หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1065 สามราชันเทพอสูร
ราชินีวิหคอมตะมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ
แต่มู่เฉินไม่รู้สึกว่าเป็นเกียรติอะไรเลย ตรงกันข้ามเขารู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด ท่าทางของอีกฝ่าย ชัดว่าค้นพบตัวตนของเขาในฐานะจั้นเจิ้นซือแล้ว
แม้เขาจะไม่เคยเผยออกมา แต่ก็ถูกค้นพบ ซึ่งนี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงในหัวใจ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนน่ากลัวปานนี้เชียวรึ? เพียงมองแวบเดียวนางก็เห็นความลับทั้งหมดของเขาได้
บนแท่นบูชาผู้คนอื่นๆ ก็ส้มผัสได้ถึงสายตาของราชินีวิหคอมตะจึงกวาดสายตาตามไปรวมตัวกันที่มู่เฉินด้วยอาการตกตะลึง
“เขาเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยเหรอ?” มีคนอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าความจริงนี้ทำให้พวกเขาค่อนข้างตื่นตะลึง หากเป็นเช่นนั้นหมายความว่าเขายังไม่ได้เผยไพ่ทั้งหมดเมื่อประจันหน้ากับไป๋หมิงงั้นเหรอ?
หลายคนมองหน้ากันแล้วส่ายหัวพลางถอนหายใจ ยิ่งรู้สึกว่ามู่เฉินคนนี้ลึกเกินหยั่งถึงมากขึ้น
“สหายน้อย เจ้ายอมช่วยเราไหม?” ร่างสะคราญโฉมมองหน้ามู่เฉินด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะพูดต่อ “ถ้าเราไม่กำจัดปัญหานี้ กลัวว่าจะไม่มีใครในพวกเจ้าที่สามารถหนีออกจากที่นี่ได้”
ขวับ!
สายตารอบด้านต่างมุ่งไปที่มู่เฉินด้วยไฟแผดเผาในดวงตา ซึ่งทำให้หัวใจของมู่เฉินรัดแน่น ถ้าเขาปฏิเสธตอนนี้ ไม่ต้องให้ราชันทั้งสามลงมือทำอะไร พวกเขาก็จะรุมสกรัมเขาแน่
จิ่วโยวยิ้มขมขื่นเมื่อเห็นภาพนี้ สายตาของราชินีวิหคอมตะเฉียบคมจนสามารถมองเห็นความลับของมู่เฉินได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เขาไม่อาจซ่อนไว้ได้เลย
ขณะนี้มู่เฉินเข้าใจว่าไม่สามารถถอยไปได้อีก เขาจึงได้แต่ฝืนพูดออกไปว่า “ผู้อาวุโสประเมินข้าสูงเกินไป พลังของข้าอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น ข้าจะควบคุมสถานการณ์ปัจจุบันนี้ได้ยังไง?”
“ได้ไม่ได้ ก็ต้องลองดูก่อน” ราชันอสูรไร้พิรุณเอ่ย “หายนะนี้เกิดเพราะพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าต้องร่วมด้วยช่วยกัน”
พอได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของเฉินก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักแน่นอน ราชันอสูรไร้พิรุณผลักความผิดเก่งไปแล้ว
ทว่าก็เป็นเรื่องโง่ที่จะให้เหตุผลกับร่างดวงจิตซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นมู่เฉินจึงได้แต่ยิ้มแห้ง ไม่กล้าพูดอะไรอีก
คึ คึ!
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุย ใบหน้าโลกปีศาจก็ยิ่งน่ากลัวยิ่งขึ้น เสียงหัวเราะแปร่งปร่าแปลกประหลาดระเบิดออก ทันใดนั้นมันก็เปิดปาก หมอกปีศาจฟุ้งกระจายออกมาราวกับมังกรปีศาจคำรามข้ามเส้นขอบฟ้ากวาดไปที่แท่นบูชา
“หึ!”
