ภาคที่ 5 บทที่ 69 มาเยือน (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 69 มาเยือน (2)

สำหรับจื่อหลิงลิ่ว การไปดูเชลยที่ตระกูลจูเป็นเพียงหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น แม้เขาจะเป็นห่วงโชคชะตาของเผ่าปักษาเหล่านี้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ใช่จุดประสงค์ของการมา จึงได้แต่กล่าวขอโทษพวกเขาอยู่ในใจ

แน่นอนว่าเขายังคงแสดงท่าทางเป็นห่วงเป็นใย ราวกับชีวิตของเผ่าปักษาเหล่านี้มีความหมายกับเขามาก

หลังจากเข้ามาในคุก เขาก็เริ่มตรวจสอบและจดบันทึกสภาพการเป็นอยู่ของเผ่าปักษา จดลงไปว่า ‘สถานที่มีแสงสลัวเกินไป’ ‘ห้องขังมีขนาดเล็กเกินไป’ ‘หากผนึกการใช้พลังต้นกำเนิดไปแล้วจะยังใช้กุญแจมือไปเพื่ออะไร ?’ ‘อีกไม่นานก็จะเป็นเผ่าปักษาที่ได้รับอิสระแล้ว ไม่สมควรถูกทุบตีหรือสอบปากคำอีก’ และอื่น ๆ

จูอวิ๋นเยี่ยนหัวเราะ “ข้าเข้าใจความต้องการปกป้องเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของท่านได้ แต่แม้เผ่าปักษาเหล่านี้จะดูไร้ชีวิตชีวา ข้าก็รับรองได้ว่าพวกเขาอยู่ในสภาพค่อนข้างดี เห็นหรือไม่ ? พวกเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ดีไม่ใช่หรือ ?”

นางชี้ไปรอบกาย เผ่าปักษาทั้งหลายจ้องมองจื่อหลิงลิ่วเหมือนเป็นผู้มาช่วยชีวิต

จื่อหลิงลิ่วรู้ว่าคงต้องทำให้พวกเขาผิดหวัง ได้แต่ถอนหายใจอยู่ภายใน “ให้ข้าได้พูดคุยกับพวกเขาเป็นส่วนตัวได้หรือไม่ ?”

จูอวิ๋นเยี่ยนหัวเราะแห้ง “ท่านทำข้าลำบากใจจริง ๆ ท่านน่าจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้”

จื่อหลิงลิ่วจงใจเอ่ย เมื่อจูอวิ๋นเยี่ยนปฎิเสธจึงสามารถใช้อ้างขอตัวไปได้ “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ได้แต่หวังว่า หัวหน้าตระกูลจูจะสามารถ……”

”อ๊ะ !”

เสียงร้องหนึ่งของนักโทษดังขัดจังหวะการสนทนา

เมื่อหันไปยังต้นเสียงก็พบกับเผ่าปักษาหนุ่มยืนส่งเสียงตะโกนอยู่หน้าประตูคุก “เขาอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ! ได้โปรดช่วยเขาด้วย ได้โปรดเถอะ !”

จูอวิ๋นเยี่ยนเพิ่งจะบอกว่าทุกคนยังอยู่ดีมีสุข ทำเช่นนี้ราวกับถูกตบหน้ากลางที่สาธารณะที่เดียว

นางเดินเข้าไปตะโกนถามหน้าคว่ำ “เจ้าจะตะโกนหาอะไร ?”

เผ่าปักษาหนุ่มเอ่ย “ได้โปรดเถอะแม่นาง ดูเขาสิ เขากำลังจะตายแล้ว !”

