ตอนที่ 488 ควบคุมความสมดุล โดย Ink Stone_Fantasy
“เถ้าแก่ พวกเขาเป็นใครกัน”เมื่อเห็นคนเจ็ดแปดคนที่กำลังลองรถอีกคนหนึ่งอยู่ มาราไกย์มีใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยแล้วมองไปทางเยี่ยเทียน
สายตานั้นของมาราไกย์ เห็นอย่างได้ชัดว่าเด็กหนุ่มวัยรุ่นพวกนี้ปราดเปรียวมาก หนึ่งในชายที่กำยำแข็งแรงมือคู่หนึ่งราวกับต้นไม้เก่าแก่ ที่มีรากไม้แผ่ขยายไปทั่ว เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่รับมือไม่ง่ายเลย
“ทั้งเป็นคนที่ผมเชิญมาช่วยภารกิจในครั้งนี้ให้สำเร็จ”
เยี่ยเทียนไม่ได้ปิดบังสถานะของพวกอู๋เฉิน เขาอยากให้มาราไกย์เข้าใจ ว่าตัวเองไม่ได้จ้างแค่พวกเขาเพียงฝ่ายเดียว สำหรับอู๋เฉินพวกเขาแล้ว นี่ก็มีข้อจำกัดอย่างหนึ่ง เมื่อมองเวลาสักพักหนึ่ง ก็ใกล้จะถึงตอนเที่ยงแล้ว เยี่ยเทียนพูดว่า “เหล่าหม่า พวกคุณมุ่งหน้าไปก่อน มีปัญหาอะไรก็ติดต่อกันผ่านเครื่องวิทยุสื่อสารได้ทุกเมื่อ”
จากย่างกุ้งไปทางตองยีนี้ ถนนไม่ใช่จะดี ถ้าเกิดช้าไปกว่านี้ เกรงว่าฟ้ามืดก็คงไปไม่ถึง พม่าอากาศร้อนจนแสบผิด เยี่ยเทียนไม่อยากตั้งแคมป์ในป่าให้หนอนยุงตอม
“โอเค พวกเรา ไปทำงานกันเถอะ!”
มาราไกย์พยักหน้า เขาเหยียดแขนออกไป กระโดดออกมาจากรถหุ้มเกราะ และตะโกนหาเพื่อนตัวเองสามคน “พวกเรา ทำงานกัน เอาอาวุธทั้งหมดเข้าไปในรถหุ้มเกราะ!”
หลังจากที่ยกของออกจากท้ายรถออฟโรด ปากปืนกลขนาดใหญ่แบบรังผึ้งอันนั้น หันเข้ามาที่ด้านนอกประตูรถ มาราไกย์มือข้างหนึ่งที่มีปืนอยู่นั้น เพียงแค่ที่ได้ยินเสียงเพียงเล็กน้อย ปืนที่หนักนั่นก็ได้ยกขึ้นมาสูงขึ้น ยืนมือออกไปหยิบโซ่ลูกกระสุนที่ยาวราวๆ สี่ห้าเมตรมาพันรอบๆ ตัว
“แม่ง นี่เป็นใครกัน”
เดิมตอนที่เยี่ยเทียนกับมาราไกย์คุยกันอยู่ พวกอู๋เฉินก็อยากรู้อยากเห็นบ้าง ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนรู้จักกับชาวต่างชาติพวกนี้ได้ยังไง เมื่อเห็นมาราไกย์จู่ๆ ก็ใส่อาวุธเหมือนกับในหนังภาพยนตร์ ทันใดนั้นทุกคนต่างก็ตะลึกและตกใจขึ้นมาเท่านั้น
ปืนกลขนาดใหญ่แบบรังผึ้งนี้ยาวประมาณหนึ่งเมตรหกสิบ ปากประบอกปืนสามารถยิงหินน้อยใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าแปดอันได้ มีน้ำหนักอย่างน้อยหนึ่งสองร้อยกิโลกรัม หรือถ้านับกับแรงสะท้อนกลับยิ่งทำให้คนตกใจยิ่งกว่า แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่ามาราไกย์ในขณะนี้ค่อยข้างที่จะเด่นมากเกินไป
“เหล่าหม่า เบาเสียงหน่อย เบาเสียงสักหน่อย!”
