ตอนที่ 690 กระสวยข้ามมิติ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อได้ยินวาจาของหานโม่ฉือ สายตาของฉินอวี้โม่ก็จับจ้องตรงไปที่อู๋หมิงทันที หากเขาคือผู้ก่อตั้งพิภพเหนือสวรรค์ เช่นนั้นคำพยากรณ์ที่เกือบทำลายชีวิตของหานโม่ฉือก็มาจากเขา และนั่นหมายความว่าสิ่งเลวร้ายทั้งหมดที่หานโม่ฉือเผชิญมาก็ล้วนเกิดขึ้นมาจากเขา

“ฮ่า ๆๆ เจ้าคาดเดาถูกแล้ว”

อู๋หมิงหัวเราะและตอบกลับโดยไม่ปิดบัง

“พิภพเหนือสวรรค์คือขุมกำลังที่ข้าก่อตั้งหลังสิ้นสงครามระหว่างฝ่ายมารและดินแดนเทพมายา ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาด…เจ้าก็น่าจะทราบดีว่าข้าก่อตั้งมันเพราะเหตุใด”

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองหน้ากันและพยักศีรษะเบา ๆ ทั้งสองสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของผู้นำเกาะวายุนิ่งได้ไม่ยาก พิภพเหนือสวรรค์อาจถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของดินแดนเทพมายาและฝ่ายมารเพื่อมิให้สงครามเกิดขึ้นเร็วจนเกินไป

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คำทำนายที่ให้ร้ายว่าโม่ฉือเป็นตัวกาลกิณีก็เกิดขึ้นเพราะท่าน ! และสวีไหลที่อยู่ในตระกูลหานก่อนหน้านี้ก็เป็นคนที่ท่านส่งไป !”

น้ำเสียงของฉินอวี้โม่ในตอนนี้เจือด้วยจิตสังหารพอสมควร หากทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะคนผู้นี้จริง นางก็ไม่ลังเลที่จะสั่งสอนเขาอย่างโหดเหี้ยม

“ฮ่า ๆ ๆ หากไม่มีคำพยากรณ์นี้ เจ้าคิดว่าในชีวิตนี้เจ้าและหานโม่ฉือจะได้พบกันอีกงั้นหรือ ?”

อู๋หมิงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากฉินอวี้โม่และอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาเพียงต้องการช่วยให้หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่พบรักกันอีกครั้ง

แม้ในตอนแรกยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าฉินอวี้โม่คือชิงเหอ เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถลบล้างพิษร้ายในร่างกายของหานโม่ฉือได้ นั่นคือสาเหตุที่เขาใช้วิธีการที่ดูโหดร้ายนั้นเพื่อทำให้หานโม่ฉือไปอยู่ในดินแดนหวนหลิง แม้บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นจะเหนือความคาดหมายของเขาไปบ้าง แต่อู๋หมิงก็ไม่นึกเสียใจกับการตัดสินใจของตนเอง

เมื่อได้ยินวาจาของผู้นำเกาะวายุนิ่ง จิตสังหารของฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ สลายจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย นางหันไปสบตาหานโม่ฉือข้างกายและค่อย ๆ คลี่รอยยิ้มกว้าง

อู๋หมิงกล่าวถูกต้องแล้ว หากมิใช่เพราะการกระทำของเขา หานโม่ฉือก็คงมิได้ถูกส่งไปที่ดินแดนหวนหลิงและได้พบกับตน ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ทราบชะตาในชีวิตที่ผ่าน ๆ มาของหานโม่ฉือดี หากมิใช่เพราะการพลัดพรากจากบิดามารดาและไปที่ดินแดนหวนหลิงตั้งแต่ต้น นางก็มิอาจมั่นใจได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็โล่งใจขึ้นมาก การตัดสินใจของอู๋หมิงถือว่าสมเหตุสมผลไม่น้อย

“ข้าสามารถสรุปเหตุการณ์บางอย่างจากหลักโหราศาสตร์ได้ ทว่ามิอาจอ้างอิงในสิ่งที่ขัดต่อสวรรค์เบื้องบนได้ ยกตัวอย่างเช่น ข้าไม่สามารถสรุปได้ว่าดินแดนเทพมายาหรือฝ่ายมารจะเป็นผู้คว้าชัยชนะในสงครามครานี้”

