ในเส้นทางไปสู่เกาะวายุนิ่ง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่เผชิญภยันตรายใดๆ แม้มีอสูรมายาระดับสูงจำนวนมากปรากฏตัวให้เห็นระหว่างทางและมีข่ายอาคมหมอกบดบังบางครา ฉินอวี้โม่ก็ข้ามผ่านไปได้อย่างง่ายดาย หลังจากใช้เวลาอีกหนึ่งวันเต็ม เกาะขนาดใหญ่ก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า

แม้มองจากระยะไกลก็สามารถมองเห็นแผ่นศิลาหินสูงตระหง่านบนเกาะซึ่งมีอักษรสี่พยางค์เขียนบนนั้นอย่างชัดเจน— เกาะวายุนิ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น การที่มีสภาวะพลังธาตุไฟและธาตุทองที่อุดมสมบูรณ์แผ่ออกมาก็เพิ่มความมั่นใจให้กับพวกนางมากขึ้นอีก นี่คือดินแดนของขุมกำลังที่เต็มไปด้วยช่างหลอมมากฝีมือจำนวนมากและเป็นจุดหมายปลายทางในครานี้—เกาะวายุนิ่ง

ทันทีที่มาถึงฝั่ง คนสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าอย่างรวดเร็ว พลังอำนาจของคนทั้งสองมิได้แกร่งกล้าเท่าใดนักและเป็นเพียงจอมยุทธ์ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุด นอกจากนี้ทั้งสองก็ยังดูอายุน้อยมากและสวมเครื่องแบบที่เหมือนกัน คาดว่าพวกเขาน่าจะเป็นผู้พิทักษ์ดูแลความปลอดภัยของเกาะแห่งนี้

“พวกท่านเป็นใคร?!”

เมื่อเห็นคนแปลกหน้ามาเยือนชายฝั่ง พวกเขาก็ไม่แสดงท่าทีเป็นมิตรแม้แต่น้อยและเอ่ยถามเสียงแข็งเพื่อยืนยันตัวตนของคนทั้งสอง

“ข้าคือฉินอวี้โม่ ข้าได้รับเชิญโดยผู้นำเกาะวายุนิ่งให้มาที่นี่ ส่วนนี่คือคนรักของข้า นามว่าหานโม่ฉือ”

ฉินอวี้โม่ก็กระโดดลงจากหลังเต่าพันปีอย่างรวดเร็วก่อนปรากฏตัวบนฝั่งพร้อมหานโม่ฉือขณะมองดูอีกฝ่ายที่แสดงตัวอย่างไม่อ่อนน้อมหรือเกรี้ยวกราด

“ที่แท้ก็เป็นท่านเทพมายาและนายท่านโม่ฉือนี่เอง! ขออภัยที่พวกเราทำตัวเสียมารยาทขอรับ!”

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองได้ยินชื่อของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมาก่อน รวมถึงได้เห็นภาพวาดของพวกนางมาเช่นกัน เพราะเหตุนั้นผู้พิทักษ์จึงยืนยันตัวตนของแขกผู้มาเยือนได้อย่างรวดเร็ว

หนึ่งในนั้นปลีกตัวออกไปก่อนและเหมือนจะออกไปแจ้งข่าวให้ผู้นำเกาะวายุนิ่งได้ทราบ ในขณะที่อีกคนนำทางฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเดินเข้าไปข้างใน

ขณะก้าวเดินอยู่นั้น บุรุษผู้พิทักษ์ก็กล่าวแนะนำสภาพแวดล้อมรอบๆของเกาะวายุนิ่งให้พวกนางได้ทราบและปฏิบัติต่อทั้งสองเป็นอย่างดีเสมือนแขกคนสำคัญ

“ท่านทั้งสอง พวกเราชาวเกาะวายุนิ่งส่วนใหญ่เป็นช่างหลอมและมีผู้ที่แกร่งกล้าระดับสูงเพียงไม่มากนัก เพราะฉะนั้นท่านทั้งสองวางใจได้เลยว่าจะไม่มีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้นแน่ขอรับ”

บุรุษผู้นั้นหันกลับมามองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้มเพื่อไม่ให้ทั้งสองตึงเครียดหรือกังวล

เดิมทีเป็นเพราะผู้นำเกาะวายุนิ่งได้ยินมาว่ามีช่างหลอมมากฝีมือที่ทัดเทียมได้กับตนอยู่ในดินแดนเทพมายา เขาจึงส่งจดหมายเชิญไปให้กับฉินอวี้โม่ที่ดินแดนทางเหนือ และเวลานี้ก็ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าผู้นำของพวกเขากำลังหลอมสิ่งใดและทราบเพียงว่าเขาน่าจะต้องการความช่วยเหลือจากฉินอวี้โม่ผู้นี้

