ตอนที่ 688 อสูรทุกตัวล้วนต้องการคู่ครอง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เกาะวายุนิ่งตั้งอยู่ในทางตะวันออกสุดของดินแดนเทพมายาและอาจกล่าวได้ว่ามันหลุดออกไปจากขอบเขตรัศมีของดินแดนเทพมายา

เกาะวายุนิ่งมีลักษณะภูมิประเทศเป็นเกาะขนาดใหญ่ในท้องทะเลไร้ที่สิ้นสุดซึ่งอยู่ในทางพรมแดนตะวันออกของดินแดนเทพมายา ในอดีตเมื่อผู้นำเกาะวายุนิ่งค้นพบสภาวะพลังธาตุไฟและธาตุทองที่หนาแน่นในเกาะแห่งนั้น เขาจึงได้ตัดสินใจก่อตั้งขุมกำลังเกาะวายุนิ่งขึ้นที่นั่นทันที

ภายในขุมกำลังดังกล่าวไม่มีจอมยุทธ์อาชีพอื่นใดนอกจากช่างหลอม เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ใด บรรดาช่างหลอมของเกาะวายุนิ่งจึงแกร่งกล้ายิ่งกว่าช่างหลอมทั่วไปในดินแดน

ผู้นำเกาะวายุนิ่งก็เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่ลึกลับอย่างยิ่ง ในดินแดนมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา แม้ว่าฉินอวี้โม่จะได้รับความทรงจำของชิงเหอกลับคืนมา ทว่านางก็ไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับผู้นำเกาะวายุนิ่งเท่าใดนัก

เมื่อพันปีก่อน เกาะวายุนิ่งไม่เข้าร่วมสงครามครั้งประวัติศาสตร์กับฝ่ายมาร แม้หลายคนในดินแดนเทพมายาจะไม่เข้าใจสาเหตุที่แท้จริงที่เกาะวายุนิ่งทำเช่นนั้น ทว่าก็ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวโทษพวกเขาแต่อย่างใด

ทุกคนล้วนทราบดีว่าเกาะวายุนิ่งมีช่างหลอมทรงพลังเป็นจำนวนมากและบางทีพวกเขาก็อาจจะไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้มากเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเกาะวายุนิ่งจะไม่เข้าร่วมสงครามใหญ่ครานั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีส่วนช่วยเหลือใด ๆ กับดินแดนเทพมายาเลย อย่างน้อยที่สุด ในความทรงจำของฉินอวี้โม่ เกาะวายุนิ่งก็ได้จัดหาอาวุธและอุปกรณ์มากมายให้กับขุมกำลังต่าง ๆ ของดินแดนซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญสำหรับการต่อสู้และอุปกรณ์อาวุธของพวกเขาก็ช่วยให้ยอดฝีมือของดินแดนเทพมายาต่อกรกับฝ่ายมารได้มากยิ่งขึ้น

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือใช้เวลาเจ็ดวันในการเดินทางมาถึงอาณาเขตทางตะวันออกของดินแดนเทพมายา เมื่อมองดูท้องทะเลกว้างไกลตรงหน้า ทั้งสองก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที ผืนทะเลกว้างใหญ่มักทำให้ผู้คนลืมเลือนความกังวลใจทั้งหลายได้เป็นการชั่วคราวและรู้สึกสดชื่นมีพลังขึ้นมา

“เกาะวายุนิ่งน่าจะอยู่ตรงศูนย์กลางของท้องทะเลนี้ซึ่งเป็นจุดที่มีธาตุไฟและธาตุทองที่หนาแน่นและอุดมสมบูรณ์ เราเพียงต้องไปตามเส้นทางนั้นและคงจะพบเกาะวายุนิ่งได้ในที่สุด”

กิเลนอัคคีกล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะยืนยันทิศทางของจุดหมายอย่างคร่าว ๆ

“ในท้องทะเลบริเวณนี้น่าจะมีอสูรมายาที่ทรงพลังอยู่บนท้องฟ้าเป็นจำนวนมาก หากเราไม่อยากเสียเวลาจนเกินไป ข้าคิดว่าเราควรเดินทางผ่านทางผืนทะเล”

ซิวแผ่พลังออกไปสำรวจท้องฟ้าครู่หนึ่งก่อนกล่าวขึ้นเช่นกัน แม้อสูรเหล่านั้นไม่ทรงพลังมากพอจะอยู่ในสายตามัน ทว่าหากไม่ต้องการเสียเวลา ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการเดินทางข้ามผ่านผืนทะเลนี้ไป

