรักษาให้หายได้
นี่จึงทำให้ผมนั้นรู้สึกได้แล้วว่าอาการดวงตาของลูกชายของผมนั้นหนักกว่าที่คิดมาก ในตอนนั้นผมก็ไม่เหลือทางเลือกอะไรจึงได้ทำการสืบค้นหาว่ามีหมอคนไหนบ้างที่ดีกว่าหมอพวกนั้นในเมืองจีน
แต่ขนาดหมอที่ดีที่สุดในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเมืองจีนก็ยังขอยอมแพ้กับโรคทางสายตาของลูกชายของผมเลย
ไม่คาดคิดว่าอยู่ๆผมก็ได้ข่าวเกี่ยวกับเด็กคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลัวเสี่ยวซีที่มีอาการตาบอดด้วยโรคภัยเช่นเดียวกับลูกชายของผม ในตอนแรกเธอเองก็ถูกวินิจฉัยว่าดวงตาจะไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้
แต่ตอนนี้เธอกลับหายดีแล้ว ผมเลยลองสืบเพิ่มเติมดูก็พบว่าไม่เพียงแค่เธอหายจากอาการตาบอดเท่านั้น แต่สายตาของเธอกลับดีขึ้นเสียยิ่งกว่าเดิม
นี่เป็นเหตุผลที่ผมบุกเข้าไปหาหลัวเทียนฟู่ซึ่งเป็นพ่อองหลัวเสี่ยวยี่ ตอนแรกเขาเองก็ไม่ได้มีท่าทีจะยอมบอกแม้แต่น้อย แต่เมื่อเขาได้รู้เรื่องของลูกชายของผมและเมื่อเขาพิสูจน์แล้วว่าเรื่องราวของผมเป็นเรื่องจริง
เขาเองก็เหมือนจะเข้าใจความทุกทรมานของพวกผมดีจึงยอมบอกเรื่องของคุณครับ คุณซู” พ่อของเด็กน้อยได้ร่ายยาวออกมาด้วยความจริงใจ
“โอ้ เป็นเช่นนี้” ซูจิ้งพยักหน้ารับ ความจริงเขาก็พอจะคิดเรื่องแบบนี้ไว้บ้างอยู่แล้วว่าไม่ว่าจะหลบยังไงก็หลบไม่พ้นที่ความลับนี้จะรั่วไหลออกมา
ถึงแม้เขาจะสามารถควบคุมให้หลัวเทียนฟู่ให้รักษาความลับของสถาบันวิจัยฯห้วงเวลาฯของเขาไว้ได้อย่างดีก็จริง แต่สำหรับการรักษาลูกสาวของเขาให้หายขาดจากอาการทางสายตาของลูกสาวของเขานั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
ด้วยการที่เขานั้นไม่ได้รักษาลูกสาวของหลัวเทียนฟู่ที่มีอาการป่วยทางดวงตาที่ใครๆก็บอกว่าหนักมากแต่เขากลับรักษาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
นี่จึงทำให้เรื่องราวการรักษาอาการทางสายตาของเด็กสาวคนนี้เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานการรักษาของเขาเหตุการณ์หนึ่งเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่ว่าใครเป็นผู้รักษาหลัวเสี่ยวซีจะไม่เป็นที่ปรากฎชัดนัก แต่หากมีคนที่ตั้งใจจริงในการรักษาแบบชายคนนี้ที่ต้องการรักษาอาการทางสายตาของลูกชายตัวเอง
แน่นอนว่าหากไม่ละความพยายามสักหน่อยและโอกาสอำนวย แน่นอนว่าย่อมเจอว่าเป็นซูจิ้งที่เป็นคนรักษาลูกสาวของหลัวเทียนฟู่ได้อย่างไม่ยากเย็น
“เด็กน้อย มานี่มา ให้ฉันนวดผ่อนคลายนายสักหน่อย” ซูจิ้งค่อยๆดึงเด็กชายตัวน้อยให้เข้ามาใกล้ๆกับตัวเองก่อนที่จะทำท่าคล้ายๆกับนวดคลายประสาทที่ตรงดวงตา
แต่ที่จริงนั้น ซูจิ้งในตอนนี้ได้เริ่มการรักษาโดยอย่างแรกที่เขาทำนั้นคือการใช้เวทย์มนต์สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ
เวทย์นี้เป็นหนึ่งในเวทย์มนต์รักษาโดยใช้พลังภายในแห่งพฤษษาในการรักษาจากบริเวณปลายนิ้วของตนเองในระหว่างการกดนวด