ในขณะพูดคุยกันอยู่นั้น คนทั้งกลุ่มก็เดินผ่านผืนป่ารอบนอกและเข้าไปยังส่วนด้านในของเกาะ เวลานี้อาคารและที่อยู่อาศัยมากมายก็ปรากฏให้เห็น รวมถึงช่างหลอมหลายคนของเกาะก็ค่อยๆปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

คนเหล่านั้นดูจะทราบข่าวเกี่ยวกับการมาเยือนของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเช่นกัน พวกเขาจึงไม่มีท่าทีแปลกใจใดๆ ทว่าสีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ช่างหลอมเหล่านี้ล้วนอยากทราบว่าผู้ที่ได้รับความเคารพชื่นชมอย่างสูงจากผู้อาวุโสรองและมีพรสวรรค์ที่ไม่ด้อยไปกว่าผู้นำขุมกำลังของตนจะมีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นอย่างไร

เมื่อได้เห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างชัดเจน แววตาของพวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงความคลางแคลงใจอย่างชัดเจน คนทั้งสองดูเยาว์วัยเกินไปและฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ดูว่าจะมีทักษะฝีมือการหลอมที่มากพอจะเทียบชั้นกับผู้นำเกาะวายุนิ่งได้ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะปักใจเชื่อได้

“ฮ่าๆๆ จอมยุทธ์อวี้โม่ จอมยุทธ์โม่ฉือ ไม่ได้พบกันเสียนาน”

ใครคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชนและกล่าวทักทายทั้งสองพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองเห็นคนผู้นั้นอย่างชัดเจนและจดจำได้ในทันที เขามิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นผู้อาวุโสชิงตาน—รองผู้นำของเกาะวายุนิ่งที่ทั้งสองเคยพบหน้าแล้วก่อนหน้านี้

“ท่านรองผู้นำ ไม่ได้พบกันนานทีเดียว”

ทั้งสองกล่าวทักทายรองผู้นำของเกาะวายุนิ่งด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่ได้พบกันครานั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็รู้สึกถูกชะตากับเขาไม่น้อย

“ฮ่าๆๆ ครานี้ผู้นำเกาะวายุนิ่งเชิญท่านทั้งสองมาที่นี่ก็เพราะต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง เดิมทีข้าคิดว่าพวกท่านต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าที่จะมาถึงได้ ไม่คิดเลยว่าจะมากันเร็วเพียงนี้”

ผู้อาวุโสชิงตานยิ้มและกล่าวอธิบายจุดประสงค์ที่ผู้นำเกาะวายุนิ่งเชิญฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมาในครานี้อย่างสั้นๆ

“เป็นเช่นนี้นี่เอง..”

เมื่อทราบถึงสาเหตุที่ผู้นำลึกลับของเกาะวายุนิ่งเชื้อเชิญตนมาที่นี่ ฉินอวี้โม่ก็ไม่แสดงท่าทีประหลาดใจใดๆ ทว่ามีเพียงความผ่อนคลายเล็กน้อย

“การที่ข้าไม่ได้พบท่านมานาน ทักษะการหลอมของท่านก็คงจะพัฒนามากขึ้นใช่รึไม่?”

รองผู้นำของเกาะวายุนิ่งทราบฝีมือการหลอมของฉินอวี้โม่ดีกว่าใครและทักษะอันยอดเยี่ยมน่าทึ่งของนางคือสิ่งที่เขาชื่นชมจากใจจริง

“ฮ่าๆๆ ต่อให้ไม่ได้รับจดหมายเชิญจากเกาะวายุนิ่ง ข้าก็ตั้งใจจะมาที่นี่ บังเอิญข้ามีสิ่งที่อยากถามจากผู้นำเกาะและรองผู้นำเกาะพอดี”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวโดยไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับทักษะของตน

ทักษะการหลอมของนางไม่ได้พัฒนามาเป็นพักใหญ่แล้วและตอนนี้นางรู้สึกได้ถึงสภาวะติดขัดในการพัฒนาของตนเอง แน่นอนว่านางสามารถหลอมอุปกรณ์ระดับสูงๆของดินแดนเทพมายาได้ ทว่านางก็ไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่านั้น

นับตั้งแต่ได้รับความทรงจำของชิงเหอมา นางก็รู้สึกกดดันตัวเองอย่างมาก เช่นเดียวกับการฝึกยุทธ์ฝึกวิชา ศาสตร์ในการหลอมอาวุธอุปกรณ์ก็ยังเป็นเส้นทางที่ยาวไกลอีกมาก เนื่องจากตอนนี้นางอยู่ในสภาวะติดขัดและไม่สามารถหาทางพัฒนาตนเองได้อีก เพราะเหตุนั้นนางจึงต้องการมาที่นี่เพื่อสอบถามผู้นำเกาะวายุนิ่งถึงหนทางในการพัฒนาตนเองต่อไป

