ภาคที่ 5 บทที่ 72 ราชวงศ์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 72 ราชวงศ์

เรือเคลื่อนเมฆาหยุดและลงจอดเมื่อพวกเขามาถึงยังปราสาทแสงต้นกำเนิด เหล่าทูตทั้งหมดของเผ่ามนุษย์และเผ่าปักษาต่างก็ถูกจับตามองอย่างถี่ถ้วนขณะที่ลงจากลำเรือ ตัวตนของซูเฉินก็เป็นหนึ่งในทูตกลุ่มนั้น เขาจึงไม่รอดพ้นไปจากข้อปฏิบัตินี้เช่นกัน

นี่เป็นโอกาสหายากสำหรับซูเฉินที่จะตรวจสอบความลับแห่งปราสาทแสงต้นกำเนิด เขาจึงไม่ต้องการเสียเวลาเถลไถลอยู่ที่นี่ ชายหนุ่มถามจูอวิ๋นเยี่ยนว่าเขาสามารถออกไปเดินเตร่ได้หรือไม่ในทันที

จูอวิ๋นเยี่ยนเข้าใจเจตนาของเขาได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็บอกว่า “ตราบใดที่เจ้าสัญญาว่าจะไม่ก่อปัญหาอะไรขึ้น”

“แน่นอน” ซูเฉินตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ

จูอวิ๋นเยี่ยนพยักหน้าตอบรับ

ปราสาทแสงต้นกำเนิดเป็นทั้งปราการและเมือง ระหว่างการเยี่ยมชม ตระกูลจูสามารถเดินไปรอบปราสาทได้ตามต้องการ รวมไปถึงการซื้อและขายสินค้า ตามข้อตกลงที่พวกเขาได้ลงนามกับทูตไว้

แน่นอนว่าปราสาทแสงต้นกำเนิดถูกแบ่งออกเป็นหลายพื้นที่ระหว่างแต่ละที่อยู่อาศัย ทั้งเขตทางการทางทหารและพื้นที่ทางการค้า ซึ่งสำหรับตัวแทนเผ่ามนุษย์… พวกเขาก็จำต้องตกอยู่ในการดูแลควบคุมของผู้อารักขาเผ่าปักษาตลอดเวลา

ทูตตระกูลจูเดินออกมาจากสถานทูต ตามมาด้วยเผ่าปักษาสองคน และมาถึงยังพื้นที่ค้าขาย

นี่เป็นครั้งแรกของทุกคนในการมาเยือนตลาดของเผ่าอื่น พวกเขาจึงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสินค้าทั้งหลายเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะจูเซียนเหยาที่ลากมือซูเฉินไปด้วยอย่างมีชีวิตชีวา กระทั่งมันดำเนินมาถึงจุดที่ซูเฉินถูกบังคับให้ปัดมือของนางออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะที่กระซิบอย่างแผ่วเบา “ได้โปรดเถอะ ตอนนี้ข้ามีนามว่าเฉินซู หนึ่งศิษย์ของตระกูลจู แล้วข้าจะไปจูงมือเจ้าได้ยังไง ?”

จูเซียนเหยามองไปยังซูเฉินก่อนจะพูดเสียงดังลั่น “เฉินซู ข้าอยากซื้ออะไรสักอย่าง เจ้าช่วยถือของให้ข้าหน่อยสิ”

“….ได้ขอรับคุณหนู” ซูเฉินก้มหัวของเขาอย่างหมดหนทาง

“ข้าชอบเวลาที่เจ้าเชื่อฟังข้า” จูเซียนเหยาโก่งคิ้วข้างหนึ่งขึ้นด้วยความร่าเริงและดีดหน้าผากของซูเฉินอย่างซุกซนก่อนจะกระโดดออกไปพร้อมกับหัวเราะคิกคัก ซูเฉินทำได้เพียงตามหลังนางไป เขาโดนมัดมือไว้เสียแล้ว