จื่อหลิงลิ่วเองก็รีบเดินเข้ามา

เขาเห็นเผ่าปักษาชราคนหนึ่งนอนอยู่ในคุก กลิ่นอายเบาบางนัก

ด้วยหลักการในใจ เขาไม่สามารถแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่เห็นอะไรได้

จื่อหลิงลิ่วเองก็หน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน “หัวหน้าตระกูลจูสัญญาแล้วว่าพวกเชลยจะต้องไม่เป็นไร”

“ข้าบอกไปแล้วว่ามีคนตระกูลจูกินเหล้าแล้วบ้าคลั่ง ทำให้เผ่าปักษาคนหนึ่งบาดเจ็บ ดูเหมือนว่าจะเป็นคนนี้ ท่านใจเย็นลงหน่อยเถอะ ?” หลังจากตรวจดูแล้วว่าไม่ใช่เผ่าปักษาที่มาใหม่ที่ถูกทำร้าย ใบหน้าจูอวิ๋นเยี่ยนก็คลายลง หันมาเอ่ยว่า “เปิดประตูคุกเอาเขาออกมา”

ยามเฝ้าจึงเปิดประตูและพาเผ่าปักษาชราออกมา

จูอวิ๋นเยี่ยนจับชีพจรแล้วก็รีบเอ่ย “คงไม่รอดผ่านกลางวันนี้ไปได้”

เมื่อเผ่าปักษาหนุ่มได้ยินแล้วก็คงเขาร้องลั่น

เผ่าปักษาชรานอนอยู่ที่พื้น สงสัยตาอ่อนล้ามองจื่อหลิงลิ่ว เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “เผ่าปักษาผู้นี้…… มาเพื่อ…… ช่วย…… พวกเราหรือ ?”

“ใช่แล้ว แต่เหมือนว่าเจ้าจะไม่รอดพ้นถึงตอนนั้น” จูอวิ๋นเยี่ยนเอ่ย

เผ่าปักษาชรายกแขนอันสั่นเทาขึ้นชี้เผ่าปักษาหนุ่มด้านหลัง “เขาชื่อว่า…… อวี้หลิวหมิง…… ได้โปรด…… พาตัวเขาไป……”

จื่อหลิงลิ่วมุ่นคิ้ว “นี่……”

เขาไม่คิดจะโกหกอีก เป็นตอนนั้นที่เขาอยากบอกเผ่าปักษาทั้งหลายว่าอย่าได้หวังใด ๆ เพราะเขาไม่ได้มาเพื่อช่วยเหลือ เพียงแค่เป็นข้ออ้างมาทำภารกิจเท่านั้น

เคราะห์ดีที่เขาคุมอารมณ์ไว้ได้ แต่ก็คงจะโกหกเผ่าปักษาชราที่กำลังจะตายได้ยาก

เผ่าปักษาชราพลันลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้าหา ราวกับเป็นพลังเฮือกสุดท้ายก่อนตาย ผลักร่างยามออกแล้วกระโจนใส่จื่อหลิงลิ่ว

ปีกบนหลังของเขากางออก กันไม่ให้คนอื่นเข้ามา จากนั้นเข้าใกล้จื่อหลิงลิ่ว

“เป็นเจ้าหรือ ?” จื่อหลิงลิ่วจ้องอีกฝ่ายด้วยความตกใจ

เผ่าปักษาชรานัยน์ตาดั่งมีไฟลุก คว้าคอจื่อหลิงลิ่วแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “ช่วยเขา…… เขารู้ความลับของนกขมิ้นเปลวเพลิง……”

เปรี้ยง !

ในหัวจื่อหลิงลิ่วราวฟับมีสายฟ้าฟาด ทำเอาชะงักไป

พริบตาต่อมา ปีกชายชราก็หุบลง ยามพุ่งเข้ามาดึงเขาออกไป แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายแน่นิ่งไปแล้ว ไร้ลมหายใจอีก

การพุ่งออกมาครั้งนี้ได้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายในร่างของเขาไปแล้ว

ถึงตอนนี้ ความปรารถนาสุดท้ายของเขาได้บรรลุผลแล้ว ดังนั้นเขาจึงตายอย่างได้อย่างสงบ

“หัวหน้าตระกูล เขาตายแล้ว ขออภัยที่ข้าไร้ความสามารถ ทำให้เขา……” ยามเอ่ยขึ้นด้วยร่างสั่นกลัว

“ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” จูอวิ๋นเยี่ยนโบกมือง่าย ๆ จากนั้นจ้องจื่อหลิงลิ่วด้วยความข้องใจ “ตาแก่นั่น…… พูดอะไรกับท่านหรือไม่ ?”

