ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 7 ตัวต่อตัว

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งเชี่ยนโยวมีสีหน้าคร่ำเครียด เดินขึ้นไปข้างหน้า จ้องที่ไปตาของหวงฝู่เย่าเย่ว์ ถามขึ้นว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ข้าคือใคร” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์กะพริบตาสองสามที เมื่อได้สติขึ้นก็เรียก “ท่านแม่” 

 

 

สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่ผ่อนคลายลง ถามต่อว่า “ยังจำได้ไหมว่าวันนี้เจ้าไปทำอะไรมา” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ได้หลบสายตา มองไปที่นางแล้วตอบอย่างไม่ลังเลว่า “จำได้เจ้าค่ะ ข้าไปล่องทะเลสาบแล้วตกน้ำ แต่ท่านแม่เจ้าคะ ข้าเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมดเช่นนี้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องนางไม่พูดอะไร  

 

 

ทุกคนในห้องสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดรอบตัวของเมิ่งเชี่ยนโยว คิดว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์เป็นอะไรไป ทุกคนจึงเฝ้ามองนางด้วยความกังวล 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็รู้สึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวดูผิดปกติไป นางจึงถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบนาง และยิงคำถามใส่นางอีกครั้ง  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบได้ทันทีอย่างไม่ลังเล  

 

 

ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ความหวาดกลัวในใจเมื่อครู่นี้ก็หายไป แล้วบรรยากาศก็กลับมาอบอุ่นเป็นปกติอีกครั้ง นางเผยรอยยิ้มปลอบโยน “เจ้าตกน้ำจนขวัญหาย มีไข้ขึ้นสูง แม่และอาสะใภ้ของเจ้าป้อนยาให้เจ้ากินแล้วล่ะ เจ้าไม่ต้องกลัวนะ อีกประเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว” 

 

 

สีหน้าหวาดกลัวของหวงฝู่เย่าเย่ว์หายไป ทุกคนที่กังวลอยู่ก็กลับมาเป็นปกติ  

 

 

พระชายาฉีนำผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากนางอย่างเบามือ สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใยและความสงสาร “เย่ว์เอ๋อร์ มีตรงไหนไม่สบายอีกหรือเปล่า บอกแม่เจ้านะ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ แค่รู้สึกร้อนไปหน่อย” 

 

 

“ร้อนน่ะดีแล้ว นั่นหมายความว่าเจ้ากำลังจะหายดีแล้ว เจ้ารู้ไหมสภาพเมื่อครู่นี้ของเจ้าทำเอาย่าตกใจแทบแย่” 

 

 

สีหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์เผยความละอายใจ “เย่ว์เอ๋อร์ผิดเองที่ทำให้ท่านย่าเป็นห่วงเจ้าค่ะ” 

 

 

“เจ้าเด็กโง่ พูดอะไรเช่นนี้กับย่าเล่า เอาเถอะ พอได้แล้ว หลับตานอนพักผ่อนเสียหน่อยนะ” 

 

 

“ข้าหิวน้ำจังเลย ข้าอยากดื่มน้ำเจ้าค่ะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดเสียงทุ้มต่ำ 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งรีบไปรินน้ำให้ทันทีและเดินไปที่ข้างเตียง  

 

 

พระชายาฉีประคองหวงฝู่เย่าเย่ว์ขึ้นมา ยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำไว้ แล้วยื่นไปข้างหน้าปากนาง ค่อยๆ ป้อนให้นางดื่มลงไป  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ดื่มน้ำจนหมดแก้ว หายใจออกยาวๆ อย่างสบายใจ พูดขึ้นว่า “สดชื่นจังเลย” 

 

 

พระชายาฉีหลุดหัวเราะ ประคองนางกลับไปลงนอน แล้วห่มผ้าห่มให้นาง พร้อมเหน็บมุมผ้าห่มเข้าไป ยิ้มพลางพูดกำชับว่า “นอนต่ออีกหน่อยนะ” 

 

 

วันที่อากาศร้อนเช่นนี้ แม้จะห่มแค่ผ้าบางๆ ก็รู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว หวงฝู่เย่าเย่ว์ยื่นมือออกไป จับมือพระชายาฉีไว้ อ้อนนางว่า “ท่านย่าเจ้าคะ ข้าไม่ห่มผ้าห่มได้ไหมเจ้าคะ” 

 

 