พื้นที่ค้าขายของเผ่าปักษานั้นแปลกตาทีเดียว สำหรับเผ่าพันธุ์ที่ถือครองความสง่างาม สิ่งของส่วนมากของพวกเขาจึงล้วนสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง กระทั่งจานชามที่เรียบง่ายที่สุดก็ยังเต็มไปด้วยลวดลายแกะสลักดูหรูหรา

เผ่าปักษาเองก็มีสินค้าหายากบางอย่างมาขายด้วยเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า ‘เมฆสานสวรรค์’ ถูกขายที่นี่ มันดูเหมือนกับเมฆทั่วไปไม่มีผิดและลอยอยู่บนท้องฟ้าเช่นกัน เสื้อผ้าชนิดใดก็ตามที่ถักขึ้นจากมันจะนุ่มอย่างน่าเหลือเชื่อและกระทั่งลอยได้ในบางครั้ง หากมนุษย์ได้ใส่เสื้อผ้าที่ถักขึ้นจากวัสดุนี้ น้ำหนักของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไป ด้วยสิ่งนี้คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถกระโดดได้สูงถึง 27 จั้งเศษ ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารจะสามารถใช้พลังกำเนิดที่น้อยลงมหาศาลในการบิน มนุษย์มองของชิ้นนี้เป็นวัสดุเสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์ ในขณะที่เผ่าปักษามองมันเป็นเมฆที่ถูกผลิตขึ้นเฉพาะในน่านฟ้าพิเศษเท่านั้น โดยเฉพาะหญิงเผ่าปักษาจำนวนมากซึ่งจำเป็นต้องบินขึ้นไปในแนวดิ่งเพื่อเก็บเกี่ยวเมฆเหล่านี้ เพราะการเก็บเกี่ยวนี้นั้นทั้งเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อนและบอบบางเป็นอย่างมาก มันต้องใช้ความพยายามของผู้ใช้แรงงานทั่วไปจำนวนมาก และกระทั่งผู้แข็งแกร่งก็ไม่สามารถลัดขั้นตอนใดได้ทั้งสิ้น มีเพียงเผ่าปักษาผู้สามารถบินได้ที่เหมาะสมกับการเก็บเกี่ยววัสดุชนิดนี้

นอกจากนี้ยังมีกระบองเพชรพิเศษลอยได้ที่เติบโตบนท้องฟ้า มันไม่ต้องการทั้งดินและน้ำในการโต แต่มันสามารถโตได้ในความสูงจัดเท่านั้น ทำให้มันเป็นพืชที่หายากเป็นอย่างมาก และเช่นเดิมที่มีเพียงเผ่าปักษาเพียงเผ่าเดียวที่เหมาะสมกับการเก็บเกี่ยวพืชเหล่านี้ กระบองเพชรพิเศษเหล่านั้นสามารถใช้เป็นวัตถุดิบของยาระดับสูงได้ทุกชนิด พวกมันจึงมีมูลค่าค่อนข้างสูงโดยเฉพาะในอาณาเขตของมนุษย์ แต่ในที่แห่งนี้พวกมันกลับถูกขายในตลาดธรรมดา ๆ และราคาก็ถูกกว่าถึงอย่างน้อย 20 เท่า

เซียนเหยาและซูเฉินตรวจสอบสินค้าของเผ่าปักษาทีละชิ้น ๆ และต่างตะลึงพรึงเพริดไปกับการเลือกซื้อสินค้าที่วางขายอยู่ พวกเขาถอนหายใจและอ้าปากค้างด้วยความชื่นชมเหล่าสินค้าที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนและใจสั่นไหวด้วยความตื่นเต้นกับคุณภาพสูงในราคาต่ำของสินค้าที่พวกเขาเคยพบเห็นมา

จูเซียนเหยาเริ่มบ้าคลั่งไปกับการเที่ยวซื้อของ

ขอโทษทีนะซูเฉิน เอ้ย นามของเจ้าตอนนี้เป็นเฉินซูแล้ว งั้นชะตากรรมของเจ้าก็คือการแบกของให้กับคุณหนูคนนี้ !