ราชันปักษาวิญญาณเค้นเสียงเย็นพลางโบกแขนเสื้อ แสงห้าสีระเบิดออกมา ซึ่งดูน่าทึ่งอย่างยิ่งและบรรจุด้วยพลังงานลึกลับ เมื่อกวาดออกไปก็บดบังหมอกปีศาจที่ไร้ขอบเขตก่อนที่จะเริ่มกัดเซาะกันและกัน ภายใต้การกัดกร่อนมิติภายในรัศมีหลายหมื่นจั้งก็พังทลายลงมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ เห็นพลังทำลายล้างนี้ หนังหัวก็ลุกชัน ถ้าพวกเขาสัมผัสกับริ้วพลังงานนี้เพียงเล็กน้อย ก็คงสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็บอกได้ว่าริ้วแสงห้าสีพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หมอกปีศาจดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุดพุ่งออกมาจากปากปีศาจ ราวกับว่าจะไม่หยุดจนกว่าจะทำลายแท่นบูชาได้
ทุกคนเฝ้าดูด้วยหัวใจสั่นสะท้านจากความหวาดกลัว หากราชันทั้งสามไม่สามารถหยุดปีศาจเหล่านี้ได้ ทุกคนในที่นี้ก็จะตกเป็นอาหารของมัน
“ไอ้ปีศาจขยะนี้รับมือยากขึ้นจริงๆ” ราชันอสูรไร้พิรุณมีสีหน้าเคร่งขรึมมากกว่าเดิม อึดใจก็ซัดฝ่ามือออกไป ฝ่ามือแจ่มชัดขนาดหลายหมื่นจั้งปรากฏขึ้น ซึ่งถูกสลักไว้ด้วยลวดลายโบราณนับไม่ถ้วน แม้แต่สวรรค์และโลกก็เหมือนไม่สามารถรับฝ่ามือนี้ได้
ด้วยความช่วยเหลือจากราชันอสูรไร้พิรุณ หมอกปีศาจเชี่ยวกรากก็ไม่สามารถเข้าใกล้แท่นบูชาได้ พลังจากสองฝั่งตึงกันเอาไว้ ปะทะกันอย่างต่อเนื่องบนท้องฟ้า
คึ! คึ!
แต่ภาวะหยุดชะงักก็อยู่ไม่นาน ใบหน้าปีศาจแผดเสียงอีกครั้ง ทำให้โลกปีศาจสั่นสะเทือนแยกช่องเปิดออกมานับไม่ถ้วน พร้อมกับเงาเหล่าปีศาจพุ่งออกมาจากช่องเปิดเหล่านั้น รัศมีปีศาจรุนแรงปกคลุมดวงอาทิตย์
เพื่อวันนี้ชัดว่าใบหน้าปีศาจเตรียมตัวมานาน ดังนั้นทันทีที่เปิดการโจมตีแม้แต่สามราชันก็ถูกผลักกลับ
เพราะตอนนี้พวกเขาก็เป็นเพียงร่างดวงจิต ไม่มีร่างกายแท้จริง
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ สีหน้าก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนหน้าที่เขาเห็นราชันทั้งสาม เขายังคงมีความคิดที่จะพึ่งพาอีกฝ่าย แต่ในเวลานี้พวกเขาไม่น่าไว้วางใจอย่างที่เขาคิดเสียแล้ว เมื่อไรที่ร่างดวงจิตหายไปก็ไม่มีใครสามารถหลบหนีได้
ทว่าปีศาจเหล่านี้ทรงพลังเกินไปแล้วมั้ง?