ครั้งนี้พระชายาฉีไม่ได้ปล่อยตามใจนาง ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ได้” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์หน้าหงอยทันที มองพระชายาฉีด้วยสายตาอ้อนวอน  

 

 

พระชายาฉีไม่ยอม ส่ายหน้าอีกครั้ง  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ทำอะไรไม่ได้ จึงนอนห่มผ้าห่มมิดชิด แล้วหลับตาลง  

 

 

“พวกเจ้าไปเรือนรับรองกับข้า” เมื่อเห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เป็นไรแล้ว อ๋องฉีจึงลุกขึ้นยืน สั่งฉู่เหยาและคนอื่นๆ ตามไป  

 

 

พูดจบ ก็เดินนำออกจากห้องไปที่เรือนรับรองทันที  

 

 

ฉู่เหยาและคนอื่นๆ ทั้งสี่คนมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจเบาๆ พูดกับพระชายาฉีว่า “เสด็จแม่ ท่านช่วยดูเย่ว์เอ๋อร์สักครู่นะเจ้าคะ ข้าจะไปเรือนรับรองกับเด็กๆ ” 

 

 

“ไปเถอะ” พระชายาฉีโบกมือ  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินนำข้างหน้า ที่เหลือสี่คนเดินตามหลังออกจากห้องไป จนมาถึงเรือนรับรอง  

 

 

อ๋องฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานในห้องเรือนรับรองแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา ก็เอ่ยปากถามด้วยเสียงเย็นชาและทุ้มต่ำว่า “เล่ามาซิ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ห้ามปิดบังแม้แต่นิดเดียว” 

 

 

ฉู่เหยามองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า  

 

 

ฉู่เหยาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามจริงตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไม่ปิดบัง  

 

 

ตอนที่ได้ยินว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์ตกน้ำ ฉู่เหยาและหวงฝูเฮ่ายังหานางไม่เจอ อ๋องฉีก็กำหมัดแน่น อยากจะบีบคอคนสารเลวคนนั้นให้ตายคามือ เมื่อฟังจนจบและรู้ว่าเป็นหลิวอวี้เอ๋อร์และหลิวเทาแห่งจวนอู่โหว ก็ตบโต๊ะลุกพรวดทันที “บ้าบิ่นสิ้นดี กล้าดีเยี่ยงไรมาคิดสังหารหลานสาวข้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้อยู่แล้วว่าอ๋องฉีต้องโกรธ จึงตามมาด้วย เมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดไกล่เกลี่ย “เสด็จพ่อ อาจจะเป็นเพราะเด็กสองคนนั้นรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเย่ว์เอ่อร์…” 

 

 

“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว” หลายปีมานี้ แม้เมื่อก่อนเมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่เข้าตาอ๋องฉีเพียงใด แม้อ๋องฉีจะคัดค้านงานแต่งงานของนางและหวงฝู่อี้เซวียนอย่างไร ก็ไม่เคยดุด่ารุนแรงเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่อ๋องฉีดุนาง “เจ้าคุณชายจวนอู่โหวอายุเท่าไหร่แล้ว เขาจะแยกแยะไม่ออกหรือ ที่เขาทำเช่นนี้มีเจตนาจะฆ่าเย่ว์เอ๋อร์ชัดๆ” 

 

 

เมื่อโดนดุว่า เมิ่งเชี่ยนโยวก็ชะงักไปเช่นกัน  

 

 

อ๋องฉีกวาดตามองทุกคนในห้อง แล้วเดินจ้ำอ้าวออกไป  

 

 

“เสด็จพ่อ ท่านจะไปไหนเจ้าคะ” 

 

 

“ไปคิดบัญชีกับอู่โหว อยากจะถามเขาหน่อยว่าสั่งสอนลูกหลานอย่างไร หากเขาสั่งสอนไม่เป็น ข้าจะได้ช่วยเสียหน่อย” อ๋องฉีพูดไปด้วยความโกรธ พูดจบก็เดินถึงนอกเรือนรับรองพอดี  

 

 

“ท่านลุง ข้าขอไปกับท่านนะขอรับ” ฉู่เหยาพูดขึ้น เดินตามออกไป  

 

 

“ข้าไปด้วย!” หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เฮ่า และหวงฝู่รุ่ยพูดขึ้นพร้อมกัน และเดินตามออกไป  

 

 

เสียงของอ๋องฉีดังขึ้นจากที่ไกลๆ “พวกเจ้าไม่ต้องตามมา ข้าคนเดียวจัดการจวนอู่โหวได้” 