จื่อหลิงลิ่วพยายามสงบจิตใจ สูดลมหายใจเข้าลึก “เปล่า เขาเพียงแต่อยากให้ช่วยทุกคนออกไปให้ได้ อยากใช้ชีวิตเขาเตือนสติข้า เผ่าปักษาชราผู้นั้น…… ข้าเสียใจต่อเขานัก ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะทำให้หวังสุดท้ายเขาเป็นจริงให้ได้”

จื่อหลิงลิ่วรู้ว่าจะช่วยคน ๆ เดียวคนไม่ได้ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะทำได้เพียงช่วยเหลือเผ่าปักษาทั้งหมดเท่านั้น

ได้แต่หวังว่าเผ่าปักษาหนุ่มจะมีความลับที่เขาต้องการอยู่จริง ๆ

ได้ยินจื่อหลิงลิ่วแล้ว จูอวิ๋นเยี่ยนก็หัวเราะ “แน่นอน ตระกูลจูเองก็อยากคุยเรื่องนี้ให้สำเร็จโดยดี”

เมื่อได้ยินข่าวน่าตกใจแล้ว จื่อหลิงลิ่วก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีก เดินทั่วแล้วก็รีบไปทันที จูอวิ๋นเยี่ยนหัวเราะมองเงาร่างที่เดินจากไป

เผ่าปักษาชราบย่อมเป็นซูเฉินที่ปลอมตัวมา

คณะทูตไม่อาจหาที่อยู่ของนางพญาพบ ดังนั้นซูเฉินจึงถูกบีบให้ต้องหาทางบอกพวกเขาให้ได้

ซึ่งวิธีบอกนับเป็นปัญหาใหญ่

ง่ายที่สุดคือใช้ตัวตนชุยอวี่คงเหินเพื่อส่งข่าว

แต่ที่ปรึกษาตระกูลจูไม่เห็นด้วยกับแผนนี้

แม้จะไม่รู้ว่าซูเฉินและจูเฉินฮ่วนคิดทำอะไร แต่พวกเขาก็คาดเดาเนื้อหาบางส่วนจากเรื่องสมมุติที่ว่ามาได้ ดังนั้นจึงชี้ให้เห็นว่าการเชื่อมต่อคนที่ส่งข้อมูลให้กับคนที่แทรกซึมเข้าชนชั้นสูงของเผ่าปักษานั้นเป็นเรื่องสิ้นคิด เห็นได้ชัดว่าเป็นการคิดน้อยเกินไป

ความจริงก็คือคนสองคนนี้ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันด้วยซ้ำ

คนที่ปล่อยข่าวอาจเป็นคนหนึ่ง ส่วนคนที่แทรกซึมเข้าไปเป็นอีกคนหนึ่งเลยก็ได้

ไม่มีเหตุผลใดที่ไม่สามารถดำเนินการแยกกันได้นี่นา

แม้ว่าคนที่จะสวมบทบาททั้งสองนี้จะเป็นคนเดียวกันก็ตาม

ซึ่งก็ทำให้เรื่องราวถายหลังง่ายขึ้นเช่นกัน

คำอธิบายที่ง่ายดายนั่นคือ แม้ซูเฉินจะถูกจับได้ตอนอยู่ในร่างชุยอวี่คงเหิน ก็จะไม่มีใครสงสัยเรื่องนางพญา กลับกัน หากมีคนสงสัยเรื่องนางพญาขึ้นมา ชุยอวี่คงเหินก็จะไม่ถูกดึงไปเกี่ยว ในเมื่อคนทั้งสองไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกัน ทั้งสองฝั่งจึงปลอดภัยมากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ คนที่เผยเรื่องนางพญาจึงต้องเป็นเผ่าปักษาคนอื่นแทน

อวี้หลิวหมิงและเผ่าปักษาชราจึงถูกเลือกมาด้วยประการฉะนี้

เผ่าปักษาชราพบนกขมิ้นเปลวเพลิงในเมืองหลวงจริง แต่ก็แค่บังเอิญเจอกันเท่านั้น ไม่มีทางที่นกขมิ้นเปลวเพลิงจะบอกความลับให้คนแปลกหน้าที่เพิ่งพบได้แน่

