ภาคที่ 5 บทที่ 73 อัจฉริยะ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 73 อัจฉริยะ

มนุษย์มักจะสงสัยว่าผู้คนที่ละโมบและบ้าตัณหาจะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จหรือมีตำแหน่งที่สูงส่งได้อย่างไร

แต่การคิดเช่นนี้เป็นการนำศีลธรรมมาเทียบเท่ากับความสามารถซึ่งเป็นเรื่องผิดในการมองโลกใบนี้อย่างสิ้นเชิง ด้วยมีผู้คนที่ร่ำรวยและไร้ศีลธรรมอยู่มากเกินไปที่ยังจะได้ขึ้นสวรรค์แม้ตายไป

…ส่วนมากแล้วยิ่งคนพวกนี้ร่ำรวย พวกเขาก็จะยิ่งไร้ซึ่งศีลธรรม

หลี่ต้าวหงเป็นตัวอย่างที่ดีของกฎข้อนี้

เรื่องราวของเขานั้นค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว

ตั้งแต่วัยเยาว์เขาก็เป็นอัจฉริยะ เขาเรียนรู้การอ่านตั้งอายุได้ 3 ปี และเขียน ‘บทกวีของผู้สิ้นเปลือง’ และ ‘บทกวีข้ามแม่น้ำ’ ในวัย 17 สร้างชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วทั้งอาณาจักร หมอหลวงได้วินิจฉัยว่าเขามีสายเลือดที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ ทำให้เขาเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ กระทั่งสำหรับตระกูลหลี่

แต่ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ จะต้องมีสักคนสองคนในเผ่ามนุษย์ที่มีชีวิตเช่นนี้เสมอ

แต่เรื่องของหลี่ต้าวหงนั้นแตกต่างออกจากธรรมชาตินั้นอย่างสิ้นเชิง

“แม้ว่าหลี่ต้าวหงจะเป็นอัจฉริยะในตอนนี้ ความสามารถที่แท้จริงคือเชาวน์ปัญญาของเขา เขาสามารถอ่านและพูดได้ก่อนเวลาและมีสายเลือดที่เข้มข้น ผู้คนเริ่มสรรเสริญเขาเพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ด้วย นั่นคือที่มาของชื่อเสียงของเขาแต่เขาไม่ได้สำเร็จอะไรมากจากมัน สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นอัจฉริยะคือปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นภายหลังต่างหาก”

ซูเฉินและจูเซียนเหยาพูดคุยถึงหลี่ต้าวหงขณะที่พวกเขาเดิน

“ปาฏิหาริย์ ? เขาพบเจอสมบัติลี้ลับอะไรงั้นหรือ ?” ซูเฉินถามพร้อมหัวเราะคิกคัก

จูเซียนเหยาส่ายหัวของนาง “ตรงข้ามกันต่างหากล่ะ เบื้องหลังของเขาคล้ายกับเจ้าทีเดียว”

“คล้ายกับข้า ?” ซูเฉินตกตะลึง “ยังไงหรือ ?”

“ไม่มีอะไรหรอก เขาเคยเผชิญหน้ากับขอทานชราคนหนึ่งบนถนนแต่ก็ถูกทำร้ายจนเขากลายเป็นคนโง่” จูเซียนเหยาพูดอย่างเฉยชา

เผชิญหน้ากับขอทานชรา ?

ซูเฉินรู้สึกสั่นไหวในจิตใจ

สถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้นกับเขาครั้งที่อายุ 12 ปีพลันกลับเข้ามาในความคิดของชายหนุ่มอีกครั้ง

แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว และแม้ว่าเขาจะได้ลืมวัยเด็กส่วนมากไปแล้ว ทว่าเขาจะไม่มีวันลืมแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยของประสบการณ์นี้

“ขอทานชรา……” ซูเฉินพึมพำ

“ใช่ ขอทานคนนั้นจู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นและเริ่มโจมตีคุณชายตระกูลหลี่โดยไม่มีปี่มีขลุ่ยแทบจะในทันที หลี่หวู่อี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมากมายมารักษาเขาหลังจากนั้น แต่ไม่ว่าหมอคนใดก็ไม่สามารถรักษาอาการของเขาได้” จูเซียนเหยาพูดด้วยความจริงจัง

“แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อล่ะ ?”