ผู้นำเกาะวายุนิ่งยิ้มบาง ๆ ขณะมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก่อนกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเจ้าทั้งสองอยู่ที่นี่ ข้าก็ค่อนข้างมั่นใจว่าครานี้ดินแดนเทพมายาจะเป็นฝ่ายชนะ เพียงแต่มิอาจคาดเดาได้เลยว่ามันจะต้องแลกมากับสิ่งใดบ้าง”

เดิมทีเขาไม่มั่นใจว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะในสงครามที่จะมาถึง อย่างไรก็ตาม หลังจากได้พบฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เขาก็ไม่สงสัยหรือลังเลอีกต่อไป แม้ขุมกำลังมารร้ายจะแกร่งกล้ามากนัก ทว่าจอมยุทธ์หนุ่มสาวทรงพลังคู่นี้ก็จะต้องมีหนทางรับมืออย่างแน่นอน

“แล้วเกาะวายุนิ่งของท่านล่ะ ? ท่านจะไม่เข้าร่วมการต่อสู้กับฝ่ายมารในครานี้กับพวกเราอีกงั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่มองอู๋หมิงและเอ่ยถามสิ่งที่กังวลใจมากที่สุด

พลังอำนาจโดยรวมของฝ่ายดินแดนเทพมายาในปัจจุบันนี้ไม่ได้ดีไปกว่าเมื่อพันปีก่อนเลยสักนิดและเห็นได้ชัดว่าด้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อพันปีก่อน แม้ดินแดนเทพมายาจะยังไม่มีวิวัฒนาการมากเช่นวันนี้ ทว่าผู้คนล้วนร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อรับมือกับฝ่ายมาร เพราะเหตุนั้นแม้มีความแข็งแกร่งที่อ่อนแอกว่าเล็กน้อย พวกเขาก็ได้เปรียบจากจำนวนที่มากและความสามัคคีปรองดองกัน จนในที่สุดก็สามารถเอาชนะฝ่ายมารได้สำเร็จ

แต่ทว่า… ดินแดนเทพมายาในทุกวันนี้เป็นดั่งเม็ดทรายที่กระจัดกระจายคนละทิศคนละทาง ขุมกำลังหนึ่งในสามส่วนของดินแดนเทพมายาซึ่งนำโดยนิกายหงส์มังกรและขุมกำลังอื่น ๆ ก็เลือกจำนนต่อขุมกำลังมารร้ายแล้ว ซ้ำร้ายยังมีสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนของชนเผ่ามายาและเผ่าอสูรอีก สถานการณ์ของดินแดนเทพมายาจึงยากลำบากและซับซ้อนมากยิ่งขึ้นอีก

หากเกิดสงครามขึ้นจริง ความสูญเสียที่เกิดขึ้นอาจเลวร้ายยิ่งกว่าเมื่อพันปีก่อนด้วยซ้ำ

เพราะเหตุนั้น สิ่งที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ต้องทำในตอนนี้ก็คือดึงขุมกำลังอื่นมาเป็นฝ่ายเดียวกันให้ได้มากที่สุด ตราบใดที่เกาะวายุนิ่งแสดงจุดยืนที่ชัดเจน เชื่อว่าสมาคมทหารรับจ้างและสมาคมหลอมโอสถที่ยังคงลังเลก็จะสามารถตัดสินใจได้ในที่สุด นอกจากนี้ยังมีขุมกำลังเล็ก ๆ อีกมากที่ลังเลอยู่เช่นกัน พวกเขาเหล่านั้นก็น่าจะเข้ามาเป็นฝ่ายเดียวกับพวกนางได้ไม่ยาก

ถึงอย่างไรดินแดนเทพมายาก็คือบ้านของพวกเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ไม่ต้องการให้ขุมกำลังมารร้ายเข้ามายึดครองมันไป

“ฮ่า ๆ ๆ ครานี้ข้าตั้งใจจะส่งคนจากเกาะวายุนิ่งไปต่อสู้กับฝ่ายมารทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีคนจากพิภพเหนือสวรรค์ที่จะเข้าร่วมด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรครานี้ดินแดนเทพมายาก็จะพ่ายแพ้ไม่ได้เด็ดขาด”

อู๋หมิงยิ้มและกล่าวถึงแผนการที่ตนเองคิดไว้

ครานี้การตัดสินใจของเขาต่างจากเมื่อพันปีก่อนและตั้งใจจะเข้าร่วมสงครามครั้งสำคัญ แน่นอนว่าเขาทราบสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างดีและทราบว่าฝ่ายมารในตอนนี้มีไพ่ตายทรงพลังกว่าเมื่อพันปีก่อนมากนัก หากเกาะวายุนิ่งยังวางตัวเป็นกลางและไม่เข้าร่วมสงครามต่อไป สถานการณ์จะลงเอยไม่ดีแน่ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่มีทางยอมให้ฝ่ายมารเอาชนะได้สำเร็จ เพราะเหตุนั้นในการต่อสู้ที่จะมาถึง…ดินแดนเทพมายาจะพ่ายแพ้ไม่ได้โดยเด็ดขาด !