“เช่นนั้นเราจะข้ามทะเลไป”

ฉินอวี้โม่ยิ้มร่าและตัดสินใจทันที ถึงอย่างไรนางก็มีอสูรมายาจำนวนมากที่สามารถเหาะเหินกลางอากาศและว่ายดำดิ่งในท้องทะเลได้

หลังจากเรียกเต่าลึกลับพันปีออกมา อสูรทรงพลังก็ขยายร่างออกไปจนมีขนาดใหญ่เท่ากับเนินเขา

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่รอช้าขณะกระโดดขึ้นไปบนหลังของมันอย่างมั่นคงก่อนนั่งลง

หานโม่ฉือดึงร่างบางของฉินอวี้โม่เข้ามาในอ้อมแขนขณะมุ่งหน้าตรงไปยังจุดหมายปลายทางซึ่งก็คือเกาะวายุนิ่งพลางชมทิวทัศน์งดงามรอบตัว

ต้องกล่าวเลยว่าทิวทัศน์โดยรอบงดงามชวนมองอย่างที่สุด ท้องทะเลเต็มไปด้วยเกาะขนาดเล็กกระจายตัวอยู่ทั่ว สายลมแผ่วเบาของท้องทะเล ผืนน้ำใสและท้องฟ้าสีฟ้าชัดเจนตัดกับสีขาวสะอาดของปุยเมฆ ทุกอย่างประกอบกันจุดชนวนอารมณ์ที่ผ่อนคลายให้กับผู้คนได้ง่าย ๆ

“โม่เอ๋อร์ เจ้าจำได้รึไม่ว่าเราเคยมาที่ท้องทะเลด้วยกันมาแล้ว ?”

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อน หานโม่ฉือก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น

ในภพนั้นเขาคืออวี้เฟิงและฉินอวี้โม่ข้างกายคือชิงเหอ ในครานั้น ชิงเหอยังไม่ยอมรับความรู้สึกของอวี้เฟิงและทั้งสองยังไม่มีความสัมพันธ์เช่นตอนนี้

ในเวลานั้น ในขณะที่ฝึกฝนหาประสบการณ์ ชิงเหอก็เดินทางมาถึงที่ท้องทะเลแห่งหนึ่งโดยบังเอิญซึ่งมีอวี้เฟิงที่ติดตามมาด้วยทุกฝีก้าวเช่นกัน

เขาจำได้ว่าครานั้นทั้งสองเดินทางไปที่เกาะเล็ก ๆ กลางทะเลด้วยกันเพื่อตามหาสมุนไพรวัตถุดิบหายากสำหรับหลอมโอสถและใช้เวลาอยู่บนเกาะนั้นหนึ่งคืน

ต้องกล่าวเลยว่าช่วงเวลาท่ามกลางบรรยากาศของผืนทะเลในตอนนั้นทำให้ทั้งสองสบายใจและผ่อนคลายเป็นอย่างมาก

และในตอนนี้ทั้งสองก็กลับมาอยู่ในทิวทัศน์เช่นเดิมอีกครั้ง แม้ยังมีวิกฤตเกี่ยวกับฝ่ายมารที่ยังไม่ได้รับการสะสาง ทว่าความคิดจิตใจของทั้งสองกลับคืนสู่จุดเดิมเมื่อพันปีก่อนและเป็นความรู้สึกคลายกังวลอย่างที่สุด

“แน่นอนว่าข้าจำได้ ตอนนั้นเจ้าพยายามเกี้ยวพานข้าและติดตามข้าไปทุกที่ เมื่อข้าเริ่มมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับเจ้า…จู่ ๆ เจ้าก็จากไป…”

เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น ฉินอวี้โม่ก็สบตาบุรุษคนรักด้วยความสงสัยใคร่รู้ “โม่ฉือ ในดินแดนระดับสูงเป็นอย่างไรรึ ?”