หลังจากนวดไปได้สักพักหนึ่ง ซูจิ้งก็ได้หยุดมือลง พ่อแม่ของเด็กชายที่เห็นนั้นตอนแรกที่ได้ยินทั้งสองก็คิดว่าซูจิ้งอาจจะใช้วิธีการนวดที่พิเศษอย่างการกดจุดแบบในหนังจีนแต่ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นเพียงแค่การนวดธรรมดาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านการนวดไปแล้ว เมื่อเด็กน้อยได้ลืมตาขึ้น เขาแสดงท่าทีมีความสุขอย่างมาก ก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“พ่อครับแม่ครับ ผมว่าผมเห็นอะไรๆชัดขึ้นแล้วนะ”
“ห้ะ จริงเหรอ” พ่อแม่ของเด็กน้อยถามย้ำออกมาด้วยท่าทีที่สุขใจ แม่ของเด็กน้อยได้ลองถอยหลังไปสองก้าวก่อนที่จะถามเด็กน้อยว่าเห็นเธอชัดหรือไม่
เธอได้ถอยไปเรื่อยๆชนิดที่ว่าไกลจนสุดห้องแต่เด็กน้อยก็ยังบอกอย่างหนักแน่นว่าเห็นชัดอยู่ดี แม่ของเด็กน้อยได้ลองชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วแล้วถามออกมาว่า “ยี่น้อย นี่อะไรเอ่ย”
“สอง” เด็กน้อยตอบออกมาชัดถ้อยชัดคำอย่างรวดเร็ว
“แล้วนี่ล่ะ” แม่ของเด็กน้อยได้เปลี่ยนมือแล้วชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว
“สาม” เด็กน้อยได้ตอบออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกครั้ง
“สุดยอด คุณซู คุณคือหมอเทวดาจริงๆ” พ่อแม่ของเด็กน้อยในตอนนี้อย่างอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ นั่นก็เพราะว่าทั้งสองเคยได้พอเด็กน้อยไปรักษาอยู่ในพยาบาลใหญ่ในเมืองหลวงอยู่หลายวันแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าอาการของเด็กน้อยจะดีขึ้นเลยสักนิด
แต่นี่เพียงซูจิ้งนวดลูกชายของเธอธรรมดาๆเท่านั้น อาการของลูกชายของทั้งสองคนกลับหายดีเป็นปิดทิ้ง
“อย่าเพิ่งดีใจไปครับ ที่ผมทำในตอนนี้เป็นเพียงการรักษาแบบเร่งด่วนเท่านั้น เขานั้นยังตั้งมีการรักษาอย่างต่อเนื่องอยู่” ที่ซูจิ้งพูดออกมานี้เป็นความจริง นั่นก็เพราะว่าเวทย์มนต์สัมผัสแห่งใบไม้ฯนี้ทำได้เพียงรักษาอาการบาดเจ็บของดวงตาของเด็กชายคนนี้เท่านั้นเพื่อที่จะไม่ให้เด็กน้อยต้องตาบอด
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่การรักษาที่แท้จริง หากว่าเด็กน้อยคนนี้ไม่ได้มารักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานเด็กน้อยคนน้อยจะมีอาการเช่นเดิม นั่นก็เพราะเหตุแห่งโรคยังไม่ได้รักษานั่นเอง
หลังจากนั้นซูจิ้งได้พูดออกมาต่อว่า “ให้ลูกชายของพวกคุณแอดมิตที่นี่ก่อนแล้วกัน หลังจากผมรักษาต่ออีกสองสามวันเขาก็น่าจะหายเป็นปกติดี”
“ได้ครับ/ได้ค่ะ พวกเรายินดีที่จำตามสิ่งที่คุณหมอซูพูด” ทั้งสองคนในตอนนี้เชื่อใจซูจิ้งอย่างมาก
หลังจากนั้น ทั้งสองได้จากไปพร้อมทั้งฝากฝังซูจิ้งให้ดูแลลูกของเขาด้วยน้ำตาแห่งความปิติ ก่อนกลับซูจิ้งได้ขอให้พ่อแม่ของเด็กน้อยนำใบสั่งยาไปให้ห้องจ่ายยาก่อนที่จะกลับไป ไม่นาน ก็ได้มีพยาบาลมาจัดการต้มยาให้เด็กน้อยดื่ม
ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆเองต่างก็รู้สึกกังวลแทนซูจิ้งอยู่บ้าง นั่นก็เพราะซูจิ้งไม่ได้ทำอะไรพิเศษอย่างอื่นเลยนอกจากการนวดตาให้เด็กน้อยและให้เขาดื่มยาเพียงเล็กน้อยในทุกวันที่เขาอยู่ที่นี่เท่านั้น
นี่ยิ่งทำให้พวกเขานั้นรู้สึกอึดอัดมากๆขึ้นในทุกๆวัน สำหรับพวกเขาแล้ว โรคที่ทำร้ายระบบประสามทแบบนี้ไม่มีทางเลยที่จะหายได้ พวกเขากังวลว่าหาซูจิ้งยังคงรักษาจนกระทั่งเด็กน้อยสูญเสียการมองเห็นไป พวกเขาไม่อยากจะนึกสถานการณ์ที่คู่สามีภรรยาคู่นั้นมาฟ้องร้องพยาบาลเลียแม้แต่น้อย
