บทที่ 71 ต่างเมือง (2)
ซูเฉินนั่งลงบนชั้นเหนือสุดของเรือเคลื่อนเมฆา โดยมีอักขระประหลาดมากมายหลายชนิดก่อเป็นรูปร่างระหว่างสองมือของเขา
ขณะที่อักขระในมือของเขาเปลี่ยนรูปไปมาโดยมีพลังต้นกำเนิดเชื่อฟังทุกการเรียกและขาน เหตุการณ์ประหลาดทุกประเภทก็เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบ
อย่างแรก กลีบดอกไม้ปรากฏขึ้นกลางอากาศและล่องลอยลงสู่เบื้องล่างแต่ก็หายวับไปก่อนที่พวกมันจะตกถึงพื้น แล้วลมสลัวก็เริ่มปัดเป่ามาพร้อมเสียงหวีดหวิวแปลกประหลาดและเสียงหัวเราะน่าขนลุก ถัดมาเปลวไฟลุกโชนพลันปรากฏขึ้นส่องแสงสว่างไสวไปทั่วทั้งห้องโดยไร้ซึ่งการเผาไหม้ หลังจากนั้นจึงมีฟ้าร้องและฟ้าผ่าเริ่มดังกังวานไปทั่วทั้งห้องหับราวกับว่ามีพายุคะนองโหมกระหน่ำเข้ามา
รอบลำคอของซูเฉินมีวงแหวนอีกาดำห้อยอยู่ มันส่งเงาฉายออกมาราวกับจันทร์ข้างแรม ทั้งเลือนรางและธรรมดาทั่วไป นี่คือแหวนไร้แสง
ภายใต้การนำของการสับเปลี่ยนมืออย่างต่อเนื่องของซูเฉิน แหวนไร้แสงที่ธรรมดาน่าเบื่อนี้เริ่มที่จะเปล่งแสงบางเบา
หลังจากผ่านไปสักครู่ ซูเฉินก็หยุดลงและถอนหายใจ “ข้ายังไม่มีวิธีการจะเชี่ยวชาญวิชาทั้งหมดนี่หรอก แต่อย่างน้อยข้าก็สามารถยืนยันได้ว่าเส้นทางที่ข้าเดินนั้นถูกต้อง วิชาอาร์คาน่ามีความคล้ายคลึงกับทักษะต้นกำเนิดของมนุษย์เป็นอย่างมากและพวกมันสามารถดูดซึมพวกเดียวกันเพื่อช่วยให้เราปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังยิ่งขึ้นได้อย่างแน่นอน”
ผ้าเท่อลั่วเค่อนั่งลงข้างซูเฉิน
ในตอนนี้เขาเป็นหุ่นเชิด
หุ่นเชิดสื่อสารโบราณที่ถูกเก็บรักษาไว้จนถึงตอนนี้
ในฐานะหุ่นเชิดสื่อสารโบราณ ซูเฉินได้ค้นพบว่าคุณค่าสูงสุดของมันไม่ใช่การกลายเป็นตัวนำสื่อสาร แต่เป็นประตูที่เปิดทางกว้างไปสู่วิชาโบราณอาร์คาน่า ด้วยการใช้หุ่นเชิดโบราณ ซูเฉินก็เข้าใจกระบวนการคิดของปรมาจารย์อาร์คาน่าโบราณได้ชัดเจนยิ่งขึ้นซึ่งช่วยให้เขาเข้าใจวิชาอาร์คาน่ามากยิ่งขึ้น