“3 ปีให้หลัง เขาก็เริ่มฟื้นฟูตัวเอง”

3 ปี !

3 ปีอีกแล้ว !

อีกฝ่ายเองก็ใช้เวลา 3 ปีในการฟื้นฟูตัวเองกลับมาด้วยงั้นหรือ !

“แล้วเขาก็กลายเป็นอัจฉริยะขั้นสุดยอดหรือ ?”

“ใช่” จูเซียนเหยาพยักหน้าและอธิบาย “เมื่อเขาไม่ได้เป็นไอ้โง่อีกต่อไป เขาก็กลายเป็นอัจฉริยะผู้โด่งดังในอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยทันที แล้วเขาก็ได้รับความทรงจำภาพถ่ายทั้งยังพูดอย่างเจ้าสำบัดสำนวนยิ่งนัก เช่นเดียวกับการฝึกวิชาของเขาที่เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่เพียงปลุกสายเลือดราชวงศ์ในตัวขึ้น แต่ยังปลุกสายเลือดเทพรัตติกาลขึ้นอีกด้วย การมีถึงสองสายเลือดที่ถูกปลุกขึ้นก่อนจะขึ้นไปยังด่านสูงกว่านี้นั้นหายากไม่น้อยทีเดียว มันทำให้การฝึกของเขาดำเนินไปรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ เขาใช้เวลาเพียงครึ่งปีเพื่อทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารจากด่านทะลวงลมปราณ”

เพียงครึ่งปีในการพัฒนาจากด่านทะลวงลมปราณไปสู่ด่านสู่พิสดาร

หากซูเฉินมุ่งสมาธิของเขาไปกับบการฝึกฝน เขาก็คงจะจะทำได้เช่นกัน

แต่นี่คือซูเฉินกับเนตรมองโลกจุลภาคของเขา

และตอนนี้อัจฉริยะขั้นสุดยอดอีกคนได้ปราฏตัวขึ้นแล้ว

ที่น่าตื่นเต้นยิ่งไปกว่านั้น คือสถานการณ์ของคนคนนี้คล้ายคลึงกับเขาไม่น้อยเลย !!!

หัวใจของซูเฉินเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ

เขาค่อนข้างแน่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไม ทว่าซูเฉินก็มั่นใจว่าสัญชาตญาณนี้ของตนคือความจริง !

ใครเคยบอกไว้ว่าเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่ถูกสาปหรือได้รับพรจากสวรรค์ ?

คนอื่น ๆ ก็สามารถได้รับพรเหมือนกัน !

ตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งนี้ต่างหากที่เป็นประเด็น !

แต่หากซูเฉินได้รับตาคู่หนึ่งที่สามารถมองเห็นถึงความจริงได้ในระดับจุลภาค แล้วหลี่ต้าวหงล่ะ ?

ซูเฉินไม่รู้… แต่มันต้องแตกต่างไปจากความสามารถของซูเฉินโดยสิ้นเชิงเป็นแน่

แม้ว่าคลื่นลูกยักษ์กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในจิตใจของเขา ซูเฉินก็ยังคงท่าทีสงบนิ่งไว้ได้และถามขึ้น “แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น ? ชายคนนี้เริ่มใช้ชีวิตอย่างคนขี้เหล้าเสเพลหรือ ?”