แต่นั่นไม่สำคัญ ใช้การพบกันเป็นข้ออ้างนั้นสำคัญกว่า

กลุ่มที่ปรึกษายังได้วางแผนที่จะใช้คนสองคนในการเปิดเผยข้อมูล คนหนึ่งได้ข้อมูลจากนกขมิ้นเปลวเพลิง ส่วนอีกคนเป็นคนส่งข้อมูลต่อไปยังจื่อหลิงลิ่ว ยิ่งทำให้แยกข้อมูลมากยิ่งขึ้น นกขมิ้นเปลวเพลิงตายแล้ว เผ่าปักษาชราก็เช่นกัน คนรู้ความลับที่เหลือคืออวี้หลิวหมิง แต่อวี้หลิวหมิงไม่รู้จักนกขมิ้นเปลวเพลิง จึงช่วยปิดปัญหาใหญ่ส่วนมากไว้ได้

จื่อหลิงลิ่วและคณะผู้ติดตามจะสงสัยเท่าใดก็ได้ แต่สุดท้ายก็จะรู้ว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจตอบข้อสงสัยนั่นได้อยู่ดี

ยิ่งถ้าไม่สงสัยแต่แรกอีก

ก็เพราะว่าอยากได้นางพญามากเกินไปอย่างไรเล่า !

เช่นนี้แล้ว ทุกอย่างจึงมีเหตุผลขึ้นมา

จื่อหลิงลิ่วพบกับอู่เยว่มี๋อีกครั้ง การต่อรองวันต่อมาก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็วขึ้น

คณะทูตยอมรับข้อเสนอตระกูลจู อย่างแรกคือพ่อค้าตระกูลจูได้รับอนุญาตให้ทำการค้าในแดนปักษาได้ อำนาจนี้ให้เพียงตระกูลจูเท่านั้น ทุกปีจะส่งคนไปไม่เกิน 50 คนเพื่อทำการค้าขาย ในขณะเดียวกันเมืองนภาลัยราบก็จำเป็นต้องอนุญาตให้กลุ่มคนที่กำหนดเดินผ่านอาณาเขตของตนได้เช่นกัน อย่างที่สองคือได้รับสิทธิ์เหนือทรัพยากรบางอย่าง รวมถึงของต้องห้าม 12 อย่าง โดยจำกัดปริมาณ อย่างที่สามคือ มนุษย์ที่มีกำลังเทียบเท่ากัน 40 คนต้องได้รับการปล่อยตัว โดยจะระบุคนแน่นอนในภายหลัง

การได้รับการผ่านทางพิเศษเป็นสิทธิที่สำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ กระทั่งตอนนี้ ในสองเผ่ายังมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับอำนาจเช่นนี้ ได้รับอำนาจนี้แล้วมักเป็นผลถึงกลอุบายทางการเมืองและเกี่ยวพันกับเรื่องเงินทองมากมาย เช่นนี้ก็จะสามารถเดินทางผ่านพรมแดนสองอาณาจักรได้ตามใจเพื่อทำการค้าขาย

ใครที่ได้รับอำนาจนี้จะกุมอำนาจเหนือทรัพยากรสำคัญไว้ ในเมื่อมีเพียงไม่กี่คนที่ทำได้ ก็หมายถึงเงินจำนวนมหาศาล

โดยสิทธิ์การจัดการจะให้เพียงทรัพยากรบางอย่าง ทั้งสองเผ่ามีบางครั้งที่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังหรือการศึก แต่หากไร้คำอนุญาตจะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย มีแต่คนที่ได้รับอำนาจเท่านั้นจึงจะสามารถซื้อขายทรัพยากรพิเศษได้

ตระกูลจูและคณะทูตต่อสู้กันดุเดือดนักกับข้อต่อรองที่สองนี้

เรื่องข้อแรกไม่มีอะไรให้ต้องคุยมากมาย เพราะเกี่ยวพันแค่เผ่าปักษาจะให้หรือไม่ก็เท่านั้น ในเมื่อมีมนุษย์ที่มีสิทธิ์นี้อยู่แล้ว จะให้เพิ่มอีกสักคนสองคนก็ไม่ใช่ปัญหา