จูเซียนเหยาชี้ไปยังทุกสิ่งอย่างที่นางถูกใจและผู้รับใช้อีกคนข้างหลังนางจะคอยจ่ายให้ ในตอนนี้ซูเฉินได้ถูกฝังกลบอยู่ใต้กองภูเขากระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เขาเป็นถึงเจ้านิกายไร้ขอบเขต ปราชญ์ชาญโลกของมนุษยชาติ แต่ตอนนี้เขากลับมีหน้าที่รับผิดชอบแบกกระเป๋าให้หญิงของตนเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มทำได้เพียงถอนหายใจกับตัวเองด้วยความสมเพช

โชคยังดีที่เขาไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ตกมาอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ หุ่นเชิดของผ้าเท่อลั่วเค่อที่เดินอยู่เคียงข้างเขาก็ได้รับสั่งให้แบกกระเป๋าของจูเซียนหยางด้วยเช่นกัน

ในตอนที่พวกเขากำลังจะออกจากตลาดค้าขายไปนั่นเอง พวกเขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาโดยทั้งหมดนั้นล้วนเป็นมนุษย์

คนที่อยู่ด้านหน้าสุดคือคุณชายน้อย เขาปรากฏตัวขึ้นอย่างสง่าผ่าเผยทีเดียว และเมื่อเขาเห็นจูเซียนเหยาเข้า ดวงตาของเขาก็ส่องประกายขึ้น แล้วเขาจึงเดินเข้ามา

เมื่อจูเซียนเหยาเห็นอีกฝ่าย นางก็หน้าบูดบึ้งและหันหลังกลับเพื่อจะออกจากที่นี่ แต่อีกฝ่ายนั้นได้เข้ามาถึงตัวพวกนางเสียแล้ว “เซียนเหยา ? ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ ?”

เขาจำจูเซียนเหยาได้

จูเซียนเหยาตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “หลี่ต้าวหง ข้าจะไปไหนมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า ?”

นามสกุลของเขาคือหลี่ ?

ซูเฉินเข้าใจในทันที

ภายในอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยนั้นจำนวนของผู้คนนามสกุลลี่ซึ่งสามารถท่องเที่ยวไปในแดนเผ่าปักษาและคุ้นเคยกับจูเซียนเหยาถึงเพียงนี้คงจะมีน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นคนคนนี้ยังดูเหมือนจะมาจากราชวงศ์อีกด้วย

แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของคุณชายท่านนี้กับจูเซียนเหยาจะไม่ได้เรียบง่ายอย่างเป็นเพื่อนกัน สายตาของเขาดูหื่นกระหายและแม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ซูเฉินได้พบเจอ เขาก็เห็นได้ถึงนิสัยหื่นกามที่ฝังเข้ากระดูกดำของคนคนนี้

ซูเฉินเคยได้พบคุณชายจากราชวงศ์มาจำนวนไม่น้อยอย่างเจียงซีสุ่ยและฉู่เจียงอวี๋ ซึ่งคุณชายเหล่านี้มักรักษาอารมณ์เสมอและสามารถแสดงออกอย่างชำนาญการณ์ อีกทั้งพวกเขายังสามารถประพฤติตัวอย่างมีกิริยามารยาในชีวิตประจำวันเพราะการเลี้ยงดูที่พวกเขาได้รับมา แต่หลี่ต้าวหงถือเป็นข้อยกเว้นของกฎนี้ สายตาที่เขามองจูเซียนเหยาบ่งบอกถึงความรีบร้อนต้องการจะกลืนกินนางเข้าไป แม้กระทั่งวิธีการพูดของเขายังห้วนและขวานผ่าซาก เขาขาดความคิดและราศีของคนจากราชวงศ์ไป