 

 

“เหยาเอ๋อร์ พวกเจ้าตามไป ข้าจะส่งคนไปส่งข่าวให้พี่ใหญ่เจ้า ให้เขาไปช่วยพวกเจ้า” เมื่อเห็นว่าห้ามไว้ไม่อยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้แต่กำชับพวกเขา 

 

 

ทุกคนขานรับและรีบตามไป  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบกลับห้องของตนเอง สั่งชิงหลวนให้ไปหาหวงฝู่อี้เซวียน เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง และบอกให้เขารีบไปจวนอู่โหว  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกำลังปรึกษาและพูดคุยเรื่องการละเมิดพรมแดนกับหวงฝู่ซวิ่นในวัง ได้ยินคนมารายงานบอกว่ามีคนใช้ในจวนมาหา 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว สั่งคนวัง “ให้นางเข้ามา” 

 

 

พูดจบก็ลุกขึ้น เดินออกจากห้องทรงพระอักษร และยืนรออยู่หน้าประตู เมื่อเห็นว่าชิงหลวนเดินตามคนวังเข้ามา ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อชิงหลวนเดินมาใกล้ ก็ถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ” 

 

 

ชิงหลวนมองซ้ายมองขวา เดินขึ้นหน้า เข้าใกล้หวงฝู่อี้เซวียน พูดเสียงเบาว่า “คุณหนูและคุณชายจวนอู่โหวถือโอกาสตอนล่องทะเลสาบ สั่งให้คนชนเรือทำให้ท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์ตกลงในทะเลสาบ จนนางเกือบไม่รอดชีวิต อ๋องฉีได้ยินดังนั้นก็โมโห ลุยไปจวนอู่โหวคนเดียว ซื่อจื่อเฟยกลัวอ๋องฉีจะถูกเอารัดเอาเปรียบ จึงให้ท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์ คุณชายเหยาเอ๋อร์ ท่านหญิงเฮ่า และท่านหญิงรุ่ยตามไป และสั่งให้ข้ามาบอกท่าน ให้ท่านก็รีบตามไปเจ้าค่ะ ไม่อย่างนั้นท่านอ๋องจะเสียเปรียบเอาเจ้าค่ะ” 

 

 

แค่ประโยคเดียวที่ว่า “จนนางเกือบจะไม่รอดชีวิต” สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนก็คร่ำเครียดทันที เขาสะกดอารมณ์อยากจะฆ่าคนไว้ ถามว่า “เย่ว์เอ๋อร์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

“ไข้สูงตลอดเลยเจ้าค่ะ ตอนที่ข้ามาเพิ่งจะดีขึ้น” 

 

 

“เจ้ากลับไปบอกโยวเอ่อร์ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ บอกให้นางไม่ต้องเป็นห่วง” 

 

 

ชิงหลวนขานรับ หันหลังเดินออกจากวังไป  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกลับเข้าไปในห้องทรงพระอักษร พูดกับหวงฝู่ซวิ่นว่า “เย่ว์เอ๋อร์ไม่ค่อยสบาย ข้ากลับจวนก่อน เรื่องพรมแดนเราค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้” 

 

 

“เย่ว์เอ๋อร์ไม่สบาย ข้าส่งหมอหลวงไปดูให้ได้” เมื่อฟังเขาพูดจบ หวงฝู่ซวิ่นก็พูดด้วยความห่วงใย  

 

 

“ไม่เป็นไร โยวเอ๋อร์ให้นางทานยาแล้ว ข้าแค่จะกลับไปดู” 

 

 

พูดจบก็หันหลังเดินออกไป  

 

 

ก็แค่เด็กไม่สบาย สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนคงไม่คร่ำเครียดเช่นนี้ หวงฝู่ซวิ่นรู้จักเขามานาน ย่อมรู้จักนิสัยของเขาดี เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เรียกขันทีผู้ดูแลวัง “ไปสืบมาหน่อยว่าวันนี้จวนอ๋องเกิดเรื่องอะไรขึ้น” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกจากวังด้วยความรวดเร็ว มองชุดราชสำนักที่ตนสวมอยู่ ก็ขึ้นไปเปลี่ยนเป็นเสื้อลำลองบนรถม้า สั่งโจวอันด้วยเสียงเคร่งเครียดว่า “ส่งคนไปให้ข่าวคุณชายบ้านตระกูลเมิ่ง บอกให้พวกเขารีบไปจวนอู่โหว” 

 

 