“ปีศาจนี้ถูกสร้างขึ้นจากความปรารถนาชั่วร้ายของนักรบระดับจอมพลห้าคน ซึ่งยังกลืนกินซากศพนักรบเผ่าปีศาจนับไม่ถ้วน ทว่าตอนพบเจอ พวกเราทั้งสามได้ละสังขารไปแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่ทิ้งร่างดวงจิตเอาไว้เพื่อระงับมัน” ราชินีวิหคอมตะมองไปที่มู่เฉิน น้ำเสียงยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น
เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินก็หายใจลึกสุดปอด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปีศาจตนนี้ถึงน่ากลัวขนาดนี้ ที่แท้มันถูกสร้างขึ้นจากความคิดโสมมที่หลงเหลืออยู่ของจอมพลปีศาจทั้งห้า ซึ่งเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนห้าคนเลยทีเดียว
มิน่าล่ะร่างดวงจิตของสามราชันเทพอสูรถึงไม่สามารถจัดการได้ ปีศาจตัวนี้มีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดานี่เอง
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสต้องการให้ข้าทำอะไร?” มู่เฉินประสานมือแล้วถาม
“ช่วยเราฆ่ามันให้สิ้นซาก!” ราชินีวิหคอมตะพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมพร้อมกับจิตสังหารพลุ่งพล่านในน้ำเสียง
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “ด้วยพลังของข้า กลัวว่าจะไม่สามารถสร้างความเสียหายได้ ถึงแม้ว่าจะโจมตีเต็มแรงก็ตาม”
ราชินีวิหคอมตะยิ้มบางก่อนที่จะโบกมือ ทันใดนั้นแสงไร้ขอบเขตเบ่งบานบนแท่นบูชา ทุกคนเห็นระลอกคลื่นแปรปรวนบนพื้น ร่างเงานับไม่ถ้วนค่อยๆ ปรากฏขึ้นแล้วยืนอย่างเงียบๆ บนแท่นบูชา
ทุกคนจับจ้องไปก็เห็นร่างจำนวนมากสวมชุดเกราะสัตว์อสูรหลับตาสนิท พวกเขามีร่างที่แข็งแกร่งและความตั้งใจในการฆ่าที่ทรงพลังห่อหุ้มพวกเขาด้วยรัศมีที่ร้ายกาจ ราวกับเป็นเทพความตายกลับชาติมาเกิด
ทุกร่างเงาเหล่านั้นมีพละกำลังที่ไม่อ่อนแอไปกว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ นอกจากนี้รัศมีของพวกเขาก็ทรงพลังจนพวกมู่เฉินไม่สามารถเทียบได้
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือจำนวนของร่างเงามีหลายหมื่นเลยทีเดียว
นักรบที่ทรงพลังหลายหมื่นเห็นได้ชัดว่าเป็นกองทัพที่น่ากลัวเกินกว่ากองทัพใดๆ ที่มู่เฉินเคยเห็นมาก่อน
หากเขาสามารถสั่งการกองทัพที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา
“นั่นกองทัพอสูรสวรรค์ในตำนานรึ?!”
ขณะที่มู่เฉินกำลังตกตะลึงกับกองทัพเบื้องหน้า เสียงอุทานก็ดังกึกก้องไปทั่วแท่นบูชา จอมยุทธ์มากมายมีท่าทางตะลึงงัน
“กองทัพอสูรสวรรค์?” มู่เฉินรู้สึกงุนงง เนื่องจากตัวเขาไม่ได้เป็นสัตว์อสูร ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ทราบเรื่องความลับดังกล่าว
“เล่าลือว่าในสมัยโบราณราชันทั้งสามแห่งดินแดนเสินโซ่มีกองทัพที่ทรงพลังที่สามารถฆ่าสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ กองทัพนี้เป็นที่รู้จักกันในนามกองทัพอสูรสวรรค์ หากข้าเดาได้ถูกต้องก็น่าจะเป็นกองทัพที่อยู่ตรงหน้านี่แหละ” จิ่วโยวบอกออกมา
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำอธิบายของจิ่วโยวก็ตกตะลึงอยู่ในใจ กองทัพที่สามารถสังหารจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้จะน่าสะพรึงขนาดไหน? กองทัพชั้นยอดเช่นนี้เป็นสุดยอดปรารถนาของจั้นเจิ้นซือทุกคน ตราบใดที่สามารถควบคุมได้ มีสถานที่ใดบ้างที่จะไม่กล้าไปเยือนในมหาพันภพนี้?
