ตอนที่ 687 คำเชิญจากเกาะวายุนิ่ง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ภายใต้การปกครองของฉินเฟิง ดินแดนทางเหนือก็พัฒนาและเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง หลายขุมกำลังที่เคยกระจัดกระจายคนละทิศทางในตอนแรกก็มีความปรองดองกันมากขึ้นทำให้พันธมิตรดินแดนเหนือในเวลานี้กลายเป็นขุมกำลังยิ่งใหญ่ในดินแดนเทพมายาซึ่งสามารถเทียบชั้นนิกายหงส์มังกรหรือขุมกำลังอันดับต้นอื่น ๆ ได้อย่างไม่น้อยหน้า

ด้วยตัวตนในฐานะผู้ครองกายเทพมายาคนใหม่ของฉินอวี้โม่ รวมถึงการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยฝีมือของนางและหานโม่ฉือก่อนหน้านี้ มันจึงดึงดูดผู้คนมาเข้าร่วมได้มากมาย ดินแดนทางเหนือในตอนนี้แตกต่างจากตอนที่ฉินอวี้โม่มาถึงที่นี่เป็นครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง

ภายในโถงห้องประชุมของดินแดนทางเหนือ เวลานี้ผู้นำหลายคนและฉินเฟิงกำลังรวมตัวหารือกัน

“ผู้นำฉินเฟิง เราควรจะแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านผู้นำดินแดนทราบหรือไม่ ?”

ฮั่วชิงซานกล่าวถาม พวกเขาลังเลไม่น้อยกับจดหมายเชิญที่ได้รับ การที่ขุมกำลังลึกลับซึ่งมักเก็บตัวไม่สุงสิงกับใครส่งจดหมายเชิญมาให้กับผู้นำดินแดนทางเหนืออย่างกะทันหันเช่นนี้ทำให้พวกเขาอดสงสัยในจุดประสงค์ที่แอบแฝงไม่ได้

“แน่นอนว่าเราควรแจ้งเรื่องนี้กับนาง ท่านก็น่าจะทราบถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของดินแดนดี แม้เกาะวายุนิ่งจะเป็นขุมกำลังลึกลับ แต่พวกเขาก็ถือว่าเป็นหนึ่งในขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายา หากชักจูงพวกเขามาอยู่ฝ่ายเดียวกับเราได้ เราจะมีตัวช่วยที่ดีและสามารถเสริมพลังอำนาจให้กับเราได้ ยิ่งไปกว่านั้น หลายขุมกำลังที่ยังวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดก็อาจจะกำลังรอการตัดสินใจของขุมกำลังนี้อยู่ก็เป็นได้ เมื่อขุมกำลังนี้ผนึกกำลังร่วมกับเรา เราอาจจะได้รับความร่วมมือจากขุมกำลังอื่น ๆ เช่นกัน”

ฉินเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม พวกเขาได้รับจดหมายเชิญจากเกาะวายุนิ่งซึ่งผู้นำขุมกำลังเป็นคนเชื้อเชิญฉินอวี้โม่ด้วยตัวเองโดยกล่าวว่ามีบางอย่างที่เขาต้องการขอความช่วยเหลือ

เกาะวายุนิ่งคือขุมกำลังที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุดในดินแดนเทพมายาและแทบไม่เคยเข้าร่วมความขัดแย้งในดินแดน แม้แต่เมื่อพันปีก่อน พวกเขาก็ไม่เข้าร่วมสงครามครั้งใหญ่กับฝ่ายมาร

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดขุ่นเคืองใจกับขุมกำลังนี้และไม่มีผู้ใดกล้าเพิกเฉยพวกเขาเช่นกัน

“อย่างไรก็ตาม หากคนของเกาะวายุนิ่งยอมจำนนต่อฝ่ายมารไปแล้ว การที่พวกเขาเชิญผู้นำดินแดนของเราในครานี้ จุดประสงค์ของพวกเขาก็พอจะคาดเดาได้ เราต่างก็ทราบลักษณะนิสัยของท่านผู้นำเป็นอย่างดี เมื่อได้รับคำเชิญเช่นนี้ นางจะต้องตอบรับอย่างแน่นอน หากคนพวกนั้นคิดร้ายและวางแผนซุ่มโจมตีนางขึ้นมา เราจะไม่ทำให้นางตกอยู่ในอันตรายหรอกหรือ ?”