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินการตัดสินใจของอู๋หมิง ในตอนแรกทั้งสองคิดว่าจะต้องใช้ความพยายามเพื่อโน้มน้าวใจให้เขาตัดสินใจเข้าร่วมกับตน ไม่คิดเลยว่าผู้นำเกาะวายุนิ่งผู้ลึกลับจะตัดสินใจอย่างง่ายดายเช่นนี้

“ข้าทราบดีว่าตอนนี้บุปผาแห่งความมืดอยู่ในมือของฝ่ายมาร ความน่าสะพรึงกลัวของบุปผาแห่งความมืดนั้นพวกเจ้าก็คงจะทราบกันดี ฝ่ายมารในวันนี้ก็ไม่เหมือนเมื่อพันปีก่อนอีกต่อไป หากเมื่อพันปีก่อนฝ่ายมารได้ปกครองดินแดนเทพมายาจริง ๆ มันก็คงจะไม่เกิดผลกระทบต่อทั่วทั้งดินแดนมากนัก ทว่าในตอนนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง หากพวกเขาครองอำนาจในดินแดนเทพมายาได้สำเร็จ พวกเขาจะลงมือทำในสิ่งที่แม้แต่เราก็คาดไม่ถึงแน่นอน เพราะฉะนั้น ครานี้พวกเราชาวเกาะวายุนิ่งจึงไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป !”

อู๋หมิงกล่าวอธิบายอย่างคร่าว ๆ โดยไม่กล่าวถึงสิ่งที่ตนวางแผนไว้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะทราบถึงมัน ทว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง พวกนางก็จะได้ทราบอย่างแน่นอน

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพียงหันมองหน้ากันและสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากวาจาของอู๋หมิง

ผู้นำเกาะวายุนิ่งทราบสถานการณ์ทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น เขาเพียงไม่กล่าวสิ่งใดและสีหน้าท่าทางก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

“ท่านผู้นำ เรื่องที่เชิญข้ามาที่นี่ในครานี้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเรื่องใดหรือ ?”

หลังจากความเงียบเข้าปกคลุมครู่ใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา สงครามกับฝ่ายมารน่าจะต้องใช้เวลาอีกนับปีกว่าจะมาถึงและพวกนางยังมีเวลาสำหรับการเตรียมความพร้อมต่อไป หากสถานการณ์ของชนเผ่ามายาและเผ่าอสูรคงที่ ในตอนนั้นทุกคนจะมั่นใจได้มากกว่าเดิม ตอนนี้นางต้องการทราบจุดประสงค์ที่อู๋หมิงเชิญตนมาที่นี่และจัดการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพราะสิ่งสำคัญที่รออยู่ในตอนนี้ก็คือการมุ่งหน้าไปที่เผ่าอสูร

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าเชิญเจ้ามาครานี้เพราะสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า ‘กระสวยข้ามมิติ’ ”

ผู้นำเกาะวายุนิ่งหัวเราะเบา ๆ และกล่าวจุดประสงค์ของตนอย่างชัดเจน

“กระสวยข้ามมิติงั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อย นางไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งนี้มาก่อน ‘กระสวยข้ามมิติ’ ฟังดูเหมือนสิ่งที่ช่วยให้ข้ามผ่านห้วงมิติไปยังดินแดนที่ลึกลับอื่น ๆ ได้

“ในเมื่อโม่ฉือมาจากดินแดนระดับสูง เขาก็น่าจะทราบดีว่าดินแดนเทพมายาของเราเป็นเพียงดินแดนเล็ก ๆ ในห้วงมิติอันกว้างใหญ่ นอกจากเราก็ยังมีดินแดนอื่นอีกมากนัก บางแห่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าเรามากในขณะที่บางแห่งก็อยู่ในระดับเดียวกัน อีกทั้งก็ยังมีดินแดนบางแห่งที่มีระดับต่ำกว่าดินแดนหวนหลิงเสียอีก”