อ๋องฉีนำหน้าไปจนถึงหน้าประตูจวนอู่โหวด้วยความกริ้วโกรธ เขาลงจากรถม้า ยืนอยู่หน้าประตูด้วยรังสีแห่งความเป็นปรปักต์ที่แผ่ซ่านไปทั้งตัว  

 

 

เมื่อนายประตูของจวนอู่โหวเห็นว่าเป็นอ๋องฉี ก็ตกใจจนขาอ่อน รีบเดินขึ้นไปต้อนรับ คารวะอย่างนอบโม ถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านมา…” 

 

 

“ให้เจ้าหลิวยงไสหัวออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!” เขายังไม่ทันพูดจบ อ๋องฉีก็พูดขัดขึ้นด้วยเสียงดุดัน แม้จะเป็นฤดูร้อนที่แสนจะอบอ้าว แต่เสียงเย็นยะเยือกนั้นก็ทำเอานายประตูสะดุ้งโหยงไปทีหนึ่ง เขาไม่กล้าชักช้า รีบหันหลังกลับวิ่งเซไปมาเข้าไปในจวน  

 

 

ในจวนอู่โหวก็วุ่นวายไปหมด หลังจากที่หลิวอวี้เอ๋อร์กลับมา ก็สลบไปทันที เชิญหมอหลวงมารักษาอยู่นาน นางก็ยังนอนแน่นิ่งไม่ขยับ ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย  

 

 

นายท่านอู่โหวร้อนใจจนไม่อยู่นิ่งกับที่ นายน้อยอู่โหวร้อนรนจนยืนด่าคนหน้าเรือน ฮูหยินอู่โหวก็ตกใจจนเอาแต่เช็ดน้ำตา เมื่อได้ยินนายประตูมารายงาน นายท่านอู่โหวก็เดือดพล่าน หาที่ระบายได้เสียที เขาเดินออกไปทันทีด้วยความโมโห นายน้อยอู่โหวก็พาคนอื่นตามหลังไป 

 

 

เมื่อออกจากประตู เห็นว่าอ๋องฉีมาตัวคนเดียว ก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็โมโหกว่าเดิม เจ้าหวงฝู่จิ้งไม่เห็นจวนอู่โหวในสายตาเลยหรืออย่างไร กล้าดีอย่างไรมาหาเรื่องด้วยตัวคนเดียว ถ้าวันนี้ไม่สู้จนเขาฟันร่วงหมดปาก ชื่อข้าหลิวยงจะเขียนกลับหลัง 

 

 

อู่โหวยืนหน้าประตูชี้ไปที่อ๋องฉี ชิงพูดข่มขู่ก่อนว่า “หวงฝู่จิ้ง ข้ายังไม่ได้ไปคิดบัญชีกับเจ้า เจ้ากลับมาหาข้าเองเสียก่อนแล้ว จงรู้ไว้ว่าวันนี้เจ้าเข้ามาแล้วออกไม่ได้อีกเลย” 

 

 

“เยี่ยงเจ้า?” อ๋องฉีมองเขาอย่างเหยียดหยามและถามขึ้นอย่างไม่แยแส  

 

 

สายตาคู่นั้น ท่าทางแบบนั้น น้ำเสียงแบบนั้น ยิ่งทำให้อู่โหวรู้สึกถึงการถูกเหยียดหยาม เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ โมโหถึงขีดสุด หน้าวูบไปทีหนึ่งจนเกือบจะสลบไป มือที่ชี้อ๋องฉีอยู่ก็สั่นระริก “หวงฝู่จิ้ง เจ้าอย่ารังแกคนให้มากไปหน่อยเลย” 

 

 

อ๋องฉีกวาดมองคนในจวนอู่โหว แสยะยิ้มถากถาง ถามเนิบช้าอย่างไม่ใส่ใจว่า “จะหมาหมู่ หรือตัวต่อตัวล่ะ” 

 

 

“เจ้า…” นายท่านอู่โหวโกรธจนชี้นิ้วไปที่เขาด้วยอาการสั่นเทาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คำรามว่า “ข้าจะสู้ตัวต่อตัวกับเจ้า”  

 

 

“ท่านปู่” “ท่านพ่อ” เสียงเรียกดังขึ้นทันที น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและไม่เห็นด้วย  

 

 