ฉินอวี้โม่เชื่อว่าผู้นำเกาะวายุนิ่งจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับศาสตร์การหลอมที่มากกว่าตนอย่างแน่นอน แม้แต่เรื่องของดินแดนระดับสูง เขาก็น่าจะทราบข้อมูลบางอย่างเช่นกัน

“ข้าจะพาท่านทั้งสองไปพบกับผู้นำเกาะก่อน จากนั้นเราจะหารือเรื่องอื่นๆกันในภายหลัง”

รองผู้นำของเกาะวายุนิ่งสังเกตเห็นแววตาสงสัยใคร่รู้ของคนอื่นๆที่จับจ้องตรงมา เขาจึงกล่าวออกไปและออกเดินนำแขกทั้งสองเข้าไปข้างใน

หลังจากเดินผ่านอาคารหลายหลัง เขาก็หยุดลงหน้าเรือนที่ดูธรรมดาๆหลังหนึ่ง

“ศิษย์พี่ อวี้โม่และโม่ฉือมาถึงแล้วขอรับ”

เขากระซิบกระซาบกับคนข้างในด้วยเสียงเบา จากนั้นประตูที่ปิดสนิทก็ค่อยๆเปิดออก

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเดินตรงตามผู้อาวุโสชิงตานเข้าไปข้างในและมองเห็นเตาหลอมขนาดใหญ่ภายในห้อง ส่วนด้านข้างก็มีโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยวัสดุสิ่งหลอมหลากหลายชนิดวางอยู่บนนั้น แม้จะมีเป็นจำนวนมาก ทว่าพวกมันก็ถูกวางเป็นระเบียบไม่ยุ่งเหยิงแม้แต่น้อย

ตรงหน้าเตาหลอมขนาดใหญ่ดังกล่าวคือบุรุษคนหนึ่งที่สวมอาภรณ์สีดำและนั่งหลับตาอยู่อย่างเงียบๆ รูปลักษณ์ภายนอกของเขาดูธรรมดาทั่วไป และกลิ่นอายจากร่างของเขาก็ดูจะคลุมเครือมากส่งผลให้ยากที่จะมองเห็นพลังของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“ฮ่าๆๆ หลังจากผ่านเวลาไปนับพันปี ในที่สุดเราก็ได้พบกันอีกครา!”

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่เบาๆ จากนั้นผู้นำเกาะวายุนิ่งก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา

ดวงตาของเขาดูล้ำลึกจนดูราวกับสามารถมองเห็นความจริงทุกอย่างในโลกได้อย่างทะลุปรุโปร่งและมีแววของรอยยิ้มบางๆปรากฏในแววตาที่ดูไร้ที่สิ้นสุดคู่นั้น เวลานี้เขามองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยแววตาราวกับมองสหายเก่าแก่ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าประหลาดยิ่งนัก

ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของผู้นำเกาะวายุนิ่ง ทว่าจากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของนางเช่นกัน

“ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็ยังจำข้าได้”

ผู้นำเกาะวายุนิ่งที่ลึกลับและยากเกินหยั่งถึงผู้นี้มีนามว่าอู๋หมิง เมื่อพันปีก่อนในตอนที่ฉินอวี้โม่ยังคงเป็นชิงเหอ นางเคยมาที่เกาะวายุนิ่งพร้อมกับฉินเฟยเหยียนครั้งหนึ่ง

นี่คือสาเหตุหนึ่งที่นางตามหาเกาะวายุนิ่งได้อย่างง่ายดายจนพบแม้กระทั่งพิกัดที่เฉพาะเจาะจงของมัน

“ฮ่าๆๆ แม้มิใช่ร่างเดิม บางสิ่งบางอย่างก็มิอาจเปลี่ยนแปลงไป เมื่อพันปีก่อนข้าเคยพบกับเจ้าครั้งหนึ่ง และแม้เวลาจะผ่านมานานนับพันปี ข้าก็ยังจดจำเจ้าได้”

อู๋หมิงหัวเราะเบาๆและจดจำการพบกันในครานั้นได้เป็นอย่างดี

ในเวลานั้น เขาเพิ่งก่อตั้งเกาะวายุนิ่งได้เพียงไม่นานก่อนที่ฉินเฟยเหยียนและชิงเหอจะมาที่นี่

ในตอนนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนเทพมายาและฝ่ายมารก็อยู่สถานการณ์ตึงเครียดมากแล้วและทั้งสองเดินทางมาที่เกาะวายุนิ่งเพื่อเชิญให้ผู้นำเกาะวายุนิ่งไปร่วมทำสงครามกับพวกนางด้วย