“อืม…มันก็เหมือนกับดินแดนเทพมายาที่เต็มไปด้วยขุมกำลังมากมายทุกรูปแบบ เต็มไปด้วยการแข่งขันแก่งแย่งชิงดีและรบราฆ่าฟัน ทว่ามันก็มีผู้คนแบบพวกเราเช่นกัน มีมิตรภาพที่เราล้วนให้ความสำคัญ อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือความแข็งแกร่งของคนที่นั่นแกร่งกล้ากว่าในดินแดนเทพมายามากนัก”

หานโม่ฉือหัวเราะเบา ๆ และกล่าวอธิบายอย่างคร่าว ๆ

ฉินอวี้โม่ฟังคำอธิบายพร้อมรอยยิ้ม แม้แต่ในยุคศตวรรษที่ 21 ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตก็ไม่เปลี่ยนแปลงไป ตราบใดที่มีมนุษย์ก็ย่อมมีผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ และนั่นก็ย่อมนำไปสู่การแข่งขันและการแก่งแย่งชิงดีที่มิอาจหลีกเลี่ยง

“ข้าขอถามถึงตัวตนของเจ้าในดินแดนนั้นได้รึไม่ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามในสิ่งที่ตนเองสงสัยมาโดยตลอด เหตุใดอวี้เฟิงจึงมาที่ดินแดนเทพมายาในตอนนั้นและเหตุใดจู่ ๆ เขาจึงต้องกลับไป ? นางต้องการทราบความจริงเรื่องนี้ที่ค้างคาใจมาตั้งแต่เมื่อพันปีก่อน และตอนนี้ก็ยิ่งสงสัยใคร่รู้มากกว่าเดิม

“แน่นอน เจ้ามีสิทธิ์ที่จะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวข้า”

หานโม่ฉือคลี่ยิ้มอบอุ่นและค่อย ๆ เล่าเรื่องราวความเป็นมาของ ‘บุรุษหนุ่มอวี้เฟิง’

จุดเริ่มต้นคือเขาเป็นทายาทสายตรงของตระกูลใหญ่ในดินแดนดังกล่าวซึ่งมีทั้งพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมและความแข็งแกร่งที่น่าทึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เป็นคนที่ตระกูลพยายามฟูมฟักฝึกฝนเพื่อช่วยดูแลตระกูลในภายภาคหน้า

แต่ทว่า… อวี้เฟิงไม่สนใจตำแหน่งหรืออิทธิพลอำนาจเหล่านั้น

ในตอนนั้น เนื่องจากเขาไม่มีความสัมพันธ์กับสตรีใดแม้จนกระทั่งมีอายุครบยี่สิบปี ตระกูลของเขาจึงเฟ้นหาสตรีมากหน้าหลายตาให้กับเขา ซึ่งหากเป็นคำศัพท์ยุคใหม่ของฉินอวี้โม่ มันก็คือ ‘การนัดบอด’ นั่นเอง

อวี้เฟิงเหนื่อยหน่ายและหมดความอดทนกับชีวิตในแบบนั้น เขาจึงแอบหลบหนีและเดินทางมาที่ดินแดนเทพมายาด้วยวิธีการบางอย่าง ในตอนแรกเขาเพียงต้องการใช้เวลาอยู่ที่นี่สักระยะก่อนเดินทางกลับไป ทว่าเขาก็ไม่คิดเลยว่าตนจะได้พบกับแม่นางชิงเหอที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นคลอน

เมื่อพบกับชิงเหอในตอนแรก แม้เกิดความถูกใจ ทว่าเขาก็ยังไม่มีความรู้สึกกับนางมากนัก เพราะถึงอย่างไรในดินแดนที่เขาจากมาก็มีสตรีที่งดงามและโดดเด่นอย่างชิงเหอเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม หลังจากใช้เวลาอยู่ด้วยกันพักใหญ่ ความรู้สึกของเขาค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นและสุดท้ายก็ตกหลุมรักนางโดยที่ไม่รู้ตัว

หลังจากตกหลุมรักชิงเหอ แน่นอนว่าเขาก็ไม่ต้องการกลับไปที่ดินแดนเดิมอีก ยิ่งไปกว่านั้น ในครานั้นชิงเหอก็ยังไม่มีความรู้สึกใด ๆ ให้กับเขาและดูเหมือนว่าเส้นทางในการเกี้ยวพานเปลี่ยนใจนางก็ยังยาวไกลอีกมาก

หลังจากติดตามและใช้เวลาอยู่ด้วยกันพักใหญ่ เขาก็ทราบดีว่าชิงเหอคุ้นชินกับตนแล้วและเริ่มมีความรู้สึกให้กับตนแล้วเช่นกัน ทว่าเมื่อเขากำลังจะขอชิงเหอแต่งงาน เขาก็ได้รับข่าวจากทางตระกูล