“ใช่ เจ้าควรรู้ไว้ว่าผู้ที่ตกลงในหลุมลึกและกลับขึ้นมาได้รวดเร็วเช่นนี้จะกลายเป็นผู้ที่มีลักษณะนิสัยสุดโต่ง แม้ว่าหลี่ต้าวหงจะเป็นคนโง่อยู่ถึง 3 ปี ทว่าความทรงจำเหล่านั้นก็ยังคงมีอยู่หลังจากที่เขาได้ความปราดเปรื่องกลับมา ทั้งเรื่องที่เมื่อครั้งเขายังเป็นคนโง่อยู่ 3 ปีก็เช่นกัน……”

ซูเฉินเข้าใจว่าจูเซียนเหยากำลังพูดถึงอะไรและจบประโยคของนางให้แทน “มันร้ายแรงมาก”

แม้แต่คุณชายผู้สูงศักดิ์ก็จะถูกรังแกโดยคนอื่น ๆ หากพวกเขากลายเป็นคนโง่

ผู้รับใช้รอบกายเขาสามารถรังแกเขาได้และผู้อาวุโสของเขาก็จะหลงลืมเขาไป

ในบางแง่มุม คนโง่จะมีชะตากรรมที่ทรมานยิ่งกว่าคนตาบอดเสียอีก คนตาบอกอาจมีดวงตามืดมัว แต่ความคิดของพวกเขายังคงชัดเจน ทว่าความคิดของคนโง่นั้นมืดบอดยิ่ง …ซึ่งหมายความว่าคนอื่น ๆ จะไม่ใส่ใจพวกเขาแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้ กระทั่งหลี่หวู่อี้ก็ยอมแพ้กับลูกชายของเขาคนนี้

การมองโลกของเขาคงเปลี่ยนไปเมื่อเขาตื่นขึ้นอีกครั้ง …มันคงจะรุนแรงไม่น้อยเลย !

บางคนอาจมีวุฒิภาวะและเติบโตผ่านความทรมานของพวกเขาได้ ก่อนจะแยกตัวเองออกมาจากสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าไม่ยุติธรรมในอดีตได้อย่างรวดเร็ว นี่คือกระบวนการที่ซูเฉินได้ผ่านมา แต่คนอื่น ๆ คงเลือกที่จะตอบโต้อย่างที่หลี่ต้าวหงทำ

วินาทีที่หลี่ต้าวหงได้ความกระจ่างแจ้งกลับคืนมาและกลายเป็นสุดยอดอัจฉริยะ สิ่งที่เขาทำนั้นไม่ใช่การพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองแต่กลับเป็นการถอนรากถอนโคนสังคมเสียอย่างนั้น

เขาพึงพอใจมากขึ้นโดยสนใจเพียงแค่ความสุขและหมกมุ่นกับราคะของตนเอง เขาข่มเหงผู้ชายและยัดเยียดตัวเองให้กับผู้หญิง เขาก่อปัญหาขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว

ใครอื่นคงจะอบรมสั่งสอนลูกเช่นนี้อย่างโหดเหี้ยม กระทั่งจักรพรรดิแห่งอาณาจักรก็คงไม่อนุญาตให้พฤติกรรมเช่นนี้ฝั่งแน่นอยู่

แต่หลี่หวู่อี้รู้สึกผิดบาปต่อการละทิ้งลูกชายของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ เขาจึงลงโทษอย่างเบามือยิ่งนัก

เหล่าข้าราชการก็ไม่ต่างกัน

คิดว่าใครกันที่ทารุณข้าตอนที่ข้าเป็นคนโง่บรม ? ขอทานที่ข้างถนนหรือ ? ถึงแม้ข้าจะเป็นไอ้โง่… แต่ข้าก็ยังเป็นคนในราชวงศ์นะ ไม่ใช่ว่าใครก็ตามจะมากลั่นแกล้งข้าได้ ! นอกจากผู้รับใช้ใจกล้าไม่กี่คนแล้ว คนที่ข่มเหงข้าส่วนมากก็คือพวกเจ้าทุกคน พวกชนชั้นสูง !

มุขมนตรีหวาง ลูกชายของท่านฉี่รดหัวข้าถึง 3 ครั้ง คงไม่มากไปหากจะหักแขนของเขาใช่ไหม ?