อย่างไรก็ตาม เกาะวายุนิ่งก็ถูกก่อตั้งขึ้นได้ไม่นานเท่านั้นและมันเป็นเพียงศูนย์รวมของช่างหลอมมากมายทว่าไม่มีความสามารถในการต่อสู้ทำสงครามเท่าใดนัก เพราะเหตุนั้นอู๋หมิงในตอนนั้นจึงไม่ลังเลที่จะปฏิเสธการเข้าร่วมทำสงคราม

เขาก็มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมเช่นกันว่าไม่ว่าฝ่ายใดคว้าชัยชนะมาได้ เกาะวายุนิ่งของเขาจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ปฏิเสธเข้าร่วมการต่อสู้ อู๋หมิงก็ยังจัดหาอาวุธและอุปกรณ์จำนวนมากให้กับดินแดนเทพมายาซึ่งอุปกรณ์เหล่านั้นก็ถือว่ามีบทบาทสำคัญในสงคราม เพราะเหตุนั้น แม้เกาะวายุนิ่งไม่เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยตนเอง พวกเขาก็ถือเป็นวีรบุรุษที่อยู่เบื้องหลัง

“เมื่อพันปีก่อน ข้าได้รับข่าวการตายของเจ้าและฉินเฟยเหยียน ในตอนนั้นข้าก็รู้สึกไม่ดีนักและมีอารมณ์ที่ซับซ้อนบางอย่าง เจ้าทั้งสองถือเป็นยอดอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดที่ข้าเคยพบเห็นในดินแดนเทพมายาและสิ่งที่เกิดขึ้นช่างน่าเศร้านัก จนกระทั่งหลังจากนั้น ข้าตั้งจิตมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนและเห็นนิมิตบางอย่าง ในตอนนั้นเองที่ข้าตระหนักได้ว่าเจ้าและฉินเฟยเหยียนมิใช่คนธรรมดาที่จะล้มตายไปง่ายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงโศกนาฏกรรมในเส้นทางที่ต้องเผชิญ ตราบใดที่ผ่านมันไปได้อย่างปลอดภัย พวกเจ้าก็จะกลับคืนมาและหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวง”

อู๋หมิงยิ้มบางๆ เขายังจดจำได้ดีถึงเหตุการณ์เมื่อพันปีก่อนและความเศร้าใจเมื่อทราบข่าวว่าสตรีทั้งสองเสียชีวิตในการต่อสู้ แม้เคยพบปะและพูดคุยกับเพียงผ่านๆเท่านั้น เขาก็รู้สึกถูกชะตากับพวกนางเป็นอย่างมาก

หลังจากนั้น เขาก็คำนวณดวงชะตาของพวกนางดูและเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเพียงวิกฤตหนึ่งที่ทั้งสองจะต้องข้ามผ่านไป อู๋หมิงจึงตั้งตารอการปรากฏตัวของพวกนางอีกครั้ง

เมื่อได้ทราบเกี่ยวกับการปรากฏตัวของจอมยุทธ์นามว่าฉินอวี้โม่และได้ทราบถึงเบาะแสหลายอย่าง มันก็ทำให้เขายืนยันตัวตนของนางได้ ทันทีที่พบกันอีกครั้ง เขาก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้คือชิงเหอจากในอดีต

“ท่านผู้นำเกาะวายุนิ่งเชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์อย่างนั้นรึ..”

หานโม่ฉือกล่าวขึ้นเบาๆ เมื่อพบหน้าผู้นำเกาะวายุนิ่ง เขาเองก็ยืนยันสิ่งหนึ่งได้เช่นกัน เกรงว่าอู๋หมิงผู้นี้คงไม่ได้มีตัวตนเพียงด้านเดียวเท่านั้น

“นึกอยู่แล้วว่าเจ้าคือบุรุษจากดินแดนระดับสูงที่ใช้วิชาอัญเชิญจิต…อวี้เฟิง!”

อู๋หมิงมองหานโม่ฉือและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ฉินเฟยเหยียนมิใช่เพียงคนเดียวที่ค้นพบเกี่ยวกับวิชาอัญเชิญจิตของอวี้เฟิงในตอนนั้น ทว่าตัวเขาก็ค้นพบมันเช่นกัน ทว่ากว่าจะไปถึงสถานที่เกิดเหตุ ทุกอย่างก็สิ้นสุดลงแล้ว

แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังค้นพบถึงตัวตนของอวี้เฟิงและความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชิงเหอ

อู๋หมิงเองก็ตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ทราบเกี่ยวกับความรู้สึกที่ลึกซึ้งของทั้งสอง ถึงอย่างไรก็มิใช่ทุกคนที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อความรัก เช่นเดียวกับตัวเขาที่มีบางอย่างติดค้างทำไม่ได้มาตั้งแต่ตอนนั้นและเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้

“หึ ข้าคิดว่าผู้นำอู๋หมิงน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับพิภพเหนือสวรรค์!”

หานโม่ฉือไม่ปฏิเสธทว่าจ้องหน้าอู๋หมิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น