แต่เงื่อนไขที่สองต้องคุยรายละเอียดกันมาก ในเมื่อทั้งจำนวนที่ขายและทรัพยากรที่ต่างกันที่สามารถนำมาขายได้นั้นสามารถต่อรองกันได้

ตระกูลจูอ้าปากเสียกว้าง เรียกร้องให้เปิดการค้าของเถื่อนทั้งหมดอย่างเปิดเผย เผ่าปักษาย่อมไม่เห็นด้วย ทั้งสองฝ่ายจึงสู้รบปรบมือกันครู่ใหญ่ ในเมื่อเผ่าปักษาไม่ได้คิดจะจบการต่อรองนี้อยู่แล้ว จึงลากยาวไม่ยอมตอบรับข้อเสนอ แต่ในเมื่อรู้ว่ามีเชลยรู้ความลับเรื่องนางพญา อู่เยว่มี๋จึงยอมยกเลิกข้อห้ามทรัพยากรทั้ง 12 อย่าง ซึ่งก็นับว่าใจกว้างพอสมควร

ส่วนเชลยมนุษย์ทั้ง 40 คนนั้น ทำไปเพื่อรักษาหน้าตาเผ่าปักษาบ้างก็เท่านั้น

แม้จะบอกว่าเป็นเหมือนการแลกตัวเชลย หากเป็นการค้าแบบตัวต่อตัว เหตุใดต้องให้ประโยชน์แก่ตระกูลจูเสียหลายอย่างเล่า ? แม้ตามทฤษฎี ตระกูลจูจะมอบสิทธิ์เดินทางอิสระให้เผ่าปักษาเช่นกัน แต่ตระกูลจูก็ให้แค่สิทธิ์เหนือเมืองนภาลัยราบ ในขณะที่เผ่าปักษามอบสิทธิ์ทั้งเมืองล่องนภาให้ เช่นนี้จะเทียบกันได้หรือ ?

เรื่องการค้าพิเศษก็เช่นกัน เมืองนภาลัยราบอนุญาตให้เผ่าปักษาซื้อขายทรัพยากรท้องถิ่นได้ตามชอบ แต่ทรัพยากรต้องห้ามของเมืองนภาลัยราบมีอยู่เท่าไหร่กันเชียว ? เทียบกับทรัพยากรขนานใหญ่ในเมืองล่องนภาได้หรือ ?

การถ่วงดุลของมนุษย์ทั้ง 20 คนนี้ก็เพื่อเป็นส่วนต่อให้กับการแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียมกันอื่น ๆ เท่านั้น

ทำเช่นนี้แล้ว จะเหมือนว่าเผ่าปักษารักเพื่อนร่วมเผ่า ยอมมอบสิทธิ์ให้ศัตรูเพื่อช่วยเหลือคนเพิ่ม

ส่วนการช่วยเผ่าปักษาเพิ่มมานั้นจะคุ้มค่าหรือไม่ จะมีใครกล้าพูดต่อหน้าพวกเขาบ้างว่าไม่คุ้ม ?

ชีวิตหนึ่งมีค่าเท่าไหร่ ? เป็นเรื่องที่ตัดสินได้ยาก

เชิงทฤษฎีนับว่ามีมูลค่าสูงมาก แต่ในความเป็นจริงมักจะตรงกันข้าม

ในการต่อรองครั้งนี้ ไม่มีใครเห็นเชลยเป็นสำคัญ เพียงแต่ใช้พวกเขาเป็นหมากเพื่อชิมลางอีกฝ่ายเท่านั้น

เผ่าปักษาโบกธงแห่งความชอบธรรม ยอมลงนามในข้อตกลงกับตระกูลจูแต่โดยดี เพื่อซื้อตัวเชลยทั้ง 60… ไม่สิ เชลย 59 คนมา ตระกูลจูรู้สึกขายหน้าอยู่บ้าง จึงเสนอว่าจะเอาอีกคนหนึ่งจากเมืองหลวงมาคืนให้ แต่จื่อหลิงลิ่วเอื้อเฟื้อโบกมือปฏิเสธไป