ในขณะที่มาราไกย์ถือปืนกลที่หนักอยู่นั้น ตัวของเยี่ยเทียนก็ขยับไปทางด้านขวาเพียงเล็กน้อยแทบจะไม่เห็นว่าขยับ ร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาซ่อนตัวอยู่หลังรถหุ้มเกราะ เขาก็รับรู้ได้ ปืนกลนั้นเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อเขา แน่นอนว่าตัวเขาเองไม่อยากระเบิดตรงด้านหน้าปากกระบอกปืน
เดิมที่มาราไกย์ที่กำลังจัดปืนกลอยู่นั้น เมื่อได้คำพูดของเยี่ยเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามายิ้ม ก็เอาปืนวางเข้าไปในรถหุ้มเกราะ เมื่อกี้เขาไม่เข้าใจความคิดของเยี่ยเทียน แต่หลังจากที่ปืนอยู่ในมือของเขา เขาถึงพบว่า ต่อให้ตัวเองมีอาวุธการฆ่าที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่แน่ใจว่าจะสามารถฆ่าชายหนุ่มชาวตะวันออกผู้ลึกลับคนนี้ได้
การกระทำต่อไปนี้ของพวกมาราไกย์ ทำให้พรรคพวกอู๋เฉินเหมือนไปเข้าร่วมชมคลังแสงอาวุธก็ไม่ปาน กล่องกระสุนสีเหลืองส้มกล่องหนึ่งและระเบิดมือ ยังมีปืนกลมือทุกชนิดและอาวุธขนาดเบาถูกย้ายไปยังรถหุ้มเกราะ รถหุ้มเกราะคันนั้นที่สามารถรับคนได้สิบคน ตอนนี้ถูกครอบครองพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งแล้ว
“ท่าน…ท่านเยี่ย พวกเขาเป็นใครกันเหรอ”ในขณะนี้อู๋เฉินก็ไม่สนใจรถหุ้มเกราะอีกต่อไป ขยับไปหลบที่ด้านหลังของเยี่ยเทียน กระซิบถามเบาๆ
อีกฝ่ายที่ถืออาวุธอยู่ข้างหน้าพวกเขา เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรที่เป็นอันตราย ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ความหวาดกลัวเมื่อกี้ได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ อู๋เฉิน สีหน้าก็แสดงแววตาที่อิจฉาขึ้นมา
ต้องรู้ว่า สำหรับอาวุธปืนพวกนี้ การควบคุมของรัฐที่ยิ่งเข้มงวด คนธรรมดาก็อยากรู้อยากเห็นมากขึ้น โดยเฉพาะอาวุธนี้สามารถให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่ประชาชน มันเหมือนตอนที่บัณฑิตผู้อ่อนแอหันมาจับปืน เมื่อต้องเผชิญกับผู้ชายที่แข็งแกร่งไม่กี่คน ก็จะไม่มีความกลัวอย่างแน่นอน
เยี่ยเทียนมองที่อู๋เฉินเพียงครู่เดียว ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นทหารรับจ้างที่ผมเชิญมา แหะๆ ก็เหมือนกับพวกคุณ”
โบราณกล่าวไว้ว่ามีการแข็งขันถึงจะมีความกดดัน เมื่อเยี่ยเทียนพูดคำนี้ขึ้น ทันใดนั้นใบหน้าของอู๋เฉินก็เปลี่ยนไป แอบหันไปมองลูกศิษย์ที่ใช้การต่อสู้ด้วยมือเปล่า จากนั้นเปรียบเทียบกับพวกมาราไกย์ที่มือพวกอาวุธติดไม้ติดมือมาด้วย ทันใดนั้นในใจของเยี่ยเทียนเองก้รู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
“คนของผมฝึกศิลปะกังฟู เทียบกับพวกเขาไม่ได้หรอก!”
อู๋เฉินพูดความโกรธแค้นหนึ่งประโยค ในคำพูดกลับปนไปด้วยความอิจฉา อย่ามองว่าพวกเขามีจำนวนมากกว่ามาราไกย์เป็นเท่าตัว แต่ทั้งสองฝ่ายถ้ามีการปะทะกันขึ้น แค่ฝ่ายตรงข้ามคนเดียวก็ทำให้พวกเขาตายได้ ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่คู่แข่งระดับเดียวกันแน่นอน
งานของย้ายของมาราไกย์ได้จบลง มีปืนกลมือ AK โบราณเพียงเจ็ดหรือแปดกระบอกที่เหลืออยู่ในรถออฟโรด ใจของเยี่ยเทียนได้คล้อยตาม แล้วหันไปถามอู๋เฉินว่า “เอ้อจริงสิ อู๋เฉิน พวกคุณยิงปืนเป็นไหม”
“แน่นอน บริษัทรักษาความปลอดภัยของเราทุกปีจะมีการทดสอบให้ยิงปืน เด็กพวกนี้ก็ผ่านการทดลองกันหมดแล้ว!”หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน อู๋เฉินก็คิดอะไรได้ ทันใดนั้นใบหน้าก็มีสีหน้าที่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“งั้นก็ดี ผมให้พวกคุณสองสามกระบอก!”เยี่ยเทียนตะโกนไปที่มาราไกย์ “เหล่าหม่า เอาปืนนั้นสักสองสามกระบอกทิ้งไว้ให้ผมด้วยนะ ราคาเท่าไหร่ถึงตอนนั้นผมจะคิดให้คุณทีเดียว!”