การเข้าใจเช่นนี้จะสำแดงตัวเองเป็นความแข็งแกร่ง มันเป็นเพราะซูเฉินมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าในการหลอมรวมทักษะต้นกำเนิดของมนุษย์เข้ากับวิชาโบราณอาร์คาน่า
แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถผนวกทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ซูเฉินก็สามารถทำลายเกราะที่แบ่งแยกวิชาอาร์คาน่าจากทักษะต้นกำเนิดมาอย่างยาวนานในสายตาของผู้อื่น ทำให้คนสามารถใช้ทั้งสองสิ่งไปพร้อมกันได้สำเร็จ
แต่ซูเฉินนั้นยังไม่พอใจ เขากำลังตามหาการผสมผสานที่ไกลยิ่งกว่านั้น
การผสมผสานที่จะทรงพลังยิ่งกว่าทุกระบบวิชาที่มีอยู่ในยุคสมัยนี้
เมื่อผ้าเท่อลั่วเค่อได้ยินคำพูดของซูเฉินเขาก็พูดขึ้น “ข้าชอบความพิถีพิถันและแรงผลักดันของเจ้า ข้าก็เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน แต่เส้นทางที่เจ้ากำลังดำเนินอยู่ตอนนี้นั้นยาวนานยิ่งนักและเจ้าจะไม่มีความก้าวหน้าสำคัญใดเร็ว ๆ นี้หรอก เส้นทางนี้เป็นเช่นเดียวกันกับวิชาไร้สายเลือด มันจะใช้เวลาหลายวันและเดือนของการของดูแลอย่างใกล้ชิด หากเจ้าต้องการพัฒนาให้มากที่สุดภายในเวลาที่สั้นที่สุด เจ้าควรจะมุ่งเน้นไปยังสิ่งอื่น”
“ข้าเข้าใจที่ท่านบอก ข้าก็ไตร่ตรองเกี่ยวกับรางวัลที่ได้รับมาเช่นกัน” ซูเฉินหัวเราะ
การเปลี่ยนทรัพย์สินที่ได้จากสงครามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็นความแข็งแกร่งของตัวเองคือเป้าหมายหลักของซูเฉินในตอนนี้ แต่เขาก็ได้สะสมทรัพย์สินเงินทองมากเกินไปในคราวเดียวและความสามารถในการใช้มันทั้งหมดของเขานั้นเร็วเกินกว่าจะตามได้ทัน หากชนชั้นสูงคนใดได้ยินเขาพูดเช่นนี้ พวกเขาคงจะต้องร้องไห้ออกมา
นอกจากนั้น การเปลี่ยนสิ่งของเหล่านั้นเป็นความแข็งแกร่งเพื่อที่ชายหนุ่มจะสามารถรับมือกับอุปสรรคใด ๆ ก็ตามในอนาคต นี่คือปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดของซูเฉิน
“ท่านมีคำแนะนำอะไรไหม ?” ซูเฉินถาม
“มีสิ่งหนึ่งที่ข้าสามารถช่วยเจ้าหาวิธีใช้งานมันได้”
“โอ้ ? ท่านกำลังพูดถึงสิ่งใดหรือ ?”
“ผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายนั่นไงล่ะ”
ผ้าเท่อลั่วเค่อกำลังพูดถึงผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายที่ซูเฉินได้รับมาจากดวงใจสีเลือด สิ่งของเหล่านี้นั้นหายากและมีมูลค่าสูงจนกระทั่งก่อนที่ซูเฉินจะพบวิธีการใช้มันอย่างเหมาะสม เขาทำได้เพียงแค่เก็บซ่อนพวกมันไว้
เมื่อเขาได้ยินผ้าเท่อลั่วเค่อพูดว่าเขาค้นพบวิธีการใช้มัน ดวงตาของซูเฉินก็ส่องประกายในทันที “โอ้ ? บอกข้าอีกสิ”
“ข้าได้ดูผลึกต้นกำเนิดที่เจ้ารับมาแล้ว มันดูเหมือนจะเป็นของอสูรหุ้มเกราะโลหะหายากเพราะมันมีคุณสมบัติแก่นโลหะปริมาณสูงอยู่ด้วย”
“ข้ารู้แต่ข้าไม่เก่งด้านนั้น” ซูเฉินถอนหายใจด้วยความเสียดาย “มันคงจะดีกว่ามากหากผลึกนั้นเป็นของใจสีเลือดแทน”
ใจสีเลือดบ่มเพาะใน 3 ทรัพยากรที่แตกต่างกันและซูเฉินก็เชี่ยวชาญถึงสองในสามของธาตุเหล่านั้น ไฟและความมืด หากใจสีเลือดได้ทิ้งผลึกต้นกำเนิดไว้ให้ ผลึกนั่นจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อเขา แต่โชคร้ายที่อีกฝ่ายได้เสียสละตนเพื่อพยายามฆ่าซูเฉิน จึงไม่เหลือทิ้งสิ่งใดไว้เลย ทั้งหมดที่เหลืออยู่คือผลึกต้นกำเนิดที่เป็นของจักรพรรดิอสูรที่ใจสีเลือดได้คร่าชีวิตมาตลอดหลายปี แต่มันก็ไม่ได้คู่ควรกับความแข็งแกร่งของซูเฉินซึ่งเป็นเหตุผลที่ซูเฉินเก็บรักษามันไว้จนถึงปัจจุบัน
ผ้าเท่อลั่วเค่อกล่าว “ปกติแล้วเจ้าไม่มีวิธีดี ๆ ในการใช้งานมันอย่างเหมาะสมหรอก แต่ตอนนี้เจ้ามีแล้ว”
“ยังไงหรือ ?”
“แหวนไร้แสง” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบกลับ
“แหวนไร้แสง ?” ซูเฉินชะงักไป
“ใช่ ! นั่นแหละ” ผ้าเท่อลั่วเค่อพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ
แหวนไร้แสงเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดที่สามารถดูดซึมพลังของวิชาอาร์คาน่าได้ ซูเฉินได้ยืนยันสิ่งนี้เมื่อครั้งประชันกับฉู่ไหวเหลียง เขาได้ใช้มันเพื่อปลดปล่อยหงส์เพลิงมืดมิดที่ทรงพลังยิ่งกว่าออกมา
ผ้าเท่อลั่วเค่อกล่าว “แหวนไร้แสงสามารถเข้ากับพลังของวิชาอาร์คาน่าที่แตกต่างกันได้ แต่เพราะมันเป็นการร่วมมือกัน มันควรจะสามารถรองรับได้ทั้งวิชาอาร์คาน่าและทักษะต่อสู้ต้นกำเนิด เป็นเพียงเพราะข้อจำกัดส่วนบุคคลของเจ้าที่ทำให้พลังของแหวนวงนี้ยังไม่แสดงออกมาทั้งหมด”
“ข้ารู้ดี”
แหวนไร้แสงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ …แต่ซูเฉินใช้มันเพียงเพื่อส่งเสริมวิชาอาร์คาน่าเท่านั้น เขายังไม่ได้ดึงศักยภาพสูงสุดของอาวุธออกมาเพราะความสามารถของเขาในการหลอมรวมวิชาอาร์คาน่าและทักษะต้นกำเนิดนั้นยังไม่ดีพอ
“ผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายนี้สามารถช่วยเจ้าแก้ปัญหานี้ได้” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ย
“ผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกาย ? มันจะช่วยข้าแก้ปัญหานี้ ?” ซูเฉินตะลึงงันและความเงียบก็เข้าปกคลุม
“พลังของโลหะ… แหวนไร้แสง…” ซูเฉินไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่แววตาของเขาจะเริ่มเปล่งประกาย
ทันใดนั้นเอง เขาก็กระโดดโลดเต้นและคว้าตัวผ้าเท่อลั่วเค่อไว้ด้วยความตื่นเต้น “ขอบคุณที่เตือนข้า ! ข้ารู้วิธีการใช้มันแล้ว !”
ผ้าเท่อลั่วเค่อกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”
……
“แร่ทองดาราหรือ ? เจ้าจะเอาไปทำไร ?”
จูอวิ๋นเยี่ยนตกใจเล็กน้อยในคำร้องขอของซูเฉิน
“ข้ากำลังวิจัยของเล่นใหม่และต้องใช้โลหะมีค่าจำนวนหนึ่ง” ซูเฉินไม่ได้พยายามจะหลอกลวงแม่ยายของเขา
“โอ้ ? มันคืออะไรหรือ ?” จูอวิ๋นเยี่ยนสนอกสนใจเป็นอย่างมากเมื่อนางได้ยินว่าซูเฉินมีการวิจัยใหม่
“ก่อนที่ข้าจะทำมันได้สำเร็จ ข้าคิดว่าข้าควรเก็บมันไว้เป็นความลับเพื่อที่ข้าจะไม่ต้องขายหน้าหากข้าทำให้มันสมบูรณ์ไม่ได้” ซูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มเหนียมอาย
จูอวิ๋นเยี่ยนกลอกตาของนางอย่างสง่างาม “เจ้าต้องการเท่าไหร่ล่ะ ?”
“ยิ่งเยอะยิ่งดี”
“นี่ เจ้ากำลังเอาอาหารจากนางพญาของเจ้าไปนะ”
“อืม” ซูเฉินพยักหน้า “ข้าพิจารณาปัญหานี้มาก่อนแล้ว ทองดาราและศิลาจันทร์มาจากแหล่งเดียวกัน พวกมันทั้งคู่จึงสำคัญต่อนางพญา ข้าจะไม่หวังมากไปหรอก หากข้ามีความคืบหน้า โปรดดูว่าท่านจะสามารถตามหาโลหะมีค่าอื่น ๆ ในเมืองล่องนภาและรวบรวมพวกมันมาให้ข้าได้หรือไม่”
จูอวิ๋นเยี่ยนชะงักไปเมื่อได้ยินคำขอของเขาและมองชายหนุ่มด้วยสายตาสงสัยแต่ก็ยังตกลงในท้ายที่สุด
สองวันต่อมา
เรือเคลื่อนเมฆามาถึงยังปราสาทแสงต้นกำเนิด
เผ่าปักษาแบ่งอาณาเขตของพวกเขาออกเป็น 5 ส่วนนามว่า เมืองนภาลัยราบ เมืองแสงต้นกำเนิด เมืองโกลาหล เมืองดาราแห่งปักษา และเมืองปีศาจ เห็นได้ชัดเจนว่าทั้ง 5 พื้นที่นั้นถูกแบ่งออกโดยมีเมืองลอยฟ้าทั้ง 5 เป็นศูนย์กลาง ที่จริงแล้วพวกเขาเคยมีถึง 6 ส่วนด้วยกันแต่หลังจากที่เมืองวิญญาณลอยถูกโค่นล้มลง เมืองวิญญาณลอยก็หายไป อาณาเขตส่วนมากถูกรวมเข้ากับอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยและส่วนที่เหลือได้ถูกแบ่งให้กับเมืองแสงต้นกำเนิด
นี่ทำให้เห็นว่าเผ่าปักษาให้คุณค่าต่อจุดลอยมากเพียงไร
หนึ่งป้อมปราการต่อหนึ่งพื้นที่ !