หลังจากหยุดชั่วคราว อู๋หมิงก็กล่าวต่อ “กระสวยข้ามมิตินี้คือสิ่งที่ข้าค้นพบหลังจากศึกษาค้นคว้ามานานนับพันปี หากหลอมมันได้สำเร็จ มันจะสามารถพาเราท่องข้ามมิติมากมายตามต้องการโดยไร้ข้อจำกัดใด ๆ …”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของอู๋หมิง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็พยักศีรษะด้วยความเข้าใจ เพียงได้ยินชื่อของมัน ทั้งสองก็พอจะคาดเดาการทำงานของมันได้ไม่ยาก

“อย่างที่พวกเราทราบมาก่อนแล้วว่าผู้ที่ต้องการไปยังดินแดนในระดับสูงจะต้องทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนให้ได้เสียก่อน อย่างไรก็ตาม ในดินแดนเทพมายาของเรานี้ การพัฒนาพลังขึ้นไปถึงระดับนั้นจะต้องอาศัยโอกาสที่หายากเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในดินแดนระดับสูงมีทั้งโอกาสเหล่านั้นและสภาวะพลังที่หนาแน่นและอุดมสมบูรณ์กว่าดินแดนเทพมายามาก เพราะเหตุนั้น หากเราสามารถมุ่งหน้าเข้าไปในดินแดนระดับสูงเมื่ออยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดได้ เชื่อว่าโอกาสการทะลวงพลังของเราจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก”

อู๋หมิงกล่าวอธิบายต่อไป ต้องยอมรับเลยว่าเขาเป็นช่างหลอมที่มีจินตนาการกว้างไกลและฝีมือดีเป็นอย่างยิ่ง การที่สามารถคิดค้นอุปกรณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ เกรงว่านอกจากตัวเขาก็มีเพียงฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนเท่านั้นที่มีความสามารถมากพอ

“หลังจากใช้เวลาศึกษาค้นคว้านานนับพันปี ในที่สุดข้าก็คิดค้นสิ่งนี้ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม หากต้องการหลอมมันให้สำเร็จด้วยดี เงื่อนไขสำหรับการหลอมมันก็โหดหินอย่างมาก วัสดุสิ่งหลอมมิใช่ปัญหาสำหรับเกาะวายุนิ่งของเรา หากแต่เป็นพลังความสามารถ การที่จะหาช่างหลอมที่มีฝีมือทัดเทียมกับข้าช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งนัก มีเพียงแค่การหาช่างหลอมที่มีพลังวิญญาณในระดับเดียวกับข้าและควบคุมเตาหลอมสองเตาพร้อมกันเพื่อหลอมออกมาคนละส่วน หลังจากการหลอมสมบูรณ์และผสมผสานพวกมันเข้าด้วยกัน สิ่งที่เคยเป็นเพียงความเป็นไปได้ก็จะมีโอกาสประสบผลสำเร็จ…

เดิมทีข้าคิดจะชักชวนประธานสมาคมช่างหลอมคนก่อน ถึงแม้ความแข็งแกร่งของเขาจะไม่ต่างจากข้าเท่าใดนัก ทว่าพลังวิญญาณของเขาก็ไหลเวียนช้ากว่าข้ามาก ภายหลังเมื่อข้าได้ยินรองผู้นำกล่าวถึงสถานการณ์ของเจ้าว่าเป็นผู้ครองกายเทพมายาและสามารถหลอมมิติที่สองได้ อีกทั้งเขายังรู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณของเจ้าไม่ด้อยไปกว่าข้าเลยนั้น ข้าจึงตัดสินใจเชิญเจ้ามาที่นี่”

คำอธิบายอย่างคร่าว ๆ ของเขาช่วยให้ฉินอวี้โม่เข้าใจเรื่องราวความเป็นมา

การหลอมกระสวยข้ามมิติมิใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจากมันเป็นอุปกรณ์ที่สูงกว่าระดับวิจิตรขั้นสุริยะเสียอีก แน่นอนว่าการหลอมมันต้องใช้ทั้งร่างกายและจิตใจในระดับสูง อีกทั้งมันยังเป็นกระบวนการที่อันตรายอย่างยิ่ง

หากไม่มีความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมและมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งมากพอก็ไม่ควรที่จะลองทำมันตั้งแต่แรก

และในตอนนี้ จากทั่วทั้งดินแดนเทพมายา ผู้ที่มีทั้งความสามารถและพลังความแข็งแกร่งมากพอที่จะหลอมกระสวยข้ามมิตินอกเหนือจากผู้นำเกาะวายุนิ่งก็มีเพียงฉินอวี้โม่ผู้ครองกายเทพมายาเท่านั้น !

.