“กองทัพอสูรสวรรค์แท้จริงสูญสิ้นไปตั้งแต่สงครามครั้งนั้น นี่เป็นเพียงซากจากโครงกระดูกของนักรบ ซึ่งรักษาส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเอาไว้ได้และเป็นวิธีสุดท้ายของพวกข้าในการทำลายล้างปีศาจนี้” ราชินีวิหคอมตะถอนหายใจเบา ยังไงตอนนี้พวกนางก็เป็นเพียงร่างดวงจิต ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่สามารถทำลายสวรรค์และโลกได้เหมือนในเวลานั้น ดังนั้นพวกนางจึงต้องขอยืมมือจากภายนอก เนื่องจากพวกนางไม่ใช่จั้นเจิ้นซือ ในอดีตกองทัพอสูรสวรรค์ถูกบัญชาการโดยสหายนสนิทของพวกนางซึ่งเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่ตอนนี้พวกนางไม่มีทางเลือกนอกจากขอยืมความช่วยเหลือจากภายนอก
“ท่านต้องการให้ข้าสั่งการกองทัพนี้เพื่อฆ่าปีศาจหรือ?” มู่เฉินถาม
ราชินีวิหคอมตะพยักหน้า
มู่เฉินฉายสีหน้าลำบากใจ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่ก็เป็นเพียงวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือที่มีระยะห่างจากสือวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ จำนวนนักรบเบื้องหน้าเขามีอยู่หลายหมื่นคน แต่ละคนก็เป็นกำลังหนึ่งต่อร้อย เมื่อนับด้วยวิธีนี้ก็เทียบเท่ากับกองทัพทหารธรรมดาหลายล้านหรือสิบล้านคน แล้วเขาจะประสบความสำเร็จในการสั่งการด้วยฐานะวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือได้อย่างไร?
หากเขาฝืนบังคับออกคำสั่ง อาจต้องทนทุกข์จากการตีโต้กลับจนถึงวิญญาณก็ได้
ราชินีวิหคอมตะที่เห็นการแสดงออกของมู่เฉินก็รู้ว่าเขากังวลเรื่องอะไร ทันใดนั้นนางก็ยิ้มชี้นิ้วออกไป ขนนกบางเบาพลิ้วออกมาพุ่งเข้าไปที่กลางหว่างคิ้วของมู่เฉิน “วัตถุนี้สามารถปกป้องเจ้าได้ แต่ข้าต้องบอกตามตรงว่ารัศมีจั้นยี่ของกองทัพอสูรสวรรค์นี้ทรงพลังมาก ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าที่จะควบคุม ดังนั้นแม้จะมีการป้องกันแต่ก็ยังเป็นอันตรายอยู่”
“ดังนั้นเจ้าสามารถเลือกได้ว่าจะลงมือหรือไม่” ราชินีวิหคอมตะมองไปที่เฉินและพูดช้าๆ
ขวับ!
สายตาโดยรอบมุ่งตรงไปที่มู่เฉิน ร่างกายทุกคนเกร็งเครียดเมื่อมองมู่เฉินอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขากลัวว่าเขาจะปฏิเสธ หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็จะถูกฝังที่นี่ตลอดกาล
จงชิงเฟิง ข่งหลิง ลู่โหวและคนอื่นๆ ก็มองมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนหน้าใครจะจินตนาการว่าจะมีเวลาที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากมู่เฉินเพื่อช่วยให้ตนเองอยู่รอด
สายตาวิตกกังวลนับไม่ถ้วนมองมาที่มู่เฉิน เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ มาถึงจุดนี้แล้วเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร? ต่อให้เพื่อความปลอดภัยตัวเอง เขาก็ต้องลองเสี่ยง มิฉะนั้นเมื่อร่างดวงจิตของราชันทั้งสามหายไป พวกเขาก็ต้องตายแน่นอน
นอกจากนี้เขายังรู้ว่าด้วยสถานะของราชินีวิหคอมตะ หากเขาสามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ นางจะต้องมอบรางวัลก้อนใหญ่ให้เขา ดังนั้นเขาจะไม่ถูกล่อลวงได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้เขาจึงหายใจเข้าลึก โดยไม่ลังเลก็มองไปที่ราชินีวิหคอมตะก่อนที่จะพยักหน้าแข็งขัน
“ผู้อาวุโสโปรดบอกมา ข้ายินดีที่จะลองเสี่ยงดู!”