อู่ถงกล่าวแสดงความไม่เห็นด้วย แม้ใช้เวลาคลุกคลีกับฉินอวี้โม่เพียงไม่นาน ทุกคนในที่นี้ก็ทราบลักษณะนิสัยของนางเป็นอย่างดี ตราบใดที่นางทราบเกี่ยวกับคำเชิญนี้ นางจะตัดสินใจไปที่เกาะวายุนิ่งอย่างแน่นอน และหากเกิดเรื่องร้ายใด มันจะกลายเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง

ฮั่วหลินพยักศีรษะเห็นด้วยกับวาจาของอู่ถง เขาคิดว่าทุกคนควรหารือและไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนว่าจะตัดสินใจแจ้งเรื่องนี้ให้ฉินอวี้โม่ทราบหรือไม่

“ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำดินแดนของเรามิใช่คนบุ่มบ่ามใจร้อนและมิใช่บุคคลที่จะถูกซุ่มโจมตีได้ง่าย ๆ ต่อให้คนพวกนั้นวางกับดักไว้ที่เกาะวายุนิ่งเพื่อรอให้ผู้นำดินแดนไปถึง ข้าก็เชื่อว่านางจะรับมือได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น จากที่เราสืบทราบเกี่ยวกับเกาะวายุนิ่ง เป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะร่วมมือกับฝ่ายมาร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หากเราปิดบังเรื่องนี้จากผู้นำดินแดนและนางมาทราบทีหลัง เกรงว่านางจะผิดหวังในตัวพวกเราเป็นแน่”

อู่หลิวเฟิงยิ้มและกล่าวเห็นด้วยกับฉินเฟิง ด้วยความสามารถของฉินอวี้โม่ ต่อให้เกาะวายุนิ่งจะวางแผนซุ่มโจมตีนางจริง ๆ เขาก็เชื่อว่านางจะไม่ประสบกับปัญหาใด ๆ

ยิ่งไปกว่านั้น นางมิใช่คนที่จะหวาดกลัวกับการเข้าถ้ำเสือเพื่อให้ได้บรรลุเป้าหมาย เพราะเหตุนั้นฉินอวี้โม่จะต้องตัดสินใจไปที่นั่นด้วยตัวเองอย่างแน่นอน

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ เราจะรายงานฉินอวี้โม่เกี่ยวกับคำเชิญที่ได้รับและให้นางตัดสินใจเอง”

ฉินเฟิงตัดสินใจและติดต่อฉินอวี้โม่ผ่านทางอุปกรณ์สื่อสารทันที

เวลานี้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้เดินทางออกจากชนเผ่าเอลฟ์และกำลังมุ่งหน้าไปยังนครล่าฝันเพื่อพบกับบรรดาสหาย รวมถึงเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ที่ไม่ได้พบหน้ากันหลายเดือน ก่อนหน้านี้นางไม่สามารถพาบุตรทั้งสองไปกับตนได้ เมื่อไม่ได้พบกับทั้งสองมาเป็นเวลานาน ทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือต่างก็คิดถึงบุตรน้อยทั้งสองอย่างที่สุด

เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากกำไลสื่อสาร ฉินอวี้โม่ก็เชื่อมต่อสายทันที

“อวี้โม่ ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ใด ?”