ข่าวด่วนดังกล่าวคือการที่เกิดความขัดแย้งภายในตระกูลส่งผลให้ทั้งบิดาและมารดาของเขาถูกสังหารไป ซ้ำร้ายท่านปู่ที่รักเขามากที่สุดก็ใกล้ตายเต็มที เขาจึงต้องรีบกลับไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด

แน่นอนว่าในตอนนั้นเขาก็ไม่มีเวลาเล่ารายละเอียดให้ชิงเหอได้ทราบและเดินทางกลับไปที่ดินแดนแห่งนั้นอย่างเร่งด่วน

หลังจากกลับไป เขาก็เผชิญกับวิกฤตและภยันตรายมากมาย เมื่อตัวการหลักของเรื่องนี้พบว่าเขากลับมาแล้ว แน่นอนว่าคนผู้นั้นพยายามหาทางสังหารอวี้เฟิงหลายครั้งหลายครา ทว่าอวี้เฟิงก็หลีกเลี่ยงความตายมาได้ทุกครั้ง

ในช่วงที่เผชิญวิกฤตหนักหนาที่สุด เขาก็รู้สึกท้อใจจนอยากยอมแพ้เต็มที ทว่าเมื่อนึกถึงใบหน้าของชิงเหอที่รอตนอยู่ เขาจึงกัดฟันสู้ต่อไป

หลังจากสะสางเรื่องทั้งหมดได้ในที่สุดและสถานการณ์กลับมามั่นคง เขาก็รีบเดินทางกลับมาที่ดินแดนเทพมายาทันที ทว่าเมื่อได้รับข่าวว่าชิงเหอเสียชีวิตแล้ว แม้กระทั่งจิตวิญญาณของนางก็สูญสลายไปและไม่มีทางเกิดใหม่ได้นั้น เขาก็เศร้าโศกอย่างที่สุด เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่ลังเลและใช้วิชาอัญเชิญจิตโดยเร็ว และเรื่องราวหลังจากนั้นก็เป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่ทราบเป็นอย่างดี

เมื่อฟังการเล่าเรื่องราวอย่างใจเย็นและสงบนิ่งของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็จินตนาการได้อย่างชัดเจนว่าเขาต้องเผชิญภยันตรายมากเพียงใด บุรุษผู้นี้ไม่เคยบอกเล่าสิ่งเหล่านี้ให้นางได้ทราบเลย เรื่องน่าเศร้าเสียใจและปัญหามากมายถูกเก็บไว้กับตัวเขาเพียงคนเดียว แล้วฉินอวี้โม่จะไม่รู้สึกแย่ได้อย่างไร ?

“ตาทึ่มเอ๋ย !”

ฉินอวี้โม่มิอาจสรรหาคำพูดอื่นและทำได้เพียงเอนกายพิงอ้อมแขนของหานโม่ฉือ

“โม่ฉือ ข้าได้เห็นเจ้าเกิดใหม่หลายครั้งในช่วงเวลานับพันปี เจ้าไม่เคยมีภรรยาหรือสุงสิงกับสตรีใดเลยในทุกชีวิต มันเป็นเพราะเหตุใดกัน ?”

ฉินอวี้โม่นึกถึงเรื่องนี้และมองหานโม่ฉือด้วยความสงสัยใคร่รู้อีกครั้ง

“โอ้ นั่นเป็นเพราะข้าฝังแมลงหัวใจไว้ในร่างและจะไม่ตกหลุมรักผู้ใดนอกจากเจ้า แม้ในชีวิตเหล่านั้น ข้าจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตก่อน ๆ บางสิ่งบางอย่างก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แม้ในชีวิตนี้ ข้าก็เคยคิดว่าจะต้องอยู่เพียงลำพังไปตลอดชีวิต ไม่คิดเลยว่าในที่สุดข้าก็จะได้พบกับเจ้าและครองรักกันอีกครั้ง”

หานโม่ฉือหัวเราะเบา ๆ ด้วยท่าทางที่กึ่งตลกกึ่งจริงจัง

ในความจริง แมลงหัวใจมิใช่สิ่งที่มีอยู่จริงเลย มันเป็นเพียงความรู้สึกของเขาเท่านั้น นอกจากฉินอวี้โม่ เขาจะไม่ตกหลุมรักผู้ใดและนั่นเป็นความรู้สึกแท้จริงไม่ว่าในชีวิตใดก็ตาม เพราะเหตุนั้น เขาจึงยอมอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังไปตลอดชีวิตและไม่สนใจสตรีอื่นใด

ตลอดชีวิตไม่ว่าในชีวิตใด หัวใจของเขาก็จะเป็นของฉินอวี้โม่เพียงคนเดียวเท่านั้น !

