หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1066 กองทัพอสูรสวรรค์
เมื่อเห็นมู่เฉินพยักหน้า
รอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชินีวิหคอมตะ มือเรียวยกขึ้น ลำแสงสายหนึ่งก็บินไปหามู่เฉิน เมื่อแสงนั้นจางลงก็กลายเป็นป้ายหินขนาดเท่าฝ่ามือสลักด้วยรูปสัตว์อสูรมากมาย เหมือนมีเสียงคำรามที่น่าตกใจนับไม่ถ้วนเปล่งออกมาอย่างเลือนราง
“นี่คือป้ายบัญชาการของกองทัพอสูรสวรรค์ เจ้าสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อเชื่อมต่อกับรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาและควบคุมได้”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะที่กวาดมองป้ายหินในมือของมู่เฉิน ด้วยวัตถุนี้ก็เทียบเท่ากับการควบคุมกองทัพน่าสะพรึงกลัวที่สามารถเทียบเคียงได้กับระดับตี้จื้อจุน กระทั่งในเผ่าของพวกเขาวัตถุชิ้นนี้ก็ต้องถูกจัดอันดับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะอยากได้แค่ไหนก็ไม่กล้าคิดอะไรอื่น มากจนพวกเขาหวังว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมได้ มิฉะนั้นคงไม่มีใครสักคนที่สามารถหนีรอดออกจากที่นี่ได้
แววตาของมู่เฉินก็ลุกโชนขณะรับป้ายบัญชาการมาอย่างระมัดระวัง เขาจ้องมองป้ายหินที่มีรูปลักษณ์เรียบง่ายแต่บรรจุด้วยพลังงานที่น่ากลัว หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยไอคุกรุ่น
เมื่อมีวัตถุนี้ในมือก็หมายความว่าเขามีอำนาจในการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน หากเขาสามารถนำสิ่งนี้กลับไปยังภูมิภาคทางเหนือ เขาอาจจะสามารถสู้กับขั้วอำนาจสูงสุดด้วยตัวคนเดียวเลย
แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็ได้แต่คิด ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาสามารถนำติดตัวกลับไปได้หรือไม่ ถึงแม้ว่าเขาจะทำได้ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์โดยไม่ได้รับการปกป้องจากราชินีวิหคอมตะ
ขณะที่มู่เฉินกำลังน้ำลายสออยู่ในหัวใจ ราชินีวิหคอมตะก็จ้องมองปีศาจที่กำลังเผชิญหน้ากับราชันปักษาวิญญาณและราชันอสูรไร้พิรุณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
การประจัญบานนี้สั่นสะเทือนโลกา การปะทะกันทุกครั้งทำให้ท้องฟ้าแยกออก มิติพังทลาย หากไม่ได้รับการปกป้องจากแท่นบูชา ผลกระทบเพียงอย่างเดียวก็สามารถฆ่าทุกคนนอกเหนือจากร่างดวงจิตทั้งสาม
นอกจากนี้ทุกคนบอกได้ว่าพลังของปีศาจนั่นค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากกดทับลงมายังทิศทางของแท่นบูชาอย่างต่อเนื่อง
“ผิดคาดจริงๆ ที่ให้ไอ้ปีศาจเตรียมการอย่างสมบูรณ์เช่นนี้ ตอนนี้ถ้าต้องการปราบมันอีกก็เป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว” ราชินีวิหคอมตะถอนหายใจเบาๆ แต่นางรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำได้ พวกนางทั้งสามสิ้นชีพไปแล้วโดยเหลือเพียงร่างดวงจิต นอกจากนี้แม้จะมีกองทัพอสูรสวรรค์เป็นไพ่ตาย แต่หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาก็ไม่พบกับจั้นเจิ้นซือที่ทรงพลังแท้จริง ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้สิ่งนี้เพื่อฆ่าปีศาจได้