ในตอนนั้นหลี่ต้าวหงพูดขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว ไม่กี่วันก่อนพระราชวังได้รับรายงานว่าเมืองนภาลัยรายได้รับใบอนุญาตผ่านทางและขอคำอนุญาตจากท่านพ่อของข้า มีกระทั่งข้าราชการระดับสูงบางคนที่มาร้องขอแทน ในตอนแรกท่านพ่อของข้ารู้สึกว่าข้อตกลงนี้ได้ถูกเจรจาต่อรองกันโดยแยกจากอำนาจของราชวงศ์และต้องการที่จะพิจารณามันสัก 2-3 วัน แต่ข้าก็เปิดปากพูดและบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าปักษาและมนุษย์เรานั้นไม่ได้เป็นเพียงของราชวงศ์เท่านั้น ในเมื่อตระกูลจูสามารถทำตามข้อตกลงเช่นนั้นได้และราชวงศ์ก็ได้รับการช่วยเหลือในปัญหาที่ต้องสะสาง ท่านพ่อข้าจึงตัดสินใจว่าจะอนุญาตมัน”

จูเซียนเหยากระแอม “แล้วไง เจ้าจะบอกว่าตระกูลจูต้องขอบคุณเจ้าหรือ ? ใช่ไหม ?”

หลี่ต้าวหงมือทาบอกและกล่าว “ไม่จำเป็นต้องสุภาพอ่อนโยนหรอกนะเซียนเหยา ยังไงพวกเราก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว”

ซูเฉินหัวเราะอย่างสงวนท่าทีอยู่ในใจ

ข้อตกลงทางธุรกิจของตระกูลจูกับเมืองนภาลัยราบได้รับการอนุญาตจากหลี่หวู่อี้เมื่อนานมาแล้ว และพวกเขายังติดสินบนข้าราชการจำนวนหนึ่งเพื่อหาผู้สนับสนุนหรืออย่างน้อยที่สุดเพื่อโน้มน้าวไม่ให้พวกเขาปริปากเรื่องแผนการของตระกูลจูอีกด้วย เพื่อดูแลรักษาการดำเนินการนี้ตระกูลจูต้องยอมเสีย 3 ใน 10 ของกำไรทุกส่วนที่พวกเขาได้รับจากความสัมพันธ์ทางการค้านี้ ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ทำธุรกิจโดยตรงกับเผ่าปักษาได้อย่างไร ?

แต่ในตอนนี้หลี่ต้าวหงกำลังอ้างว่าราคาที่ตระกูลจูได้จ่ายนั้นเป็นผลงานของเขาเอง ช่างหน้าไม่อายเสียจริง

หลี่ต้าวหงค่อนข้างจะหลงตัวเอง เขาคว้าตัวจูเซียนเหยาและไม่ยอมปล่อยนางพร้อมพูดพล่ามตลอดช่วงเวลานั้น

ซูเฉินเข้าใจจูเซียนเหยาเป็นอย่างดีทีเดียว ชายหนุ่มคาดคิดไว้แล้วว่าจูเซียนเหยาจะต้องตบอีกฝ่ายเข้าที่กลางใบหน้าซักครั้งหนึ่งแน่นอน

แต่น่าแปลกที่แม้ว่าจูเซียนเหยาจะไม่ชอบหลี่ต้าวหง นางก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงทั้งสิ้น กลับกัน นางเก็บกดความรู้สึกไว้และหยุดทุกการบุกรุกคุกคามของเขาไว้อย่างเย็นชา

หลี่ต้าวหงไม่ได้สนใจความเยือกเย็นของจูเซียนเหยาแม้แต่น้อย เขายังคงสนทนากับนางอย่างครื้นเครง จูเซียนเหยากำลังหมดความอดทนอย่างเห็นได้ชัด แต่นางก็บังคับใจเก็บความรู้สึกโกรธเกรี้ยวไว้และไม่ได้แสดงมันออกมาสักนิด