ไม่เลย ไม่เลยสักนิด

แม่ทัพหลิว คุณชาย 2 คนจากครอบครัวท่านเคยผลักข้าเข้าไปในกองมูลสัตว์ และในอีกเหตุการณ์ต่างหากพวกเขาได้เปลือยร่างกายข้าแล้วโยนข้าลงไปบนถนนทั้งอย่างนั้น นั่นเกิดขึ้นจริงถูกไหม ? คงไม่มากเกินไปหากข้าจะหักขาของเขาใช่ไหม ?

ไม่เลย ไม่เลยแม้แต่น้อย

ท่านทูตเจิ้ง ลูกสาวโสดของเจ้าไม่ได้ทำอะไรข้าเลยเพราะนางรังเกียจที่จะทำให้มือของตัวเองเปรอะเปื้อน แต่นางก็ยุยงเหล่าคนที่ตามจีบนางให้มาระรานข้าไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง และเจ้าก็ทำเหมือนกับไม่เห็นอะไร แต่ข้าจำทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับจิตใจที่พังทลายของข้าได้ ข้าเพียงแค่ใช้สิทธิ์ของข้าเท่านั้น ข้าไม่ได้บังคับให้นางยอมรับข้าด้วยซ้ำ แค่นี้มันมากไปหรือไง ?

ไม่เลย ไม่แม้แต่นิดเดียว

ผู้ช่วยทูตจ่ง ลูกสาวของท่านไม่ได้ทำอะไรข้าแต่ใครบอกให้เจ้ามีลูกสาวที่สง่างามเช่นนี้กัน ? ข้ายัดเยียดตัวเองให้นางก็จริงแต่เจ้าก็สามารถร้องเรียนข้าได้หากเจ้าสามารถ แต่ข้าจะเตือนไว้สักหน่อยว่าทุกอย่างที่เจ้าทำระหว่างโศกนาฏกรรมทางเหนือนั้นเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาข้า ใช่ ในตอนนั้นข้ายังเป็นเพียงไอ้งั่งคนหนึ่ง เจ้าจึงไม่ต้องหลบซ่อนอะไรจากข้า แต่ตอนนี้ข้ากลับมามีสติสัมปชัญญะครบถ้วนแล้วและข้าก็จำได้ทุกรายละเอียด หากเจ้าต้องการพวกเราสามารถไปร้องเรียนกันและกันก็ได้ ข้าเป็นองค์ชายจากราชวงศ์ แม้ว่าข้าจะข่มขืนลูกสาวของเสนาธิการข้าก็อาจถูกจำคุกสักพักแต่ข้าจะไม่ตาย แต่ทางฝ่ายเจ้าด้วยคดีอย่างการฆาตกรรมครอบครัวหนึ่งต้องรับโทษไปถึง 3 ชั่วโคตร… เจ้ายังคิดว่าการกระทำของข้านั้นมากเกินไปอยู่ไหม ?

ไม่เลย เลยจริง ๆ

โทสะของหลี่ต้าวหงต่อเมืองนี้ถูกแสดงออกมาในพฤติกรรมของเขา เขาข่มขู่และหลอกลวงผู้คนตามใจชอบ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าอบรมสั่งสอนเขา หรือจะพูดให้ถูกคือไม่มีผู้ใดสามารถอบรมสั่งสอนเขาได้

เขาได้เหยียดหยามดูถูกลูกของข้ารับใช้หลวงในอาณาจักรทั้งชายหญิงจำนวนมาก ไม่ว่าจะเพื่อแก้แค้นหรือเพราะเขาได้เจอความลับที่พวกเขาปิดบังไว้เพื่อควบคุมพวกเขาก็ตาม ซูเฉินใช้ความมืดบอดของเขาเป็นข้อได้เปรียบ ส่วนหลี่ต้าวหงก็ใช้ช่วงที่เขาสูญเสียความหลักแหลมไปให้เป็นประโยชน์เช่นกัน