ฉินอวี้โม่ถึงกับพูดไม่ออกอีกครั้งเมื่อได้ยินวาจาของหานโม่ฉือ นางไม่อาจสรรหาคำพูดใดตอบออกไปได้และไม่ทราบเลยว่าตนเองควรจะตำหนิว่าเขาโง่เขลาหรือควรจะซาบซึ้งใจกับสิ่งนั้นกันแน่ บุรุษผู้นี้ทำให้นางรู้สึกจนปัญญาอยู่เสมอ

นางเงยหน้าขึ้นสบตาหานโม่ฉือ เพียงได้เห็นแววตาตามใจของเขา ฉินอวี้โม่ก็หน้าแดงขึ้นมา

นางไม่รอช้าและหอมแก้มหานโม่ฉือเบา ๆ ทว่าเมื่อกำลังจะผละออกไป หานโม่ฉือก็ก้มลงมาประทับจูบอ่อนหวานเสียก่อน…

“ฮิ ๆ ๆ ว่าแล้วเชียว ทั้งสองจะต้องจุมพิตกันแน่ ๆ”

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว หานอวี้ ไป๋ฉี่และเสี่ยวโพธิ์ก็กำลังมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่กำลังจุมพิตดูดดื่มและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“พวกเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ ?!”

เสี่ยวม่านเห็นสีหน้าท่าทางของทั้งสามและมองออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่กำลังจุมพิตกันอย่างดูดดื่มอยู่ภายนอก นางก็อดหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาไม่ได้

“พวกเจ้าทั้งสามไม่เคยจำเลยสินะ !”

นางมองทั้งสามด้วยแววตาดุดันก่อนวิ่งเหยาะ ๆ กลับไปในบ้านของตน

“สุดที่รักของข้า อย่าโมโหไปเลย !”

เมื่อเสี่ยวโพธิ์เห็นเสี่ยวม่านจากไป มันก็คลี่ยิ้มและรีบตามไปอย่างรวดเร็ว

“เจ้าโง่นั่น !”

หานอวี้มองตามเสี่ยวโพธิ์อย่างเยาะเย้ยก่อนหันกลับมากล่าวกับไป๋ฉี่ “พี่ไป๋ฉี่ เราทั้งสองก็ควรหาคู่ครองบ้างมิใช่หรือ ?”

ไป๋ฉี่พยักศีรษะเบา ๆ เมื่อได้เห็นความรักของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ มันเชื่อว่าการได้มีคู่ชีวิตคงจะเป็นความสุขอย่างมาก

“ข้าว่าพี่มารยาก็ไม่เลวทีเดียว แม้จะเย็นชาไปสักหน่อย แต่นางก็เหมาะสมกับพี่ไป๋ฉี่ทีเดียว ฮิ ๆ ๆ”

หานอวี้กล่าวหยอกเย้าพร้อมหัวเราะคิกคัก มันรู้สึกมาเสมอว่ามารยาและไป๋ฉี่ดูเข้ากันอย่างมาก

“หานอวี้ เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน !”

ประโยคเมื่อครู่ดังไปถึงหูของมารยาพอดิบพอดี อสูรสาวจึงเดินตรงเข้ามาและจับหูมังกรน้อยในร่างมนุษย์ขณะกล่าวเอ็ดเสียงแข็ง

“พี่มารยา ข้าผิดไปแล้ว !”

หานอวี้กล่าวขอโทษขอโพยอย่างรวดเร็วและแสดงสีหน้าที่ว่านอนสอนง่าย

ทันทีที่มารยาปล่อยมือจากหูของหานอวี้ มังกรน้อยก็หายวับไปอย่างรวดเร็วทว่ากล่าวทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ทำให้มารยาไม่รู้เลยว่าควรจะหัวเราะหรือร่ำไห้

“พี่มารยา ท่านดุเกินไป มีเพียงพี่ไป๋ฉี่เท่านั้นที่จะรับมือกับท่านได้ !”

.