กระทั่งเผ่าปักษาที่สามารถโบยบินได้ยังต้องการการแบ่งอาณาเขต
หากพวกเขาสามารถสร้างจุดลอยที่ 6 ได้สำเร็จ พวกเขาคงจะเริ่มจากการผ่าตัดอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย
ตระกูลจูไม่อาจยอมให้เผ่าปักษาทำแผนการนี้สำเร็จได้เป็นแน่ โชคดีที่การมาของซูเฉินได้เปิดโปงแผนการนี้
หลังจากมาถึงยังพื้นที่แสงต้นกำเนิด ก็ปรากฏปราสาทลอยฟ้าขนาดมโหฬารที่สามารถมองเห็นได้จากที่ห่างไกล แน่นอนว่าเป็นปราสาทแสงต้นกำเนิด
เพราะมันเป็นปราสาทเก่าแก่ที่สร้างขึ้นโดยแกนพลังงานแห่งซาร์คพิเศษออกแบบโดยปรมาจารย์อาร์คาน่าผู้ยิ่งใหญ่ และด้วยความเป็นปราสาทลอยฟ้าแห่งแรกของเผ่าปักษา การตกแต่งและศิลปกรรมของปราสาทจึงโบราณเป็นอย่างมาก
มันดูเหมือนกับปราสาทลอยได้ กำแพงสูงด้านนอกสุดของมันทำขึ้นจากหินซึ่งเต็มไปด้วยปราการปราสาทนับจำนวนมากอยู่ด้านหลัง หอคอยสูงสุดอยู่ตรงใจกลางของปราสาทตามปกติ รูปปั้นลอยฟ้าขนาดมหึมากระจัดกระจายไปทั้วทั้งเมืองโดยเป็นรูปร่างของอสูรดุร้ายมากมายหลายชนิด
รูปปั้นเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างมาเพียงเพื่อความงดงาม พวกมันยังเป็นหุ่นเชิดกลที่ใช้เพื่อปกป้องปราสาทอีกด้วย เมื่อพวกมันถูกปลุกขึ้นแล้ว เหล่ารูปปั้นก็จะมีชีวิตขึ้นและพุ่งตัวออกจากปราสาท จำนวนมากมายของพวกมันจะต้องทำให้ใครก็ตามที่เห็นฉากนี้ตกตะลึงไปอย่างแน่นอน
ระหว่างการเผชิญหน้ากับเผ่ามนุษย์ครั้งก่อน พวกมนุษย์ได้ทนทุกข์ทรมานจากการสูญเสียด้วยผลงานของหุ่นเชิดเหล่านี้และจ่ายราคาไม่น้อยเพื่อทำลายพวกมันบางส่วน แต่เผ่าปักษาก็สามารถสร้างเพิ่มได้เสมอ ปราสาทจึงเต็มไปด้วยหุ่นเชิดกลไกหินเหล่านี้ซึ่งนำไปสู่ระบบรักษาความปลอดภัยสุดแข็งแกร่ง
“งั้นพวกนี้ก็คือหุ่นเชิดโบราณของจริงสินะ” ผ้าเท่อลั่วเค่อกระดกลิ้นของเขาด้วยความตื่นตาตื่นใจเมื่อเขาได้เห็นหุ่นเชิดเหล่านี้ด้วยตาของตัวเอง
“ใช่ ยังไงเสียเผ่าปักษาก็เป็นเผ่าพันธุ์ฉลาดหลักแหลมที่เก็บรักษาของตกทอดที่เก่าแก่ที่สุดจากชาวอาร์คาน่า รวมถึงวิชาอาร์คาน่าและวิชาผลิตหุ่นเชิดด้วย มันทำให้เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ต่างก็อิจฉาตาร้อนกันในสมัยนั้น” ซูเฉินกล่าว
“ในสมัยนั้นหรือ ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อสังเกตเห็นการใช้คำเฉพาะเจาะจงของซูเฉิน
“ใช่ ในสมัยนั้น ไม่ใช่แล้วในตอนนี้” ซูเฉินตอบกลับ
“ทำไมกันล่ะ ?”