อู่โหวโบกมือ ห้ามคำพูดของทุกคนไว้ “ไม่ต้องห่วง แม้หวงฝู่จิ้งนำทัพทหารบุกเข้าวัง ช่วยฮ่องเต้และไทเฮาไว้ ข้าหลิวยงก็ไม่น้อยหน้าหรอก ด้วยความสามารถของตนเอง ข้าอยากจะรู้เหลือเกิน ว่าวันนี้ใครจะล้มลงก่อน” 

 

 

อู่โหวอารมณ์ฉุนเฉียว สิ่งที่พูดนั้นหนักแน่นและน่าเกรงขาม เมื่อพูดสิ่งใดไปแล้วย่อมไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน ทุกคนจึงนิ่งเงียบ  

 

 

อู่โหวเดินขึ้นหน้า แสดงฝีไม้ลายมือ กวักมือเรียกอ๋องชี “เข้ามาสิ หวงฝู่จิ้ง วันนี้ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่าเจ้าเก่งขนาดไหนกันเชียว” 

 

 

อ๋องฉียืนนิ่งไม่ขยับ ถามด้วยน้ำเสียงข่มขู่ว่า “ก่อนเราจะประลองกัน ควรตั้งกฎก่อนไหม” 

 

 

อู่โหวยังค้างท่าเดิมไว้ ยิ้มมุมปากทีหนึ่ง ถามว่า “หวงฝู่จิ้ง เรื่องถึงบัดนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัวน่ะ” 

 

 

“กลัวรึ ข้าหวงฝู่จิ้งไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใด ข้าแค่ไม่อยากให้ฮ่องเต้ต้องเดือดร้อน” 

 

 

อู่โหวขมวดคิ้ว ถามอย่างสงสัยว่า “เรื่องของเราเกี่ยวอะไรกับฮ่องเต้รึ” 

 

 

อ๋องฉีจ้องตาเขา พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยและประชดประชันอย่างราบเรียบว่า “หากช้าทำให้เจ้าแพ้ แล้วเจ้าวิ่งไปร้องโวยวายต่อหน้าฮ่องเต้ข้าจะทำอย่างไรล่ะ คนจวนอู่โหวถนัดเรื่องเช่นนี้นักมิใช่รึ” 

 

 

นี่มันตบหน้ากันชัดๆ อู่โหวโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมา อารมณ์เดือดพล่านทันที พุ่งไปข้างหน้าอ๋องฉี เงื้อมมือต่อยออกไปหนึ่งหมัดอย่างเกรี้ยวกราด  

 

 

อ๋องฉีขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็หลบได้อย่างสบาย 

 

 

ท่าแรกไม่โดน อู่โหวก็แสดงกระบวนท่าอีกสองสามท่า ทุกกระบวนท่าพุ่งไปที่จุดสำคัญของอ๋องฉี  

 

 

อ๋องฉีเก็บท่าทางดูถูก ตั้งใจสู้อย่างจริงจังขึ้นมา  

 

 

เมื่อฉู่เหยาและคนอื่นๆ มาถึง ก็เห็นภาพที่ อู่โหวและอ๋องฉีต่อสู้กันอยู่หน้าประตูจวนอู่โหว  

 

 

ทั้งสองต่างมีความอาฆาตแค้นในใจ จึงต่อสู้กันอย่างไม่อ่อนข้อ ราวกับอยากจะสู้จนกว่าอีกฝั่งจะตาย  

 

 

ฉู่เหยาและคนอื่นๆ ลงจากม้า โยนบังเ**ยนม้าลง หวังจะเข้าไปช่วย  

 

 

เสียงหอบเล็กน้อยของอ๋องฉีดังขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามา วันนี้ข้าจะสู้จนไอ้เฒ่าไม่รู้ที่ต่ำที่สูงนี่เสีย” 

 

 

ในขณะที่เขาพูด ก็เสียสมาธิไปเล็กน้อย อู่โหวถือโอกาสเล็งไปที่อ๋องฉี แล้วปล่อยหมัดพุ่งตรงไปที่หน้าเขา  

 

 

อ๋องฉีเคลื่อนไหวช้าไปเล็กน้อย จึงหลบไม่ทัน  

 

 

เสียง ตุบ ดังขึ้น หมัดของอู่โหวโดนเข้าที่หน้าของเขาอย่างจัง  

 

 

อ๋องฉีวูบไปเล็กน้อย แล้วก็กระอักเลือดออกมา  

 

 

“ท่านปู่!” 

 

 

“เสด็จปู่!” 

 

 

“ท่านลุงเขย!” 

 

 

เสียงตกใจหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน