ตอนที่ 487 รถหุ้มเกราะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 487 รถหุ้มเกราะ โดย Ink Stone_Fantasy

“คุณเยี่ย ถ้างั้นผมให้ทหารสองสามคนทิ้งไว้ให้คุณ พวกเขาเป็นคนแถวนี้ทั้งหมด ให้บอกทางพวกคุณก็ดีนะ”

ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าจางซานกำลังสงสัยแรงจูงใจอะไรของเยี่ยเทียน แค่เพิ่งได้รับของขวัญล้ำค่าจากถังเหวินหย่วน จางซานอยากจะแสดงมิตรภาพให้ดีที่สุดเท่านั้น ที่จริงแล้วเสือพวกนี้อยู่ในป่าภูเขาไม่มากนัก เยี่ยเทียนเป็นคนพวกที่ว่าคนนอกเข้าไม่ถึงเขาแน่นอน

“ขอบคุณพันเอก งั้นก็ดีเลย ผมกังวลอยู่ว่าจะไม่ใครคุ้นเคยกับภูมิประเทศนี้ดี”เมื่อได้ยินคำพูดของจางซาน ทันใดนั้นในใจของเยี่ยเทียนถึงกับเป็นทุกข์ขึ้นมาทันใด แค่เป็นเพียงข้อเสนอที่สมเหตุสมผลของอีกฝ่าย ตัวเองกลับปฏิเสธก็จะไม่เหมาะสม เยี่ยเทียนจึงทำได้เพียงฝืนรับ

“หรือว่าหลังจากที่หาทองคำเจอแล้วจะกำจัดพวกเขาทิ้ง”

ในใจของเยี่ยเทียนก็เกิดความคิดอย่างนี้ขึ้น ตัวเองสามารถกำจัดทิ้งตอนไหนก็ได้ ขุนศึกที่เป็นคนท้องถิ่นที่ได้รับการลงโทษในสถานที่แห่งนี้ในพม่า ผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นต่างก็เป็นแมลงวันบนหัวเสือ…รนหาที่ตาย ถ้าเยี่ยเทียนคนเดียวก็คงไม่เป็นไร แต่ลูกน้องเยอะขนาดนี้ แน่นอนว่าหนีจากอำนาจในท้องถิ่นไม่พ้น

เมื่อเห็นตอนที่จางซานหนีกลับไปค่ายทหารแล้ว เจ้าแม่กวนอิมหยกสีมรกตห้อยบนคอได้โผล่ออกมา ทันใดนั้นในใจของเยี่ยเทียนเปล่งประกายขึ้นเขาก้าวถอยหลังอย่างเงียบ ๆ และไปกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของหูหงเต๋อ

ตอนที่จางซานไปแล้วก็มีสี่ห้าคนที่กำลังเตรียมตัวแนะนำตัวให้กับเยี่ยเทียน อู๋เฉินที่อยู่ด้านหลังเยี่ยเทียนจู่ๆ ก็เคาะหัววัยรุ่นคนหนึ่งเพื่อให้จดจำ พร้อมกับกล่าวและด่าว่า “เอ้อร์หู่ เมื่อวานนายก็ดื่มน้ำล้างเท้าของแม่กวนอิมผู้หญิงพวกนั้นแล้วนี่ ทำไมปากถึงเหม็นอย่างนี้”

เอ้อร์หู่ไม่ได้โกรธ ยิ้มแป้นแล้วพูดว่า “พี่อู๋ แม่กวนอินพวกนั้นเป็นผู้ชาย ให้ผมหาพระโพธิสัตว์ผู้หญิงเจอเสียก่อนนะ!”

ตองยีอยู่ไม่ไกลจากชายแดนจีนและพม่า ชาวพม่าหลายคนพูดภาษาจีนและภาษาถิ่นในเขตยูนกุยได้ หลังจากที่คำพูดของอู๋เฉินเข้าถึงหูของพวกจางซาน ทันใดนั้นสีหน้าของคนพวกนั้นก็เปลี่ยนไป

“พวกคุณ…คิดไม่ถึงเลยว่ากล้าที่จะทำลายพระพุทธศาสนา”

ทหารหนึ่งคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของจางซาน เอื้อมมือชักกระบอกปืน ปากกระบอกปืนสีดำเล็งไปที่พวกอู๋เฉินสองคน เมื่อเห็นสีหน้าที่ฮึกเหิมของเขา เป็นไปได้ว่าจะเหนี่ยวไกปืนได้ทุกเมื่อ

ไม่เพียงแต่ทหารคนนั้น เมื่อทหารคนอื่นได้ยินพวกอู๋เฉินสองคนคุยกัน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นขึ้นมา ปืนที่อยู่ในมือก็มีเสียง“แช้บๆ”ขึ้นมา เหตุการณ์ในชั่วขณะนั้นก็สูญเสียการควบคุม

“เอ๋…เอ๋ นี่…นี่เกิดอะไรขึ้น?”