แต่เขานั้นไร้ยางอายกว่ามากและใช้งานมันอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนยิ่ง

เหล่าข้ารับใช้หลวงไม่สามารถส่งเสียงบอกความคับข้องในใจได้ และข้ารับใช้บางคนที่ไม่ได้เกรงกลัวต่อหลี่ต้าวหงก็พยายามที่จะต่อต้านด้วยตัวเอง แต่หากข้ารับใช้หลวงต้องการจะเผชิญหน้ากับสมาชิกของราชวงศ์ พวกเขาทั้งหมดจำเป็นต้องร่วมมือกัน หากพวกเขาสามารถจัดการเขาได้หนึ่งต่อหนึ่งแล้วราชวงศ์จะไปมีพลังอะไรกัน ? และเนื่องจากหลี่หวู่อี้รู้สึกผิดต่อบุตรชายของเขาและหลี่ต้าวหงก็กลายเป็นสุดยอดอัจฉริยะแล้ว หลี่หวู่อี้จึงตามอกตามใจเขายิ่งกว่าอะไร และไม่มีคำร้องเรียนใดที่ข้ารับใช้หลวงพูดขึ้นมีประโยชน์อีกต่อไป

ผลที่ออกมาคือคุณชายผู้เสื่อมทรามอย่างถึงที่สุด

หลี่หวู่อี้เคยตำหนิหลี่ต้าวหงไปหลายครั้ง กระทั่งพยายามใช้ชื่อตำแหน่งองค์รัชทายาทเพื่อหลอกล่อให้เข้าปฏิบัติตัวดีขึ้น แต่หลี่ต้าวหงก็ไม่ได้มีความกระตือรือร้นใด ๆ และไม่มีความสนใจที่จะเป็นองค์รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย เขาประกาศว่าตัวเองนั้นเป็นผู้เสียสละ ในขณะที่เขาไม่ได้ใส่ใจสายตาที่เหล่าข้ารับใช้หลวงเลยสักนิด

หลี่หวู่อี้เกือบสิ้นลมหายใจด้วยความโกรธเมื่อหลี่ต้าวหงอ้างว่าเขานั้นเป็น ‘ผู้เสียสละ’ แต่เขาเพียงแค่ลงโทษหลี่ต้าวหงเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดเกิดขึ้นกับเขา

สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นอัจฉริยะ ! และในขณะที่เขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัญหาที่เขาก่อขึ้นก็จะใหญ่หลวงยิ่งขึ้นไปด้วยเช่นกัน

แต่เขาก็ค่อนข้างเจ้าเล่ห์และควบคุมตัวอย่างระมัดระวังเสมอ แม้ว่าจะโกรธผู้อื่นอยู่เสมอ มันก็ยังไม่เคยไปถึงจุดที่ฝ่ายอื่น ๆ ละทิ้งท่าทางที่เคารพและนับถือเสียทีเดียว

เขาเป็นองค์ชาย ทุกคนจึงจำเป็นต้องมีความอดทนการกระทำต่อเขามากยิ่งขึ้น แต่เรื่องเลวร้ายที่เขาก่อขึ้นปีแล้วปีเล่าก็เพียงพอจะให้ผู้อื่นตัวสั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว และไม่ว่าหลี่หวู่อี้จะเฉลียวฉลาดเพียงใด เขาก็ดูจะไม่สามารถจัดการอะไรกับลูกชายคนนี้ได้ เพียงผู้เดียวที่สามารถยืนเคียงข้างกับหลี่ต้าวหงได้จากทั่วทั้ง 7 อาณาจักรคงจะเป็นเจียงป้าหยวนแห่งอาณาจักรประกายวารี ภายนอกอาณาเขตของมนุษย์นั้น มีเพียงอานู๋ปี่ ฝ่าบาทไร้คุณสมบัติของเผ่าคนเถื่อนที่พอจะมีโอกาสกำราบหลี่ต้าวหงในเชิงเผด็จการ แต่ชีวิตของอานู๋ปี่ตอนนี้นั้นอยู่ในอันตราย และเขากำลังถูกโจมตีจากทุกทิศทาง การสละราชสมบัติและบัลลังก์ของเขาจึงเกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก ส่วนหลี่ต้าวหงนั้นยังครอบครองตำแหน่งที่สูงไม่น้อยไว้อย่างเหนียวแน่น

