บทที่ 70 ต่างแดน (1)
สุดท้ายการแจ้งเตือนก็ถูกส่งออกไป ซูเฉินจึงโล่งใจในที่สุด
ใช่แล้ว เขาจะยังอยู่ในตระกูลจู
ยังไม่ใช่เวลาที่ชายหนุ่มควรไป
หลังจากเผ่าปักษาพาเชลยไปแล้ว ย่อมต้องสอบปากคำให้ทั่วเพื่อตรวจว่าตระกูลจูไม่ได้เล่นกลใดไว้
แน่นอนว่าไม่พบอะไร และถึงจะพบ ตระกูลจูย่อมเหลือไว้โดยจงใจเพื่อสนองความภาคภูมิใจอันไร้สาระของอีกฝ่าย
ส่วนชุยอวี่คงเหิน ก็เป็นเพียงชนชั้นสูงเก่าที่จิตใจพังทลายไปแล้วหลังจากถูกขืนใจ ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง และอาจใช้เรื่องของเขามาโต้แย้งเอาประโยชน์อีกด้วยได้
นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้น
ด้วยความช่วยเหลือของอวี้หลิวหมิง อู่เยว่มี๋และคนอื่น ๆ จึงพบที่อยู่นางพญาโดยเร็ว
เมื่ออวี้หลิวหมิงเห็นนางพญาที่ขนาดใหญ่ขึ้นมากก็ถอนหายใจโล่งอก “ในที่สุดก็พบแล้ว”
“นี่น่ะหรือที่เรากำลังหา ?” จื่อหลิงลิ่วชะงักไป
“ใช่แล้ว” อู่เยว่มี๋เดินเข้ามาแล้ววางมือลงบนนางพญา
นางพญาดูไม่ต่อต้านสักนิด
กระนั้นอู่เยว่มี๋ก็ยังดูอีกเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “เป็นวิชาสลักจิต…… บอกข้าว่าเจ้าขึ้นตรงต่อใคร ?”
“ข้าย่อมต้องซื่อสัตย์ต่อเผ่าปักษาที่หนึ่ง ที่สองต่อรังเสียงละไม ที่สามต่อนกขมิ้นเปลวเพลิง” นางพญาตอบ
ได้ยินแล้วอู่เยว่มี๋จึงมุ่นคิ้ว “นกขมิ้นเปลวเพลิงหาญกล้านัก แอบใช้วิชาสลักจิตเองเสียด้วย”
ข้อกำหนดความภักดีของวิชาสลักจิตนั้นเข้มงวดมาก แต่นกขมิ้นเปลวเพลิงไม่เคยบอกซูเฉิน ดังนั้นซูเฉินจึงไม่เคยรู้
แต่ถึงจะไม่รู้ก็ยังสร้างเรื่องเอาได้
ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว นกขมิ้นเปลวเพลิงก็เช่นกัน ในเมื่อนางมาเพื่อทำตามคำสั่งเผ่าปักษา จะไม่เห็นแก่ตัวก็คงยาก ดังนั้นเรื่องในตอนนี้จึงไม่แปลกเท่าไหร่
เป้าหมายแห่งความภักดีทั้ง 3 ที่ซูเฉินแสดงไว้แสดงให้เห็นว่านกขมิ้นเปลวเพลิงรู้สถานการณ์โดยรวมและเกิดความคิดเห็นแก่ตัวขึ้นมา ซึ่งนับว่าสมจริงมาก ดังนั้นแม้อู่เยว่มี๋จะไม่พอใจ แต่ก็เชื่อในทันที
โชคดีที่ตอนนี้นกขมิ้นเปลวเพลิงตายแล้ว อู่เยว่มี๋จึงได้โอกาส รีบเอ่ยขึ้นว่า “ต้องปรับเป้าหมายแห่งความภักดีสักหน่อย เจ้าจะภักดีต่อหยงเยี่ยหลิวกวง และหัวหน้านิกายแห่งพระแม่ โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน มีแต่พวกเขาและคนของพวกเขาเท่านั้นที่คุมเจ้าได้”
นางพญาตอบเสียงเฉื่อย “เจ้าไม่ใช่เจ้าของวิชาสลักจิต ย่อมเปลี่ยนไม่ได้”
อู่เยว่มี๋เอ่ย “นกขมิ้นเปลวเพลิงตายไปแล้ว คำสั่งกลายเป็นปัญหา จำต้องแก้ไข”
“ไม่จำเป็นต้องแก้ไข ปฏิเสธคำสั่ง”
อู่เยว่มี๋หน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้าภักดีต่อเผ่าปักษาเป็นที่หนึ่ง หยงเยี่ยหลิวกวงและโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนต่างก็เป็นตัวแทนเผ่าปักษา”
“เข้าใจแล้ว รับคำสั่ง” นางพญาตอบเสียงทื่อราวกับหุ่นไม้
อู่เยว่มี๋ถอนใจโล่งอก
ปัญหาที่เหลือก็แก้ง่ายแล้ว อู่เยว่มี๋เป็นตัวแทนเผ่าปักษาที่ถูกส่งมา ได้รับเครื่องมือควบคุมนางพญาชั่วคราว หลังพูดคุยสั้น ๆ กับนางพญาแล้ว อู่เยว่มี๋ก็พอเข้าใจเรื่องโดยคร่าว
“เช่นนั้นเหมืองทองดาราก็สำคัญมากเลยหรือ ?”