เยี่ยเทียนผู้ริเริ่มความคิดเรื่องนี้ ก็คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาทหารพวกนี้จะรุ่นแรงเช่นนี้ รีบคว้าลากตัวจางซาน “คุณพันเอก เกิดอะไรขึ้น พวก…พวกเขาเล็งปืนใส่พวกเราทำไม พวกเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่ศัตรูกันนะ!”

“ไม่…พวกเขาสองคน ไม่ใช่เพื่อน!”

จางซานที่ใบหน้าที่เต็มความปีติยินดี ในขณะนี้ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยหม่อนหมองและเคร่งเครียดสามารถหยุดลงเป็นน้ำมาได้ มองใบหน้าอู๋เฉินแล้วพูดว่า “พวกเขาไม่เชื่อในพระพุทธเจ้า แต่ไม่ควรทำลายพระโพธิสัตว์ คุณเยี่ย คุณส่งสองคนนั้นมาให้ผมเถอะ!”

สถาปัตยกรรมทุกที่โอ่อ่าหรูหราที่สุดทุกที่ในพม่า ไม่ต้องสงสัยทั้งหมดคือวัดนั้นเอง จะเห็นได้ว่าพม่าเป็นประเทศที่เป็นตัวอย่างที่ดีในทางศาสนาพุทธ ทุกคนที่เข้าไปในวัด จะต้องถอดรองเท้าและเดินเท้าเปล่าเข้าไปในวัด นี่ก็เป็นการแสดงความเคารพต่อพระพุทธศาสนาอีกวิธีหนึ่ง

สามารถพูดได้ว่า ชาวพม่าเคร่งครัดและนับถือในศาสนาพุทธ มากกว่าอินเดียที่เป็นแหล่งกำเนิดของพระพุทธศาสนาเสียอีก ถึงชาวพม่าจะมีนิสัยที่อบอุ่น แต่คำพูดของเอ้อร์หู่และอู๋เฉิน เป็นการกระตุ้นก้นบึ้งของหัวใจ

“อ๋อ ไม่ คุณพันเอก พวกเขาไม่รู้สิ่งต้องห้ามของประเทศคุณ ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้าย…”

เมื่ออยู่ๆ จางซานปริปากต้องการคนของเขา ทันใดนั้นเยี่ยเทียนที่คิดว่าตัวเองมาเล่นๆ ในครั้งนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว รีบควักเงินดอลลาร์ปึกหนึ่งของถังเหวินหย่วนควักให้กับเขา ไม่ได้นับแม้แต่น้อยแล้วก็ยัดเข้าหน้าอกของจางซาน แล้วพูดว่า “เห็นแก่หน้าของคุณถัง โปรดอภัยให้พวกเขาด้วย!”

หลังจากที่รับรู้ถึงความหนาของเงินดอลลาร์ที่อยู่ในมือ ใบหน้าของจางซานก็ค่อยๆ อ่อนลง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นชาวพุทธ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความมั่งคั่งของเงินปึกหนึ่งที่อย่างน้อยน่าจะมีพันกว่าดอลลาร์ ทันใดนั้นองค์พระพุทธรูปในใจของจางซานก็ค่อยหายลงเป็นเท่าตัว

หลังจากที่ไตร่ตรองสักพัก จากซานโบกไม้โบกมือ ลูกน้องที่ถือปืนอยู่ที่ด้านหลังก็ค่อยๆ วางลง แล้วพูดว่า “เอาเถอะ เห็นแก่หน้าของคุณถัง ผมก็จะปล่อยพวกคุณสักครั้ง!”

ในปี 1998 รายได้ต่อหัวของพม่าต่อปีมีเพียงไม่กี่ร้อยหยวน เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก ถึงแม้จางซานจะมีตำแหน่งที่ใหญ่โต แต่เงินหลายพันดอลลาร์นี้เป็นทรัพย์สมบัติที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ศักดิ์ศรีของธนบัตรที่พิมพ์ด้วยหัวของวอชิงตัน ดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก

“ขอบคุณ ขอบคุณท่านพันเอก ผมจะสั่งสอนพวกเขาเอง!”