ใช่แล้ว แม้ว่าเขาจะก่อเรื่องชั่วร้ายและป่าเถื่อนมากมาย สถานะของเขาก็ไม่ได้ลดลงแต่กลับจะเพิ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ

ตัวอย่างเช่น เขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มผู้ค้าขายในตอนนี้

ใช่ เขาเป็นหัวหน้า ! ต่างจากกลุ่มผู้ค้าขายอื่น ๆ ที่ลูกชายที่ไร้ประโยชน์จะถูกจัดเป็นอันดับรอง และผู้ที่มีคุณสมบัติก็จะได้ตำแหน่งในการควบคุมกลุ่มไป หลี่ต้าวหงเป็นหัวหน้าจริง ๆ!

แม้ว่าเขาจะโลภ บ้ากาม และดื้อด้าน เขาก็ไม่ได้ขาดคุณสมบัติ

สำหรับหลี่ต้าวหง มันมีเพียงแค่สิ่งที่เขาอยากทำและสิ่งที่เขาไม่อยากทำ ไม่มีสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้

เมื่อเขาต้องการทำสิ่งที่ดี เขาก็จะทำสิ่งที่ดี เมื่อเขาต้องการทำสิ่งที่แย่ เขาก็จะทำสิ่งที่แย่

แต่ส่วนมากแล้วหลี่ต้าวหงต้องการทำเพียงอย่างหลังเท่านั้น ไม่ใช่อย่างแรก

แต่หลี่ต้าวหงก็ดูแลเอาใจใส่ความรับผิดชอบของเขาในฐานะผู้นำของกลุ่มค้าขายนี้อยู่เสมอ

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความร่ำรวยที่ผู้นำกลุ่มค้าขายได้รับ

เพื่อที่จะหาเงินจำนวนมาก หลี่ต้าวหงตัดสินใจที่จะดำเนินงานนี้เป็นอย่างดี

เขาเก่งแค่ไหนนะหรือ ? กลุ่มผู้ค้าขายนี้ที่เคยได้รับหินพลังต้นกำเนิดปีละหลายร้อยล้าน กำลังขาดทุนภายใต้การควบคุมของหลี่ต้าวหง

นี่ไม่ใช่เพราะหลี่ต้าวหงไร้ความสามารถ แต่เพราะเขาเก็บผลกำไรทั้งหมดเป็นของตัวเองเพียงผู้เดียว

เมืองนี้ยอมรับการกระทำของเขา

เพราะเขาไม่ได้ทำลายสัมพันธไมตรีกับเผ่าปักษา และเพราะเขาจัดการเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับคนต่างแดนได้อย่างสวยสดงดงาม เขาจึงได้รับอำนาจการปกครองมาโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย ผู้คนที่รู้วิธีการมีความสุขกับตัวเองสามารถสร้างเพื่อนฝูงได้มากมายเสมอหากพวกเขาต้องการ

เนื่องจากคุณชายคนนี้คอยสร้างความทุกข์ร้อนในบ้านเกิดอยู่เสมอมาแต่ก็ทำงานได้ดีในต่างแดน งั้นทำไมจึงไม่ให้เขาอาศัยอยู่ที่ต่างแดนล่ะ ? ทำไมจะต้องให้เขาก่อกวนบ้านเมืองต่อไปด้วย ?

ดังนั้นแล้วแน่นอนว่าเขาจึงได้รับอนุญาตให้ออกเดินทางท่องเที่ยวต่อไปได้ !

การสูญเสียหินพลังต้นกำเนิดไม่กี่ร้อยล้านก้อนก็ยังเทียบไม่ได้เสียด้วยซ้ำ !