นางพญาตอบ “หรือก็คือเหมืองทุกแห่งที่นี่สำคัญต่อข้า มันเกิดขึ้นจากซากวานรกินทอง มาจากต้นสายเดียวกัน ดูดซึมมันแล้วทำให้ดีต่อการเติบโตข้ามาก”
“รู้ได้อย่างไร ?”
“นกขมิ้นเปลวเพลิงบอก นางอยากให้ข้าอยู่ที่นี่นาน ๆ แต่นางจากไปครั้งล่าสุดก็ไม่กลับมาอีก”
“อย่างน้อยนางก็ไม่ได้ทรยศความคาดหวัง ส่งข่าวกลับมาให้ได้” อู่เยว่มี๋ถอนใจ
“แล้วเอาอย่างไรดี ? ที่นี่มีเถาแร่ทองดาราอยู่มาก ไม่มีทางเอาออกมาได้ ทั้งยังไม่มีเวลาอีก” จื่อหลิงลิ่วถาม
อู่เยว่มี๋คิดแล้วจึงตอบ “ในเมื่อนางพญาอยากได้แร่ทองดารา เราก็ควรสนองมันให้ดี เราก็ต่อรองขั้นต้นกันได้แล้วไม่ใช่หรือ ? พวกเขาอนุญาตให้เราเก็บทรัพยากรจากเมืองนภาลัยราบได้ตามใจ เดิมทีก็เป็นแค่ฉากหน้า แต่ดูท่าจะจำเป็นขึ้นมาแล้ว บอกตระกูลจูว่าพวกเราต้องการเหมืองทองดาราทั้งหมดแล้วกัน”
“เช่นนั้นอีกฝ่ายก็อาจเพิ่มข้อต่อรองได้” จื่อหลิงลิ่วเอ่ยเสียงกังวล
“เอาเถอะ จ่ายเท่าไหร่ก็น้อยกว่าแผนจุดลอย”
ข่าวถึงหูตระกูลจูโดยเร็ว ทุกอย่างเป็นไปตามคาด
ตระกูลจูตอบตกลง แม้จะต่อรองเพิ่ม แต่ก็นับว่าไม่ไร้เหตุผลเกินไป
เผ่าปักษา ตระกูลจู และซูเฉินต่างก็พึงพอใจนัก
อู่เยว่มี๋พอใจเพราะทำภารกิจสำเร็จ จูเฉินฮ่วนและซูเฉินพอใจเพราะมีคนซื้อเหมืองทองดาราไปสักที ทางทฤษฎีนับว่าจำนวนเงินควรต้องเป็นของซูเฉินคนเดียว แต่ซูเฉินตัดสินใจแบ่งกับตระกูลจูเท่า ๆ กันเป็นของหมั้นให้จูเซียนเหยา
จากนั้นไม่นาน เผ่าปักษาก็เตรียมตัวกลับ ในเมื่อได้นางพญามาแล้วจึงกังวลหากไม่รีบกลับไป ส่วนแร่ทองดารา ให้ตระกูลจูจัดส่งของให้เมืองล่องนภาปีละครั้งก็เพียงพอ
หลายวันต่อมา เผ่าปักษาก็จากไปอย่างเป็นทางการ
คณะทูตเดินทางออกจากเมืองนภาลัยราบกลับไปอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ แต่ก็ไม่ได้ไปเพียงลำพัง คณะทูตจากตระกูลจูได้ติดตามไปด้วย
ใช่แล้ว ครั้งนี้เป็นคราตระกูลจูส่งคณะทูตไปบ้าง
คณะทูตตระกูลจูถูกส่งไปปกป้องการขนส่งแร่ทองดาราตามข้อตกลง ตระกูลจูฉวยโอกาสนี้เปิดเส้นทางการค้าขายระหว่างสองอาณาจักรให้มากขึ้น ช่วยให้อู่เยว่มี๋และคนอื่น ๆ ได้หน้ากับอาณาจักรว่าเผ่าปักษาได้ประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ โดยมีแร่ทองดาราจำนวนมากเป็นหลักฐาน กลับกันแล้ว ชนชั้นสูงอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยร้องขอตระกูลจูไว้มากมายยามได้เลือกตัวเชลยมาแลกเปลี่ยน