เสียงของฉินเฟิงดังมาจากอุปกรณ์สื่อสารในมือทันที

“ศิษย์พี่ เราเพิ่งสะสางปัญหาที่ชนเผ่าเอลฟ์เสร็จสิ้นและกำลังเดินทางไปที่นครล่าฝัน”

ฉินอวี้โม่ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังว่าตอนนี้ตนและคณะอยู่ที่ใดและกล่าวออกไปตามตรง

“เราได้รับจดหมายเชิญที่ถูกส่งมาที่นี่ ผู้นำเกาะวายุนิ่งต้องการเชิญเจ้าไปที่เกาะวายุนิ่ง ส่วนจะไปหรือไม่นั้น เรื่องนี้เจ้าก็ตัดสินใจด้วยตัวเองเถอะ”

ฉินเฟิงกล่าวบอกฉินอวี้โม่เกี่ยวกับจดหมายเชื้อเชิญที่ได้รับเพื่อให้นางตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะทำอย่างไรต่อไป

ฉินอวี้โม่ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่คิดเลยว่าผู้นำที่ลึกลับของเกาะวายุนิ่งจะเป็นฝ่ายเชิญนางด้วยตัวเองเช่นนี้

ต้องกล่าวเลยว่าในทั่วทั้งดินแดนเทพมายามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้นำเกาะวายุนิ่ง ตัวตนของเขาลึกลับยิ่งกว่าผู้นำฝ่ายมารเสียอีก

“ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว”

หลังจากตั้งสติขึ้นมาได้ ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะรับทราบ และเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้กลับไปที่ดินแดนทางเหนือมาเป็นเวลานานแล้ว นางจึงเอ่ยถามด้วยความกังวล “สถานการณ์ที่ดินแดนทางเหนือเป็นอย่างไรบ้าง ? ทุกคนสบายดีรึไม่ ?”

“อวี้โม่ ยังจำพวกเราได้อีกรึ ! นึกว่าท่านจะลืมพวกเราไปแล้วเสียอีก !”

น้ำเสียงหยอกเย้าติดตลกของฮั่วหลินดังขึ้น เมื่อครั้งยังอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาที่ดินแดนทางเหนือก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาถือว่าสนิทสนมกันอย่างดี แม้ไม่ได้พบหน้ากันมาเนิ่นนาน มิตรภาพเหล่านั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและพวกเขาพูดคุยกันได้อย่างสบาย ๆ

“จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรเล่า ? ข้าเพียงแต่ยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับไป ข้าจะกลับไปพบทุกคนหลังจากจัดการเรื่องวุ่นวายทั้งหมดเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม พวกท่านจะต้องพัฒนาฝีมือกันอย่างเต็มที่และทำให้ข้าต้องประหลาดใจเมื่อกลับไปถึง”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มสบาย ๆ นางจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในดินแดนทางเหนือในตอนที่นางเข้ามาในดินแดนเทพมายาเป็นครั้งแรกได้เป็นอย่างดี ฮั่วหลินและคนอื่น ๆ ถือเป็นหนึ่งในสหายคนแรก ๆ ที่ฉินอวี้โม่ได้ผูกมิตรด้วยในดินแดนเทพมายาแห่งนี้

“ตกลง พวกเราจะรอ”

เสียงของอู่ถงดังขึ้นและกล่าวพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน “อวี้โม่ ด้วยพรสวรรค์ที่ประหลาดเหนือมนุษย์ของท่าน ตอนนี้ท่านคงจะบรรลุขอบเขตนภาเซียนแล้วใช่รึไม่ ?”

เขาสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฉินอวี้โม่ยิ่งนัก ด้วยพรสวรรค์อันเหนือชั้นและความเร็วในการฝึกยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาของนาง คงเป็นเรื่องแปลกหากนางยังไม่บรรลุขอบเขตนภาเซียน

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าเพิ่งทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตนภาเซียนเมื่อไม่นานมานี้”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวตอบตามความจริง ยิ่งนางแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ถือเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจให้กับดินแดนทางเหนือได้มากเพียงนั้น นางจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังความแข็งแกร่งของตนเองแม้แต่น้อย

“คิดไว้ไม่มีผิด แข็งแกร่งเหนือมนุษย์จริง ๆ !”

หลายคนกล่าวออกมาแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน แม้รู้สึกตื่นเต้นและอัศจรรย์ใจ พวกเขาก็ทราบดีว่ามันสมเหตุสมผลแล้ว

“ศิษย์พี่ หลังจากนี้ข้าจะไปที่ชนเผ่ามายากับท่านอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้ข้าต้องจัดการหลายสิ่งหลายอย่างก่อน !”