“ยี่น้อยเป็นยังไงบ้าง” ลูฉินหมิงที่เห็นนางพยาบาลที่ดูแลเรื่องยาให้เด็กน้อยออกมาจากห้องพักคนไข้ที่เด็กน้อยพักอยู่ เขาก็ได้แอบถามด้วยน้ำเสียงเบาๆ ในก็เพราะด้วยการที่พ่อแม่ของเสี่ยวยี่ยังเป็นกังวลในอาการของลูกชายอยู่บ้าง หลังจากจัดการเรื่องทุกอย่าง ผู้เป็นแม่ก็ได้มาอยู่เพื่อนของลูกน้อยของเธอ เขาจึงเกรงว่าเธอจะได้ยินคำพูดแย่ๆเกี่ยวกับอาการของลูกเธอ
“การมองเห็นของเขาดีขึ้นมาก ประธานของเรานี่สุดยอดจริงๆ” นางพยาบาลสาวได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ห้ะ ดีขึ้นมากแล้ว เป็นไปได้ยังไงกัน” ลูฉินหมิงทำได้เพียงตกใจจนอุทานออกมาเบาๆและนิ่งไปในทัที เขานั้นกังวลมาตลอดว่าอาการของเด็กน้อยจะแย่ลงจึงได้แอบเข้ามาถาม
แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าจะได้ยินคำตามที่ไม่ได้คาดคิดแบบนี้มาก่อน นั่นก็เพราะนี่พึ่งจะผ่านไปได้เพียงวันเดียวเท่านั้น ต่อให้การรักษาโรคนี้ที่ดีที่สุดที่เขารู้จักก็ไม่มีทางทำได้ขนาดนี้ แถมยังไม่มีผลในการฟื้นคืนการมองเห็นอีกด้วย
“ใช่ค่ะ ตอนนี้เขาเห็นได้ชัดเจนดีกว่าตอนที่เขาเข้ามาที่นี่วันแรกมากเลย” นางพยาบาลสาวยังพูดต่อ
ลูฉินหมิงที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่เชื่อในทันที เขาได้เปิดประตูแล้วเข้าไปตรวจดูอาการของเด็กน้อยแบบดื้อๆชนิดที่สองแม่ลูกที่อยู่ในห้องตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
หลังจากตรวจเสร็จแล้ว ลูฉินหมิงก็ได้เดินออกมาจากห้องโดยทิ้งให้สองแม่ลูกมองตามออกมาก่อนที่จะหันหน้ามาจ้องมองกันด้วยท่าทีงงงวย แต่หากทั้งสองเห็นหน้าของลูฉินหมิงในตอนนี้จะเห็นว่าหน้าของเขานั้นงงงวยยิ่งกว่าทั้งสองคนพร้อมกับท่าทางประหลาดใจ
หมอบางคนที่กังวลเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นลูฉินหมิงเพิ่งออกมาจากห้องด้วยท่าทีแปลกๆก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามสถานการณ์
แต่ยิ่งได้ยินคำถาม ลูฉินหมิงก็ยิ่งทำหน้าเหมือนอยากจะบอกอะไรสักอย่างแต่ก็พูดอะไรไม่ออก นั่นก็เพราะว่าอาการของยี่น้อยนั้นดีขึ้นอย่างหน้าเหลือเชื่อ
ลูฉินหมิงยังแอบลอบติดตามอาการของเด็กน้อยแบบนี้อยู่อีกสองวันด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเป จนในวันที่สาม หลังจากที่พวกเขาตรวจสอบการมองเห็นของเสี่ยวยี่อีกครั้ง หมอทุกคนต่างก็แทบจะทรุดลงไปอยู่ที่พื้นในทันทีที่รู้ผล
“หลัง….หลังจากผ่านการรักษามาเพียง….สามวัน…ก็หายดีแล้วเหรอ …………… เป็นไปไม่ได้”
“ไม่…..ไม่เพียงการมองเห็นจะฟื้นฟู แม้แต่ระยะการมองเห็นก็ดีขนาด 5.3 อีกด้วย” ต้องบอกกันก่อนว่าโดยปกติแล้วสายตาคนทั่วไปนั้นจะมีระยะการมองเห็นที่ 5.2 นั่นคือเต็มที่แล้ว
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหมอทุกคนถึงตกตะลึงจนเข่าอ่อนนั่นก็เพราะว่าซูจิ้งนั้น ไม่เพียงจะรักษาอาการกระจกตาเสื่อมได้แล้วเขายังเพิ่มศักยภาพการมองเห็นให้เด็กน้อยอีกด้วย
“ประธานซูทำได้ยังไงกัน”
หมอในโรงพยาบาลจงหยุนกังเฟิงในตอนนี้ที่ได้ยินเรื่องราวต่างก็มีท่าทีราวกับเห็นผี สิ่งที่พ่อแม่ของยี่น้อยบอกพวกเขาเป็นความจริง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วข่าวลือเรื่องอื่นของซูจิ้งที่เกี่ยวข้องกับการรักษาล่ะ…………..