เนื่องจากมีความจำเป็นต้องควบคุมและสร้างความสมดุลให้ทั้งสองฝ่าย เยี่ยเทียนต้องรักษาสมดุลของกองกำลังของทั้งสอง แม้ว่าประสบการณ์การต่อสู้ที่แท้จริงของอู๋เฉินจะไม่ดีเท่าทหารรับจ้างชั้นนำอย่างมาราไกย์ แต่การมีอาวุธอัตโนมัติในมือ เป็นการภัยคุกคามต่อเยี่ยเทียน ส่วนพวกมาราไกย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“คุณยังต้องการปืนอีกเหรอ?”
มาราไกย์ได้ยินถึงกับตะลึง มองไปยังพวกของอู๋เฉินที่อยู่ข้างๆ เยี่ยเทียน ทันใดนั้นก็เข้าใจได้ทันที ยิ้มแล้วพูดว่า “OK งั้นปืนไม่กี่กระบอกนี้ให้พวกคุณนะ ด้านในยังมีลูกกระสูนอยู่สามกล่อง ให้พวกคุณทั้งหมดเลย”
สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว มาราไกย์เขาไม่ได้มีความคิดอะไรหรอก เพราะจากภาพลักษณ์ที่น่าสมเพชของทหารรับจ้างที่เห็นในไต้หวัน มันยังอยู่ในห้วงความคิดของมาราไกย์อยู่ เขาไม่เคยมีความคิดที่ต่อสู้กับเยี่ยเทียนเลยสักนิด
“ดี งั้นก็ต้องขอบคุณพวกคุณแล้ว!”
เยี่ยเทียนไม่ได้เกรงอกเกรงใจอะไร โบกไม้โบกมือ อู๋เฉินรีบพุ่งออกไป หลังจากเลือก AK47 ที่ใหม่แปดสิบเปอร์เซ็นต์ หลังจากจับมันมาก็วางไม่ลง หลังจากนี้แก๊งค์เด็กๆ พวกนี้ก็จะไม่อยากเป็นสองรองใคร ก็ต่างมาแย่งปืนของตัวเองคนละกระบอก
“เหล่าหู คุณว่า…ยุทธภพอย่างพวกเรา จะไม่มีวันเสื่อมลงเหรอ”
เมื่อเห็นท่าทางจองพวกอู๋เฉิน เยี่ยเทียนก็ยิ้มเจื่อนๆ ขึ้นมา พวกคนศิลปะการต่อสู้เหล่านี้ต่างก็แสดงสีหน้าเช่นเดียวกัน ใครบ้างที่เต็มใจที่จะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างหนักแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ล่ะ ต้องรู้ว่า ยกเว้นเยี่ยเทียนที่เป็นคนฝึกกังฟูและวิชาจนถึงขั้นสุดยอด ปกติแล้วต้องฝึกนักมวยเป็นเวลาสิบถึงยี่สิบปี เกรงว่าแม้แต่กระสูนก็ไม่สามารถซ่อนตัวไปได้
“ก็มีแนวโน้มอย่างมาก ไม่ใช่นายกับฉันจะย้อนกลับไปได้”
หูหงเต๋อมองได้ขาด เมื่อเขาอายุสามขวบและยังคงสวมผ้าอ้ม เล่นปืนกับพ่อของเขาอยู่เลย ฝีมือการยิงปืนไม่ใช่แม่นยำธรรมดา และสามารถแค่เข้าไปล่าสัตว์ในป่าในประเทศจีนได้เท่านั้น แต่ตอนนี้มีปืนที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า ก็อดไม่ได้ที่เข้าไปหยิบสักกระบอกมาไว้ในมือ
“ได้ นายก็ไปเถอะ…”
เมื่อเห็นโจวเซี่ยวเทียนที่มีใบหน้าที่อยากลอง เยี่ยเทียนเตะขาของเขาด้วยความโกรธ มองไปที่หลิ่วติ้งติงแล้วพูดว่า “ยังดีที่ติ้งติ้งยังรู้ความ พวกเราเป็นคนฝึกวิชา จะไปหยิบจับปืนทำไมกัน”
“ท่านลุง ปืนนี้น่าเกลียดจะตาย ถ้าฉันหยิบ ฉันก็จะพวกปืนกลลูกซองของพวกชาวต่างชาติ!”
คำพูดของหลิ่วติ้งติ้งนี้ ทำให้เยี่ยเทียนที่โกรธอยู่แล้วถึงกับกรอกตามองบน พูดชื่อปืนได้ชัดเจนขนาดนี้ เขาไม่เชื่อว่าหลิ่วติ้งติ้งไม่เคยเล่นปืนมาก่อน
“บอส พวกเราไปก่อนนะ!”