เนื่องจากทราบดีว่าศิษย์พี่ของตนกังวลใจเรื่องใดมากที่สุด ฉินอวี้โม่จึงกล่าวเสริมขึ้นมาเพื่อให้เขาสบายใจมากขึ้น

“เข้าใจแล้ว หลังจากที่เฝ้ารอมานาน ข้าก็ไม่รังเกียจหากจะต้องรอต่ออีกสักหน่อย”

ฉินเฟิงกล่าวตอบ แม้จะเป็นห่วงความปลอดภัยของบิดาบุญธรรมของตน เขาก็ทราบดีว่าหลายสิ่งหลายอย่างไม่สามารถจัดการได้ด้วยความบุ่มบ่ามใจร้อน

หลังจากสนทนากันอีกไม่นาน ทั้งสองฝ่ายก็ตัดการเชื่อมต่อ

หลัวหมิงซีและพี่น้องทั้งสองคนของเขาก็มองตรงมาที่ฉินอวี้โม่อย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาได้ยินบทสนทนาระหว่างนางและฉินเฟิงเมื่อครู่อย่างชัดเจนและรอการตัดสินใจต่อไปของนาง

“เอาล่ะ ข้าจะออกเดินทางไปที่เกาะวายุนิ่ง ตอนนี้สถานการณ์ในดินแดนเทพมายาถือว่าตึงเครียดนัก หนำซ้ำยังโชคร้ายที่ขุมกำลังใหญ่ ๆ อย่างนิกายหงส์มังกรก็ไปร่วมมือกับฝ่ายมาร เพราะเหตุนั้น หากชักชวนให้เกาะวายุนิ่งมาเป็นฝ่ายเดียวกับเราได้ ในสงครามที่จะมาถึง พวกเขาจะมีส่วนช่วยพวกเราได้มากทีเดียว”

ฉินอวี้โม่ตัดสินใจอย่างไม่ลังเลและกล่าวออกมาตามตรง ต่อให้ผู้นำเกาะวายุนิ่งไม่เชิญนางไปด้วยตัวเอง นางก็วางแผนที่จะไปที่นั่นอยู่แล้ว เพียงแต่แผนการเดิมที่วางไว้คือนางจะไปที่เผ่าอสูรกับซิวก่อนและก็ไปสะสางปัญหาที่ชนเผ่ามายา หลังจากนั้นนางจึงจะไปที่เกาะวายุนิ่ง ทว่าในเมื่อได้รับคำเชิญจากผู้นำเกาะวายุนิ่งเช่นนี้ นางก็จะปรับเปลี่ยนแผนเล็กน้อยและไปที่นั่นก่อน

“สั่วซีหย่า เจ้าพาหมิงซีและทุกคนไปที่นครล่าฝันก่อน ข้าและโม่ฉือจะไปที่เกาะวายุนิ่ง”

ฉินอวี้โม่กล่าวบอกสั่วซีหย่าข้างกาย เกาะวายุนิ่งไม่เคยต้อนรับบุคคลภายนอก นางจึงกังวลว่าการพาองค์ชายและองค์หญิงจากชนเผ่าเอลฟ์ไปที่นั่นจะทำให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็น เพราะเหตุนั้นนางจึงสั่งการให้สตรีลูกครึ่งเอลฟ์พาพวกเขาไปที่นครล่าฝันซึ่งเป็นจุดหมายเดิมเสียก่อน

“เจ้าค่ะ”

สั่วซีหย่าพยักศีรษะรับคำ หลัวหมิงซีและคนอื่น ๆ ก็พยักศีรษะโดยไม่คัดค้านเช่นกัน

เกาะวายุนิ่งและนครล่าฝันตั้งอยู่คนละทิศทาง หลังจากหยุดพักเป็นระยะสั้น ทั้งสองกลุ่มจึงแยกทางกันออกไป