ตอนนี้แม้ว่าพวกนางจะโชคดีพอที่ได้พบจั้นเจิ้นซือ แต่เขาก็อ่อนเยาว์เกินไป ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะสามารถควบคุมพลังของกองทัพอสูรสวรรค์ได้หรือไม่ หากเขาล้มเหลวทำให้ปีศาจเป็นอิสระ ทั่วทั้งดินแดนเสินโซ่ก็จะแปดเปื้อนไปอย่างสิ้นเชิง มากจนอาจเล็ดลอดออกไปยังมหาพันภพได้
ดังนั้นตอนนี้พวกเขาได้แต่ทำสิ่งที่สามารถทำได้เท่านั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ราชินีวิหคอมตะก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เงาร่างของนางค่อยๆ ลอยขึ้นไปยังจุดสูงสุดของแท่นบูชา จากนั้นก็จ้องมองไปที่สหายทั้งสองก่อนที่จะพยักหน้า
ทั้งสามวาดตราประทับพร้อมกัน ทันใดนั้นกระแสน้ำไม่สิ้นสุดก็ดันตัวขึ้นทั่วมิติ สภาพที่รุนแรงนี้ประหนึ่งธารสวรรค์เทลงอัดแน่นทั่วฟ้าดิน
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตสามสายพุ่งลงมาบนรูปปั้นหินทั้งสามที่แท่นบูชา
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เกลียวแสงไร้ขอบเขตปะทุออกมาก่อนที่รูปปั้นหินจะระเบิด ร่างเงาทั้งสามทะยานขึ้น ขยายขนาดกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาสามร่างบนท้องฟ้า
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ก็สูดลมหายใจเย็นเข้าลึกสุดปอด ร่างมหึมาทั้งสามก็คือร่างเดิมของราชันเทพอสูรทั้งสามนั่นเอง นอกจากนี้ก็ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่นี่เป็นโครงกระดูกแท้จริงที่เหลือไว้เบื้องหลังเมื่อพวกเขาสิ้นชีพไป
แต่ภายใต้การควบคุมของร่างดวงจิต โครงกระดูกทั้งสามก็ฟื้นฟูพลังเปล่งประกายอำนาจของระดับเทียนจื้อจุนออกมาอีกครั้ง
บนพื้นดินใบหน้าปีศาจที่น่ากลัวแข็งค้างชั่วครู่ ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่มาจากสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาทั้งสาม
โฮก!
ใบหน้าปีศาจบิดเบี้ยว ขณะที่รัศมีปีศาจเพิ่มขึ้นก่อร่างเป็นลวดลายปีศาจน่าสะพรึงบนใบหน้า ขณะนั้นใบหน้าปีศาจก็ขยายขนาดเป็นร้อยเท่า เมื่อมองจากระยะไกลครอบคลุมพื้นโลกหลายหมื่นลี้ ซึ่งดูน่าขนพองสยองเกล้าอย่างยิ่ง
ใบหน้าปีศาจหลุดเป็นอิสระ ลอยขึ้นบนท้องฟ้า ภาพร่างปีศาจนับไม่ถ้วนบิดตัวไปมาบนใบหน้า เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องอยู่ตลอดเวลา
เมื่อทุกคนเห็นสิ่งนี้ใบหน้าก็ซีดเผือด ชัดว่าถูกข่มขู่โดยรัศมีปีศาจ
ตู้ม!
บนท้องฟ้าร่างมหึมาทั้งสามพุ่งออกไป เพลิงอมตะ เกลียวแสงห้าสีและหมัดไร้พิรุณ กวาดไปหาใบหน้าปีศาจไม่ยั้ง
ใบหน้าปีศาจปลดปล่อยเสียงคำราม รัศมีปีศาจเพิ่มขึ้นก่อเป็นภาพปีศาจนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้อง พลางปะทะกับกระบวนท่าโจมตีน่าสะพรึงกลัว
ทั้งสองฝ่ายเลือกวิธีที่ป่าเถื่อนที่สุดในการปะทะกัน ทุกครั้งที่ปะทะกันก็เผาฟ้าผลาญดิน ทำให้เกิดความกลัวในหัวใจของผู้ที่กำลังมองดู
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลงขณะที่เฝ้ามองการล้างผลาญ จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึกๆ โดยไม่ลังเลร่างเงาก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวเหนือกองทัพอสูรสวรรค์
เขายื่นมือออกป้ายหินลอยอยู่กลางฝ่ามือ เมื่อเร้าคลื่นหลิง ทันใดนั้นป้ายหินก็เปล่งแสงสีขาวพร่างพราว ภาพสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนที่สลักอยู่บนป้ายเหมือนฟื้นชีวิตขึ้นมาใหม่
ตู้ม!