ใช้โอกาสนี้ให้พวกเขาติดหนี้ยิ่งดี ในเมื่อตระกูลจูเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย การค้ากับเมืองล่องนภาจึงต้องได้รับคำอนุญาตจากฮ่องเต้อาณาจักรเลี่ยวเยี่ย พวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็สามารถช่วยตระกูลจูในเรื่องนี้ได้ ตระกูลจูจะได้ไม่ต้องเสียอะไรมากนัก อย่างไรการต่อรองทางการเมืองก็มักลงท้ายด้วยความสมดุล ไม่มีฝ่ายใดฮุบผลประโยชน์ไว้คนเดียว ตระกูลจูจำต้องหั่นผลประโยชน์ออกอย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงเหตุผลผิวเผินเท่านั้น เหตุผลที่แท้จริงที่ส่งตัวพวกเขาไป ก็เพื่อไปรับมือกับอุปสรรคที่ซูเฉินอาจเผชิญในภายหน้าต่างหาก
นี่ก็เป็นความคิดของที่ปรึกษาตระกูลจูเช่นกัน
ตระกูลจูให้ความสำคัญซูเฉินพอสมควร ไม่ว่าสำเร็จหรือล้มเหลวต่างก็เกี่ยวพันถึงการได้มาซึ่งปราการหนึ่งแห่งทั้งสิ้น
และเพื่อให้มั่นใจว่าซูเฉินจะไร้สิ่งกีดขวาง จึงได้คิดกลยุทธ์ขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือการส่งคณะทูตไปเมืองล่องนภา โดยคณะทูตนี้จะไปส่งซูเฉินได้ แม้ไม่อาจรับรองความปลอดภัยให้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยสนับสนุน ไม่เหมือนกับยามที่ซูเฉินถูกบีบให้เข้าแดนคนเถื่อนไปตามลำพัง
การเข้าแดนเผ่าปักษาในฐานะมนุษย์นั้นปลอดภัยกว่าปลอมเป็นเผ่าปักษานัก ซูเฉินยังใช้โอกาสนี้ตัดสินใจว่าจะปลอมเป็นเผ่าปักษาดีหรือไม่ได้ด้วย
เรื่องชุยอวี่คงเหินเป็นเพียงการเตรียมการเท่านั้น
จูเฉินฮ่วนได้แต่หวังว่าจะไม่ต้องใช้มัน ส่วนซูเฉินนั้นอยากลองอยู่บ้าง
เรือเคลื่อนเมฆาขนาดยักษ์สองลำค่อย ๆ ล่องผ่านท้องนภา
เรือเหาะเหล่านี้ให้พลังโดยหินพลังต้นกำเนิด และเคลื่อนไปได้โดยบังคับอากาศรอบตัว ดูราวกับมังกรล่องข้ามฟ้า น้ำหนักจำนวนมากทำให้ความเร็วลดลง
ซูเฉินยืนอยู่หัวเรือ มองทิวทัศน์ด้านล่างพลางเอ่ย “ความเร็วเท่านี้ กว่าจะถึงเมืองล่องนภาคงอย่างน้อย 6-7 วัน”
“จริง ๆ แล้วเป็น 10 วัน” จูอวิ๋นเยี่ยนเอ่ย “พอถึงแดนเผ่าปักษาแล้ว ต้องผ่านปราสาทแสงต้นกำเนิดและหอคอยแห่งความโกลาหล ก่อนมาถึงเมืองล่องนภา พวกเขาอาจจะค้นและสอบถามเราก่อนจะปล่อยไป ดังนั้นการเดินทางจึงช้าลงไปอีก”
“เช่นนั้นเองหรือ แต่พูดถึงหอคอยแห่งความโกลาหล ข้าไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง” ซูเฉินว่า
“อะไรหรือ ?”