สั่วซีหย่านำทางหลัวหมิงซีและคนอื่น ๆ ตรงไปที่นครล่าฝัน ในขณะที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือแยกไปที่เกาะวายุนิ่ง

“นายหญิง ก่อนหน้านี้ที่ข้าเผชิญกับทัณฑ์สายฟ้าสิบขั้น คาดการณ์ได้ว่าสมาชิกของเผ่าอสูรก็คงจะรู้สึกได้ พี่ชายของข้ามุ่งร้ายกับข้ามาตลอด หากมันรู้ว่าข้ากลับมาแล้วคงไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่ เพราะเหตุนั้น หลังจากไปที่เกาะวายุนิ่งครานี้ เราคงต้องตรงไปที่เผ่าอสูรทันที !”

ระหว่างทาง ซิวกล่าวบอกฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย มันยังมีปัญหาและเรื่องบาดหมางที่ต้องสะสางในเผ่าอสูร เพราะเหตุนั้นซิวจึงต้องไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด พี่ชายของมันเรียกได้ว่าเป็นมังกรที่บ้าคลั่งพอสมควร หากชักช้าเกินไป ซิวมิอาจมั่นใจได้เลยว่าจะเกิดเรื่องร้ายใดกับเผ่าอสูรหรือไม่

“เข้าใจแล้ว ข้าก็วางแผนไว้เช่นเดียวกัน ตอนนี้เวลาของเรากระชั้นชิดมาก เราต้องไปที่เผ่าอสูรเพื่อสะสางปัญหาที่นั่นและไปที่ชนเผ่ามายาเพื่อสะสางเรื่องที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่พันปีก่อน นอกจากนี้ก็ยังมีบุปผาแห่งความมืดที่กำลังจะโตเต็มวัยในเวลาเพียงหนึ่งปีเศษ เมื่อถึงตอนนั้นมันก็คงจะเป็นเวลาเริ่มต้นของสงครามที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเราจะต้องรีบแล้ว !”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ หลังจากเวลาที่ล่วงเลยมาเรื่อย ๆ เวลาของพวกนางก็เรียกได้ว่ากระชั้นชิดอย่างมาก หากไม่สามารถสะสางปัญหาเหล่านั้นได้ก่อนสงครามเริ่มต้น เกรงว่ามันจะส่งผลเลวร้ายต่อสงครามการประจันหน้ากับฝ่ายมารอย่างแน่นอน

ในขณะเดียวกันก็มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นในเผ่าอสูรจริง ๆ

ก่อนหน้านี้เมื่อซิวข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งของมันก็กลับคืนสู่สภาวะสูงสุดในอดีต และในขณะเดียวกัน สายเลือดเทพอสูรของมันก็ถูกปลุกขึ้นมาอย่างสมบูรณ์

ในฐานะผู้นำของเผ่าอสูรในตอนนี้ แน่นอนว่าพี่ชายของซิวก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เมื่อพันปีก่อน หากมิใช่เพราะซิวเพลี่ยงพล้ำในสงคราม มันก็คงไม่มีโอกาสได้เป็นเทพอสูรตนใหม่และได้สืบทอดตำแหน่งผู้นำของเผ่าอสูร ตอนนี้เมื่อซิวปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ มันจึงตระหนักได้ถึงวิกฤตที่ร้ายแรง

หากเปรียบเทียบกับซิว มันก็ต้องยอมรับเลยว่าตนเองเป็นฝ่ายที่ด้อยกว่าอย่างแท้จริง ตัวมันเป็นเพียงมังกรทองเก้าเล็บและมีพลังในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุด ทว่าซิวเป็นถึงมังกรทองสิบเล็บในตำนานซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แท้จริงของเผ่าอสูร แน่นอนว่าทั้งพลังความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของซิวนั้นแกร่งกล้ากว่ามันมากและจะพัฒนาต่อไปได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด

เพราะเหตุนั้น ในเวลานี้ ผู้นำของเผ่าอสูรตนปัจจุบันจึงได้ตัดสินใจบางอย่างกับตนเอง…

.