เมื่อเห็นจางซานผ่อนคลายความตึงเครียดลง เยี่ยเทียนถึงกับถอนหายใจยาว ถ้าเพราะอู๋เฉินได้รับบาดเจ็บเพราะความคิดของเขาเอง ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกไม่สบายใจจนอธิบายไม่ถูก โชคดีที่แค่ตื่นตกใจไปเอง

“คุณเยี่ย ทหารของพวกเราคงจะคบกับพวกเขาไม่ได้ เสียใจด้วย การล่าสัตว์ครั้งนี้พวกคุณต้องดำเนินการเองแล้ว”

ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะขอโทษแล้ว และยังส่งเงินสักก้อนที่เป็น“เงินซื้อความจริงใจ” แต่ในใจของจางซานก็ยังรู้สึกขัดอยู่บ้าง เดิมทีที่ตั้งใจหาไกด์ไว้สองสามคน กลับไม่เต็มใจที่ส่งให้เยี่ยเทียนแล้ว

และต่อให้จางซานยังดื้อที่จะส่งมาอีก เกรงว่าทหารพวกนั้นก็คงไม่เต็มใจ ถ้ายังหาเรื่องเดือดร้อนอยู่อีก เขาก็ก็อาจจะไปสามารถรายงานกับนายพลปอกางได้

“อ้อ ได้ยังไงกัน”เยี่ยเทียนพูดด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ หันกลับมามองที่อู๋เฉินและเอ้อร์หู่ ด่าเกรี้ยวว่า “นายสองคนนี้สมควรตาย!”

“คุณเยี่ย ภารกิจของพวกเราเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากที่พวกคุณล่าสัตว์เสร็จ ก็ขับรถกลับมาที่ตรงนี้หรือไม่ก็จอดสักทีก็พอแล้ว”

หรือเพราะเรื่องนี้ไม่สบอารมณ์ ใบหน้าของจางซานก็กลับมาเคร่งขรึมเหมือนก่อนหน้านี้ หลังจากเอากุญแจสองสามดอกทิ้งให้กับเยี่ยเทียน ก็พาทหารหลายสิบคนขึ้นรถแล้วก็จากไป

“แม่ง ผมตกใจจะแย่อยู่แล้ว!”

หลังจากรอพวกทหารพม่าหนีออกไป เอ้อร์หู่ถึงกับส่งเสียงถอนหายใจ ขาทั้งสองทรุดฮวบลงกับพื้น เขาคิดไม่ถึงว่าเกือบจะมีการแสดงที่ถูกตายแล้ว เมื่อปืนเล็งมาที่เขา เขาคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะเหนี่ยวไกปืนขึ้นมาจริงๆ

อู๋เฉินถึงแม้จะเอ้อระเหยอยู่ในยุทธภพนาน แต่ก็ไม่ถึงกับทรุดลงกับพื้น ทว่าก็ตกใจไม่น้อย มองยิ้มเจื่อนๆ ไปที่เยี่ยเทียน แล้วพูดว่า “ท่านเยี่ย เรื่องเป็นการกระตุ้นแบบนี้ ครั้งหน้าพวกเราจะไม่ทำเล่นแล้ว!”

“แหะแหะ ไม่เป็นไร พวกเขาไม่กล้ายิงตามอำเภอใจหรอก เมื่อก่อนพม่าก็เป็นประเทศอาณัติของพวกเรา”เยี่ยเทียนยิ้มและปลอบใจทั้งสองคน แม้แต่เขาเองก็ไม่มีแรงที่มั่นใจจะพูดอะไร

ต้องรู้ว่า ถ้ารวมตัวกันแบบนี้ที่โรงแรม ภายใต้การจ้องมองของทุกคน จางซานไม่กล้าฆ่าพวกเขาแน่นอน

แต่ตอนนี้ในป่าและเนินเขา แม้แต่นกสักตัวก็มองไม่เห็น หลังจากที่ฆ่าคนของเขาไปแล้ว แค่ผลักว่าเป็นฝีมือของพวกค้ายารายใหญ่ แค่นี้เรื่องทุกอย่างก็ราบรื่นแล้ว ถึงอย่างไรก็ตามพวกค้าขายที่สามเหลี่ยมทองคำนั้นก็ไม่รู้ว่าโดยใส่ร้ายป้ายสีกี่ครั้งแล้ว

“เซี่ยวเทียน นายขับรถคันหนึ่ง อู๋เฉิน พวกนายตรงนี้มีคนขับรถเป็นใช่ไหม รถที่เหลืออีกคันให้พวกนายนะ”เมื่อเห็นใบหน้าพวกคนสำนักศิลปะการต่อสู้อู๋ก่วนไม่ค่อยดี เยี่ยเทียนก็ใช้รถหุ้มเกราะที่อยู่ข้างหน้าเปลี่ยนเรื่อง

“ได้ ผมขับเอง แม่ง รถดีๆ อะไรก็เคยขับ แต่กลับไม่เคยขับรถหุ้มเกราะเลย”

คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ทันใดนั้นความสนใจของอู๋เฉินก็พุ้งไปที่รถหุ้มเกราะ พาพวกลูกน้องไปมุงดู ทันทีที่ประตูเปิดออก ก็แอบเข้าไปห้องคนขับรถอย่างรวดเร็ว