หลังจากถ่ายโอนคลังแสงขนาดเล็กไปยังรถหุ้มเกราะ มาราไกย์ก็ทักทายเยี่ยเทียนในขณะที่อยู่ในรถ เตะคันเร่งต่ำด้วยเท้าข้างหนึ่ง จากนั้นตามด้วยเบรกเท้า หมุนพวงมาลัยอย่างแรง จู่ๆ รถหุ้มเกราะคันนี้ก็พุ่งตัวลอยออกไป
“แม่ง อยากตาย ก็ต้องอยู่ไกลๆ ฉันหน่อยนะ!” เมื่อมองรถหุ้มเกราะที่ออกไปไกล เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะด่าตามหลัง การบรรจุลูกกระสูนจำนวนมาก ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ภายใน 100 เมตรนี้เกรงว่าจะเผาทำลายพื้นไปเสียหมด
“พอแล้ว อย่าเล่น มานี้ให้หมด!”
หลังจากที่พวกมาราไกย์ออกไปแล้ว เยี่ยเทียนก็ปรบมือ ตะโกนเรียกลูกน้องที่กำลังอยู่กับคนที่คุ้นเคยกับอาวุธปืนภายใต้การแนะนำของหูหงเต๋อ “เก็บปืนเถอะ ปิดให้ดี พักผ่อนสักหน่อยเต็มตัวเดินทางได้!”
ไม่รู้ว่าทำไม หลังจากที่ตัวเองมาถึงที่พม่า ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกเร่งรีบขึ้นมา ดูเหมือนว่าวิกฤตอย่างหนึ่งที่เขามองไม่เห็นกำลังจะเข้าใกล้ตัวเขา นี่ก็คือเยี่ยเทียนเต็มใจที่จะติดหนี้บุญคุณของถังเหวินหย่วน นี่เป็นเหตุผลที่ต้องใช้รถทางการทหารของพม่า
…
และเมื่อเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ กำลังมุ่งไปที่ตองยี เครื่องบินเช่าเหมาลำลงจอดที่สนามบินมัณฑะเลย์อย่างช้าๆ หลังจากที่เครื่องบินลงจอด ด้านบนมีมากกว่าหนึ่งร้อยคนที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบสบายๆ พร้อมใส่หมวกกันแดดสำหรับนักท่องเที่ยว ชายหนุ่มโบกธงเล็กๆ ในมือ เดินเป็นแถวยาวเหยียดขึ้นรถบัสขนาดใหญ่สองสามคันที่จอดรออยู่ทางออกสนามบินตั้งนานแล้ว
เที่ยวบินเช่าเหมาลำเที่ยวบินตรงจากญี่ปุ่นไปยังมัณฑะเลย์ แน่นอนว่าสมาชิกทั้งหมดคือตระกูลคิตะมิยะ
การเดินทางมาพม่าครั้งนี้ คิตะมิยะฮิเดโอะเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมอาวุธ นี่ก็เป็นหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ตระกูลคิตะมิยะเป็นครั้งแรกที่มีการโจมตียิ่งใหญ่ขนาดนี้ แน่นอน รายนามการมาพม่าในครั้งนี้ เป็นเพียงการท่องเที่ยวแบบกลุ่มที่จัดขึ้นโดยบริษัทขนาดใหญ่ในเครือคิตะมิยะเท่านั้น
รถโดยสารสี่คันออกจากสนามบินและผ่านตัวเมืองมัณฑะเลย์ จอดอยู่ในลานจอดรถของโรงแรมที่มีสัญลักษณ์ห้าดาว ลานจอดรถที่ห้ามใช้ นอกจากเต็มไปด้วยคนที่พูดด้วยภาษาญี่ปุ่น ก็ไม่มีคนพม่าสักคน
แม้ว่าในช่วงต้นทศวรรษ 1950 เขากลับมาจากพม่า แต่คิตะมิยะ ฮิเดโอะก็ไม่เคยที่จะยอมแพ้ในการขุดหาทองเลย เพื่ออำนวยความสะดวกให้สมาชิกในครอบครัวอยู่ในพม่าได้ยาว เขาถึงใช้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อลงทุนในโรงแรมหรูหราแห่งหนึ่งในมัณฑะเลย์
หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง สมาชิกตระกูลคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็ได้จัดเข้าไปในห้องพักแล้ว นอกจากคิตะมิยะ ฮิเดโอะและชายชราที่มีอายุเท่ากันกับคนชราที่อายุไม่แตกต่างกับเขามาก ยังมีคิตะมิยะ ฮิโคโตชิทั้งสี่คน มีคนญี่ปุ่นวัยกลางคนที่คอยนำทาง มายังห้องชุดประธานาธิบดีบนชั้น 18 ของโรงแรม
……