ซูเฉิเอ่ย “เห็นได้ชัดว่าหอคอยแห่งความโกลาหลสร้างขึ้นบนเทพอสูร แต่ไม่ใช่ว่าเทพอสูรส่วนมากจำศีลอยู่หรือ ? ทำไมเทพอสูรตัวนี้ยังมีชีวิตรอดอยู่ในโลกภายนอกได้ ?”
จูอวิ๋นเยี่ยนตอบ “เป็นคำถามน่าสนใจ ผู้คนต่างพิศวง น่าเสียดายที่เป็นความลับในเผ่าปักษา จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด”
“คงไม่ต้องแปลกใจว่าท่านก็ไม่รู้เช่นกัน” ซูเฉินถอนใจ
เผ่าปักษามีปราการลอยฟ้าทั้งหมด 5 แห่ง แต่หอคอยแห่งความโกลาหลเป็นสิ่งที่ซูเฉินสนใจมากที่สุด
ปราการที่สร้างขึ้นบนหลังเทพอสูรน่าสนใจ เป็นเพราะมองมุมหนึ่ง เทพอสูรดูมีมูลค่ามากกว่าเสียอีก ซูเฉินไม่รู้ว่าเผ่าปักษารักษาเทพอสูรให้อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้อย่างไร แต่คงไม่เรียบง่ายแน่ เขาเคยหาบันทึกโบราณมาก่อน แต่ก็ไม่พบเรื่องเกี่ยวกับหอคอยแห่งความโกลาหล ดังนั้นการถามจูเฉินฮ่วนจึงถามไปอย่างนั้น ไม่แปลกใจกับคำตอบอีกฝ่ายเท่าไร
เป็นตอนนั้นที่มีเสียงหนึ่งตอบขึ้น “เช่นนั้นแผนหนึ่งในการมาแดนเผ่าปักษาก็เพื่อมาหาความลับในการหล่อเลี้ยงอสูรกายนี่น่ะหรือ ?”
ซูเฉินหันไปเมื่อได้ยิน เห็นจูเซียนเหยายืนอยู่ด้านหลัง
“เซียนเหยา ? ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ ?” จูเฉินฮ่วนชะงักไป
การเดินทางไปอาณาจักรแห่งหมู่เมฆสำคัญมาก ทั้งจูอวิ๋นเยี่ยนและซูเฉินไม่คิดให้จูเซียนเหยาติดตามมาด้วย แผนเดิมคือการให้นางอยู่ที่บ้าน แต่ไม่รู้ว่านางขึ้นเรือมาได้อย่างไร
จูเซียนเหยาหัวเราะมองซูเฉิน “หากข้าอยากมา ใครจะหยุดข้าได้ ?”
จูอวิ๋นเยี่ยจ้องคนขับเรือเหาะที่ยืนหน้านิ่งอยู่ด้านข้าง ทั้งเขาและซูเฉินพลันรู้ว่าจูเซียนเหยาคงใช้วิชาลวงจิตเป็นแน่ คนขับเรือจึงกล้าขัดคำจูอวิ๋นเยี่ยน ให้จูเซียนเหยาขึ้นเรือมาได้
จูอวิ๋นเยี่ยนหน้าบึ้งตึง “โอหังนัก ! กล้าใช้วิชากับคนในตระกูลหรือ ? ปลดวิชาเสีย !”
จูเซียนเหยาแลบลิ้นแผล่ แตะศีรษะคนขับเรือคราหนึ่ง ปลดเขาจากวิชา
ได้สติแล้ว คนขับเรือก็คุกเข่าลงกับพื้น ร้องขอความเมตตาทันที
จูอวิ๋นเยี่ยนไม่โทษเขา ส่งตัวเขาออกไป
ซูเฉินจนใจ “เหตุใดต้องทำถึงขนาดนี้ ?”
จูเซียนเหยาส่งเสียงในลำคอ “ข้าห้ามเจ้าไม่ให้ทำเรื่องอันตรายไม่ได้ แต่อย่าได้คิดจะทิ้งข้าไว้เชียว เจ้าไปไหนข้าไปด้วย ถึงคราวเจ้าคับขันจะได้มีข้าเคียงข้างคอยปลอบใจอย่างไรล่ะ”
ซูเฉินพูดไปออกไปชั่วขณะ
พริบตานั้นเขาพลันคิดถึงกู่ชิงลั่ว
หากไม่ใช่เพราะสายเลือดขวางกั้น นางก็คงทำเหมือนกันใช่หรือไม่ ?