ช่างเป็นเหตุการณ์หากดูยากจริง ๆ

ในตอนนี้หลี่ต้าวหงยังคงพ่นคำพูดยาวเหยียดไม่สิ้นสุด หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งซูเฉินก็พูดขึ้น “คุณหนู พวกเราจะไม่มีเวลาแล้ว พวกเราควรไป”

เมื่อจูเซียนเหยาได้ยินดังนั้น นางก็ทำราวกับว่ามันเป็นความช่วยเหลือจากสวรรค์ “ใช่ ข้าว่าพวกเราไม่มีเวลาแล้ว ดูเหมือนข้าจะอยู่กับท่านไม่ได้แล้วละฝ่าบาท ได้โปรดอยู่รื่นเริงต่อเถิด ข้าจะขอตัวไปก่อน”

หลี่ต้าวหงดูท่าทางเศร้าลงทันที

ท่าทางเมื่อเขาได้พูดคุยกับจูเซียนเหยานั้นเป็นแบบหนึ่ง ในขณะที่ท่าทางเมื่อเขามองไปยังซูเฉินนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เขาเปลี่ยนสีหน้าอย่างกะทันหันแต่ก็เป็นธรรมชาติจนกระทั่งซูเฉินเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากถอนหายใจด้วยความประหลาดใจ

หลี่ต้าวหงกล่าว “พ่อบ้านรับใช้กล้าขัดบทสนทนาของพวกเราหรือ ? อุกอาจนัก !”

จูเซียนเหยาจ้องเขาเขม็ง “ท่านคิดจะสอนบทเรียนให้ผู้รับใช้ของข้าหรือ ?”

หลี่ต้าวหงหัวเราะอย่างเป็นกันเองและตอบทันที “เจ้าพูดถูกแล้วจูเซียนเหยา แต่ถ้าเจ้าวางแผนจะสั่งสอนข้ารับใช้ของเจ้าเองอยู่แล้ว ข้าก็จะไม่เสียมารยาท”

จูเซียนเหยาไม่อยากคุยกับเขาอีกต่อไป นางจึงบอกลาเขาและจากมา

หลี่ต้าวหงล้มเหลวในการรั้งตัวนางไว้ เขาจึงได้แต่มองนางเดินจากไป สายตาของเขากลับกลายเป็นความเยือกเย็นขณะที่พูดขึ้น “ซื่อหลี !”

“ขอรับ !” ทหารคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลี่ต้าวหงทำความเคารพ

“ฆ่าคนรับใช้ที่แทรกบทสนทนาเมื่อครู่เสีย”

“ได้ขอรับท่าน !”

หลี่ต้าวหงหันหลังจากไป

สำหรับเขา นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีค่าพอให้เขานึกถึงเสียด้วยซ้ำ

ระหว่างทางกลับซูเฉินได้พูดคุยอย่างเงียบ ๆ กับจูเซียนเหยา

จูเซียนเหยาพูด “เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือที่ข้าไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาตรง ๆ?”

ซูเฉินตอบอย่างแผ่วเบา “เจ้าต้องสุภาพต่อสมาชิกของราชวงศ์เสมอ เรื่องนี้ข้าเข้าใจ”

จูเซียนเหยาหัวเราะอย่างขมขื่น “เจ้าพูดถูกแต่ก็ผิดด้วยเช่นกัน ข้าไม่สนใจการทำให้สมาชิกธรรมดา ๆ ของราชวงศ์ไม่พอใจหรอก แต่กับคนคนนี้… ข้าจำต้องระวังตัวเมื่ออยู่ใกล้”

“โอ้ ?” ซูเฉินดูสนใจขึ้นมา “ข้าไม่คิดว่าเขาคือองค์รัชทายาทของเลี่ยวเยี่ยหรอก ใช่ไหม ?”