“โห รถคันนี้ไม่เลวจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเครื่องกว้านด้วย”

ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนก็ไม่มีเวลาตรวจสอบรถหุ้มเกราะไม่กี่คันพวกนี้ ตอนนี้หลังจากไปพิจารณาไปสักพักหนึ่ง ทันใดสายตาก็เป็นประกายขึ้น

ที่แท้ ปืนกลและอาวุธต่างๆ ในรถหุ้มเกราะนี้ถูกเอาออกหมด แต่ท้ายรถทุกคัน นอกจากมีเชือกลากแล้ว คิดไม่ถึงว่าเครื่องกว้านไฟฟ้าอันหนึ่ง และมีลวดเหล็กที่พันบนเครื่องกว้านนั้นมีความยาวอย่างน้อยเจ็ดหรือแปดสิบเมตร

เครื่องกว้านนี้สำหรับเยี่ยเทียนที่ใช้ขนย้ายทองคำ จะมีขนาดที่ใหญ่เกินไป ในการใช้เครื่องกว้านในการขนย้าย ความเร็วและประสิทธิภาพนั้นดีกว่าแรงงานคนเสียอีก นี่หมายความว่าหลังจากที่หาทองคำเจอ เยี่ยเทียนก็สามารถขนย้ายได้เร็วขึ้น

“อาจารย์ คุณหาแค่สองคนมาขับรถ แล้วรถอีกคันหนึ่งทำยังไงดีล่ะ”โจวเซี่ยวเทียนหลังจากที่ตื่นเต้นอยู่ด้านในรถ ส่ายตาก็จ้องมาที่เยี่ยเทียน

“รถคันนั้นไว้ให้คนอื่น”เยี่ยเทียนหยิบเครื่องวิทยุสื่อสาร ตะโกนว่า “เหล่าหม่า สนุกครึกครื้นน่าดูเลย พวกคุณออกมาได้แล้ว”

ในขณะที่เจรจาหารือกับจางซานเมื่อกี้ เยี่ยเทียนพบว่าพื้นใต้เท้าของเขาสั่นเล็กน้อย แต่ไม่สามารถสังเกตได้ จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความโมโหของมาราไกย์และคนอื่นๆ รู้ว่าพวกพี่พวกนี้คือรีบมาแล้ว

เยี่ยเทียนเพิ่งปิดเครื่องวิทยุสื่อสารลง พวกเขากำลังมาอีกทางหนึ่ง เสียงของรถสตาร์ทดังขึ้น จากนั้นรถธุรกิจคันหนึ่งขับรถเข้ามา

“อ๋อ บอส คุณหารถพวกนี้จากไหนเหรอ”

หลังจากที่รถอเนกประสงค์หยุดลง มาราไกย์ก็เปิดประตูแล้วก็กระโดดลงมา ก่อนหน้านี้เขาสังเกตการณ์เยี่ยเทียนและจางซาน ด้วยกล้องโทรทรรศน์ที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตร ถึงแม้ว่าภาพจะชัด แต่ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน

“อย่าสนใจอะไรมากเลย เหล่าหม่า รถคันนี้นายขับไปนะ พวกเราเจอกันที่แม่น้ำไรน์นะ”

เยี่ยเทียนโบกไม้โบกมือ เขาไม่ได้มีธุระกงการอะไรที่จะต้องอธิบายที่มาของรถคันนี้ หลังจากพูดสั่นๆ ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็เคร่งขรึมขึ้น “เหล่าหม่า ถ้าตอนที่เดินทางไปตองยีแล้วพบคนญี่ปุ่น พวกคุณต้องระวัง ทางที่ดีลงมือก่อนก็ดี

ตามคำพูดของโก่วเจียซิน ผู้ที่รอดชีวิตจากสงครามทองคำมืดในปีนั้น น่าจะเป็นคนนั้นที่ให้เขาและครอบครัวมิยาโมโตะ หากคุณพบชาวญี่ปุ่นในเนินป่าภูเขา เก้าในสิบคนนั้นเป็นตระกูลคิตะมิยะอย่างไม่ต้องสงสัย

“รถคันนี้สุดยอดไปเลย คิดไม่ถึงว่าจะขับได้ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในพื้นที่ที่เป็นภูเขา”

มาราไกย์ผิวปากอย่างตื่นเต้น โผล่หัวออกมาหลังจากไปสำรวจห้องคนขับรถ แล้วพูดว่า “บอส คุณก็สบายใจได้เลย ผมก็เกลียดคนญี่ปุ่นมาก และแน่นอน แต่ผู้หญิงญี่ปุ่นผมก็ยังชอบนะ”

……