“เพราะตอนนี้พวกเรามีเส้นทางของเราแล้ว การสืบทอดมรดกที่ถูกทิ้งร้างสามารถทำให้ผู้อื่นริษยาได้ แต่ความแข็งแกร่งนั้นจะไม่เคยเป็นของท่านอย่างแท้จริง ดูอย่างเผ่าปักษาที่พยายามจะยึดครองทั้งทวีปสิ พวกเขาได้สูญเสียแรงจูงใจในการจะพิชิตทวีปนี้ด้วยตัวเองและหดหัวกลับเข้าไปอยู่หลังปราการตลอดทั้งวัน ไม่กล้ากระทั่งจะก้าวขาออกมาข้างนอก เป้าหมายอันสูงส่งและความทะเยอทะยานสุดท้ายของพวกเขาคือการจะสร้างป้อมปราการเพิ่มโดยไม่ไปเพิ่มความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์ตัวเองทั้งหมด นี่คือชะตากรรมแสนเศร้าอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ของผู้ใดก็ตามที่ขึ้นมามีอำนาจด้วยการใช้อำนาจของผู้อื่น เพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์ต่อการเปลี่ยนแปลง พวกเขาจึงไม่มีความกล้าหาญที่จะพัฒนาตนเอง กระทั่งจักรพรรดิสุดที่รักของพวกเขา หยงเยี่ยหลิวกวง ….ก็ทำได้เพียงเท่านี้” ซูเฉินกล่าวอย่างเหยียดหยาม
เส้นทางของชายหนุ่มคือเส้นทางที่จะยกระดับตนเอง เขาไม่สนใจการสืบต่อมรดกของใครอื่น
ไม่ว่าเขาจะมีสมบัติมากเพียงไร พวกมันก็เหลือใช้อีกนานโขและเขาไม่สามารถจะมอบพวกมันให้กับผู้อื่นหรือส่งต่อพวกมันให้กับทั้งยุคสมัยได้
เขาไม่ใส่ใจกับอะไรอย่างเกียรติ์อันเป็นนิรันดร์สำหรับตัวเอง สำหรับคนหนึ่งที่มีความทะเยอทะยานสูงส่ง ซูเฉินจำเป็นต้องมีจิตและความคิดที่ถูกต้อง แม้ว่าชายหนุ่มจะยังไปไม่ถึงจุดสูงสุดของความสามารถมนุษย์ก็ตาม
มุมมองของซูเฉินได้พ้นผ่านศักยภาพที่แท้จริงของเขาไปไกล บางคนคิดว่าเขาตั้งเป้าสูงเกินไป แต่คนอื่น ๆ เชื่อว่าเขานั้นคิดการณ์ไกลยิ่งนัก
เขาจะตั้งเป้าสูงไปหรือจะมองการณ์ไกลนั้นขึ้นอยู่กับผลสัมฤทธิ์ของเขาในอนาคต
หากไม่สามารถทำสำเร็จได้ เขาก็จะกลายเป็นอดีต หรือคนโกงในบางแง่มุม
หากเขาทำได้สำเร็จ เขาก็จะกลายเป็นอนาคต หรือผู้หยั่งรู้
ไม่ว่าเขาจะเป็นคนโกงหรือผู้หยั่งรู้ ซูเฉินก็จะยังคงไล่ตามความฝันและอุดมคติของเขาต่อไป
ดังนั้นแล้ว ปราสาทแสงต้นกำเนิดที่ยิ่งใหญ่ อลังการ และสง่างามนี้นั้นไม่สมควรจะได้รับการเคารพใด ๆ ในสายตาของชายหนุ่ม
เขาเชื่อว่าปราการลอยฟ้าแสนทรงพลังนี้ได้ตัดปีกของเผ่าปักษาทิ้งเสีย แม้ว่าพวกเขาจะมีปีกแต่พวกเขาก็ไม่มีวันออกโบยบิน
ในขณะที่เขาผู้เกิดมาโดยไร้ปีกนั้นถูกลิขิตมาให้พุ่งทะยานขึ้นสู่สวรรค์ชั้นที่ 9 !
นั่นคือเหตุผลที่เขาเข้ามายังโลกของเผ่าปักษา
เขากำลังจะโบยบิน !