บนแท่นบูชาเงาร่างจำนวนหลายหมื่นก็ลืมตาโพลง จิตสังหารทรงพลังพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที
ทุกคนถอยหนีกันจ้าละหวั่นด้วยความตกใจจากแรงผลักดัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ด้วยกองทัพที่ทรงพลังนี้ เพียงแค่คิดทุกคนที่นี่ก็จะถูกฆ่าล้างอย่างสมบูรณ์
“ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมกองทัพทรงพลังเช่นนี้ได้หรือไม่” จิ่วโยวพูดด้วยความกังวล ขณะที่มองดูร่างมู่เฉินบนท้องฟ้า กองทัพอสูรสวรรค์ทรงประสิทธิภาพมากเกินไป ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็เป็นไปได้ที่จะได้รับการตีโต้จากรัศมีจั้นยี่ เวลานั้นมู่เฉินตายคาที่แน่นอน
ท่ามกลางสายตากระวนกระวายใจมากมาย มู่เฉินก็นั่งลงบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าหลังจากใช้ป้ายบัญชาการก็มีรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยความดุร้ายและความภาคภูมิใจกวาดเข้ามาหาเขาอย่างรุนแรง
ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ มหาสมุทรขนาดใหญ่ที่สร้างจากรัศมีจั้นยี่ก็ปกคลุมท้องฟ้า มู่เฉินดูตัวเล็กเท่ามดเมื่อเทียบกับมหาสมุทรรัศมีที่น่ากลัว
ภายใต้รัศมีจั้นยี่นี้ แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น กองทัพที่เขาสั่งการในอดีตไม่มีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกองทัพอสูรสวรรค์ตรงหน้านี้เลย
แต่ในเวลานี้เขารู้ว่าไม่มีทางถอยอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงโยนความขี้ขลาดทั้งปวงทิ้ง หัวใจยึดมั่นขึ้น จากนั้นเขาก็ไม่ลังเล คลื่นจิตกวาดออกไปพุ่งเข้าสู่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต
ตู้ม!
เมื่อคลื่นจิตของเขาสัมผัสกับรัศมีจั้นยี่ขนาดมหึมา สมองของเขาก็ระเบิดทันที รัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงหลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับเสียงคำรามฆ่าฟันนับไม่ถ้วนครอบงำสติของเขา
แต่โชคดีที่มู่เฉินเตรียมพร้อม เขารีบปกป้องจิดใจของตนปล่อยให้รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดไปทั่ว ยามนี้เขาเหมือนเรือลำเล็กในมหาสมุทรบ้าคลั่ง เสี่ยงต่อการถูกพลิกคว่ำตลอดเวลา
ร่างกายของเขาสั่นไหวภายใต้รัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตซึ่งค่อยๆ ปกคลุมร่างเขาจนมิด
ตู้ม!
คลื่นกระแทกทำลายล้างกระจายออกไปทั่วทั้งสุสานสักการะเทพ รัศมีความตายที่อยู่ในฟ้าดินก็สลายไปอย่างต่อเนื่อง ภายใต้คลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกลัว
อสูรวิญญาณที่โชคร้ายก็ตายด้วยอัตราเป็นหมื่น แม้แต่อสูรวิญญาณระดับจื้อจุนขั้นเก้าก็ตายไม่เห็นซาก เมื่อสัมผัสกับคลื่นกระแทกนี้
ทุกคนตกตะลึงเมื่อเฝ้าดูการเผชิญหน้าของการทำลายล้าง แม้ว่าราชันทั้งสามจะเป็นเพียงร่างดวงจิตที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ส่วนปีศาจก็ถูกสร้างขึ้นด้วยความปรารถนาของจอมพลปีศาจเท่านั้น แต่การปะทะกันนี้ก็เกินจินตนาการของพวกเขาไปมาก
ปัง!