จูเซียนเหยากระแอมในลำคอ “หากองค์รัชทายาทปฏิบัติตัวเยี่ยงเขา ผู้คนในอาณาจักรคงจะรายงานเขาและฉุดเขาลงมาจากตำแหน่งไปแล้ว เขาจะได้รับอนุญาตให้ทำตัวหยิ่งยโสนานถึงเพียงนี้ได้ยังไงกัน ?”

คำเหล่านั้นดูเหมือนเอาแต่ใจแต่พวกมันก็แสดงถึงมุมมองต่อราชวงศ์ของผู้คนได้อย่างแม่นยำ เหล่าชนชั้นสูงนั้นมีอำนาจเป็นของตนเอง ราชวงศ์ไม่ได้ถือครองอำนาจทั้งหมด นี่คือเหตุผลที่จูเซียนเหยาสามารถพูดได้ว่านางสามารถเมินเฉยต่อสมาชิกราชวงศ์ส่วนมากได้

แต่นั่นจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเป็นสมาชิกทั่วไปส่วนมาก แน่นอนว่าองค์รัชทายาทไม่ได้รวมอยู่ในรายชื่อสมาชิก และหลี่ต้าวหงก็เช่นกัน

เมื่อเขาได้ยินจูเซียนเหยาพูดเช่นนั้น ซูเฉินก็ตกลงสู่ห้วงความคิด

เขานึกได้ว่าเขาอาจทำบางอย่างผิดพลาดไป

แล้วเขาก็ถามขึ้น “ใครก็ตามที่สามารถเข้ามายังแดนเผ่าปักษาและกลายเป็นสมาชิกในกลุ่มผู้ค้าขายของราชวงศ์ได้ แม้ว่าพวกเขาจะละโมบโลภมากและมีนิสัยบ้ากาม ก็จะต้องเป็นผู้ที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ กระทั่งหลี่ต้าวหงนี่เองก็ด้วย”

“ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วสินะ” จูเซียนเหยายืนยัน

ซูเฉินนั้นไม่ใช่คนโง่ แต่เขาก็มองข้ามความสามารถของหลี่ต้าวหงไปโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งจูเซียนเหยาเตือน… ชายหนุ่มจึงพบว่ามีบางอย่างในการวิเคราะห์ของเขาที่ผิดพลาดไป

หากอีกฝ่ายเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มผู้ค้าของราชวงศ์… นั่นย่อมหมายความว่าสถานะของเขาในอาณาจักรจะไม่อยู่ในระดับต่ำอย่างแน่นอน ดูจากการวางตัวของหลี่ต้าวหงก่อนหน้านี้… มันก็พอคาดเดาได้ว่ากระทั่งตำแหน่งของเขาในกลุ่มผู้ค้าขายก็ไม่ได้ต่ำเลยเช่นกัน

“เจ้าคนนี้มีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่ง ?” ซูเฉินยังคงไม่เข้าใจ

จูเซียนเหยาถอนหายใจ “เขามีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่ง พ่อของเขา หลี่หวู่อี้ เป็นจักรพรรดิคนปัจจุบัน แข็งแกร่งพอไหมล่ะ ?”

ไม่จำเป็นต้องอธิบายเลยว่าเขามีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่ง แต่สถานะของเขาไม่ได้มาจากผู้หนุนหลังที่ทรงพลังเพียงอย่างเดียว

นั่นหมายความว่ามีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้น

จูเซียนเหยาพูดมันออกมาได้อย่างกระจ่างแจ้งในที่สุด “เขาพึ่งพาความสามารถของเขาเอง ไม่ว่าเจ้าจะอยากยอมรับหรือไม่ก็ตาม หลี่ต้าวหงนั้นเป็นอัจฉริยะ อัจฉริยะแท้จริงที่ตระกูลหลี่อาจพบได้เพียง 1 ครั้งในทุก ๆ หลายพันปีเท่านั้น !”