คลื่นกระแทกน่าสยดสยองกวาดออกมาขณะที่วิหคอมตะกระพือปีก นางมองไปที่ร่างเทพอสูรทั้งสองก่อนจะตะโกนด้วยเสียงคมชัด “สร้างค่ายกล ตราประทับทำลายล้างปีศาจ!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทั้งราชันปักษาวิญญาณและราชันอสูรไร้พิรุณก็คำรามตอบ ลวดลายพร่างพราวปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของพวกเขา ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นแม่น้ำโชติช่วง
แม่น้ำแสงยาวหลายแสนจั้งดูเหมือนจะผ่านทะลุฟ้าดิน ซึ่งภายในเต็มด้วยลวดลายโบราณนับไม่ถ้วน และทุกลวดลายบรรจุด้วยพลังงานอันน่ากลัว
แม่น้ำแสงสามสายที่ก่อตัวขึ้นจากราชันเทพอสูทั้งสามกวาดออกพร้อมเสียงหวีดหวิว จากนั้นก็ม้วนเข้าหากันทะลุผ่านมิติ พวกมันราวกับโซ่ตรวนขนาดใหญ่พันรอบใบหน้าปีศาจไว้
โซ่ตรวนเชื่อมต่อกันราวกับตราประทับวิญญาณ จากนั้นก็กดทับลงมาพยายามที่จะผนึกปีศาจร้ายไว้
โฮก!
ปีศาจคำรามอย่างบ้าคลั่ง รัศมีปีศาจพวยพุ่งอย่างรุนแรง ทำให้โซ่ตรวนแม่น้ำแสงสั่นสะเทือนจากอานุภาพนี้
“สั่งการกองทัพอสูรสวรรค์!” ราชินีวิหคอมตะโกนร้องบอก
บนแท่นทุกคนจ้องมองอย่างกังวลไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต ร่างของมู่เฉินจมหายไปแล้ว ราวกับว่าเขาถูกระเหยให้กลายเป็นเถ้าถ่านโดยรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขต
บางคนรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเย็นวาบ ถ้ามู่เฉินไม่สามารถสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์ได้ก็ไม่สามารถทำการโจมตีสุดท้ายต่อปีศาจนั้นได้ ถ้าเวลาถูกลากออกไปสามราชันก็จะหมดแรงในไม่ช้า
ขณะที่เม็ดเหงื่อตกลงภายใต้ความกังวล พายุคลั่งก็พัดออกมาจากรัศมีจั้นยี่ คลื่นพลังผันผวนก่อนที่ร่างเงานั่งนิ่งจะปรากฏขึ้น
ยามนี้เส้นเลือดบนร่างของมู่เฉินเต้นยุบยับไปหมด ใบหน้าก็บิดเบี้ยว ราวกับกำลังอดทนกับอาการเจ็บปวดที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็ฝืนทนไว้ได้ เกลียวแสงกะพริบที่กลางหว่างคิ้วของเขา ขนนกที่ลุกโชติช่วงด้วยผลึกเพลิงก็แตกออก กลายเป็นจุดแสงหลอมรวมเข้าในหัวสมองของเขา
สติของเขาซึ่งกำลังถูกทำลายก็กระจ่างชัดขึ้นทันที
มู่เฉินคว้าจับความชัดเจนในเสี้ยววินาทีนั้น ร่างของเขายืนขึ้น ป้ายหินในมือยกขึ้น รัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนก็ล้นทะลักออกมาพร้อมกับเสียงคำรามดังกึกก้องที่สั่นสะเทือนสวรรค์และโลก
“กองทัพอสูรสวรรค์ จงฟังคำสั่ง!”
ทันใดนั้นรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดในดวงตาของกองทัพบนแท่นบูชาเบื้องล่าง…