บทที่ 74 ข้ารับใช้หลวง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น”
ในที่สุดซูเฉินก็เข้าใจเหตุผลที่จูเซียนเหยาระมัดระวังตัวจากหลี่ต้าวหง
คนสารเลวที่กล้าก่อปัญหาโดยไม่กลัวสิ่งใด และยังมีกำลังพอที่จะทำตามอำเภอใจอีก เมื่อเผชิญหน้ากับคนเช่นนี้จำเป็นต้องจัดการอย่างระมัดระวังจริง ๆ เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนแบบนี้จะหันกลับมาและสร้างเรื่องอะไรขึ้นเมื่อไหร่
ดังนั้นแม้ว่าจูเซียนเหยาจะไม่ชอบเขามากแค่ไหนแต่ก็ไม่มีอะไรที่นางสามารถทำได้เช่นกัน นางสามารถปฏิเสธเขาและแสดงออกว่าไม่ชอบเขาอย่างชัดเจนได้ แต่นางก็ไม่อาจทำเกินกว่านั้นได้ เพราะกลัวว่าจะเป็นการไปกระตุ้นให้เขาเห็นนางเป็นศัตรู
“ดังนั้นการพูดขัดจังหวะของเจ้าวันนี้ถึงดูไม่ฉลาดเลย เขาอาจจะหันมาสร้างปัญหาให้เจ้า” จูเซียนเหยาเตือนอย่างกังวล
ซูเฉินยิ้ม “เจ้าชายองค์นี้อาจสร้างความวุ่นวายตามอำเภอใจในอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยได้โดยไม่เป็นปัญหา แต่ที่นี่เขาไม่อาจคุกคามข้าได้”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่กลัวเขา แต่อย่าได้ลืมภารกิจของเจ้าในครั้งนี้ เจ้าไม่ควรเปิดเผยตัวตนของเจ้าต่อสาธารณะ มิฉะนั้นภารกิจทั้งหมดอาจถูกยกเลิก” จูเซียนเหยากล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ซูเฉินจำเป็นต้องปกปิดตัวตนของเขาในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วพวกมนุษย์นกจะไม่มีวันปล่อยให้เขาออกจากเมืองไปอย่างมีชีวิตแน่
ความจริงที่ว่าเขาคือปราชญ์ชาญโลก ผู้สร้างทักษะการทะลวงเข้าด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือด นั่นก็เป็นเหตุผลมากเกินพอให้เหล่าเผ่าพันธุ์อื่นจะรวมตัวกันสังหารเขาแล้ว เพราะด้วยงานวิจัยของเขาเป็นสิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับเผ่ามนุษย์ และทำลายสมดุลระหว่างเผ่าในปัจจุบันลง
อันที่จริง เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ได้ตั้งค่าหัวให้ซูเฉินแล้ว ทว่าส่วนใหญ่นั้นเป็นความลับและถูกจำกัดให้เข้าถึงได้โดยกลุ่มชนชั้นสูงในเผ่าของพวกเขาเอง ดังนั้นสามัญชนต่างชาติส่วนใหญ่จึงไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าซูเฉินสามารถพัฒนาทักษะการทะลวงเข้าด่านผลาญจิตวิญญาณโดยไม่พึ่งสายเลือดได้ หากเป็นเช่นนั้นทุกเผ่าพันธุ์คงไม่ลังเลที่จะละทิ้งความเป็นมิตรทั้งหมด เพื่อไล่สังหารเขาอย่างแน่นอน
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือซูเฉินได้พัฒนาวิธีทะลวงเข้าด่านผลาญจิตวิญญาณโดยไม่พึ่งสายเลือดไว้แล้ว ทั้งหมดที่เหลือให้เขาทำในตอนนี้คือการปรับปรุงมันให้เข้าที่เข้าทาง
ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นซูเฉินก็ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของเขาได้ เพราะมันจะทำให้เขาเสียเปรียบในการเผชิญหน้ากับหลี่ต้าวหง
ซูเฉินถอนหายใจเมื่อได้ฟังคำพูดของจูเซียนเหยา “น่าเสียดาย ข้าเกรงว่าถึงข้าจะไม่ยุ่งกับเขา เขาก็จะมายั่วยุข้าเองอยู่ดี ถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่เจ้าพูดแล้ว หลี่ต้าวหงผู้นี้ย่อมเป็นคนจิตใจคับแคบและเจ้าคิดเจ้าแค้น แล้วการที่ข้า ผู้ที่มีสถานะอยู่ต่ำกว่าเขา ทั้งยังกล้าขัดจังหวะเขา เจ้าชายหัวรุนแรงผู้นี้ต้องส่งคนมาฆ่าข้าอย่างแน่นอน”
“นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าไม่ควรอยู่ห่างจากข้า !” จูเซียนเหยากล่าว “ข้ารู้ว่าเขาไม่สามารถลงมือฆ่าเจ้าได้ แต่ถ้าเขาบังคับให้เจ้าโจมตีเขาก่อน เจ้าก็จะแพ้ !”
“ถ้าเขาบังคับให้ข้าโจมตี แล้วข้าจะแพ้ ? น่าสนใจ กล่าวคือเรากำลังพูดถึงความแข็งแกร่งของผู้ใต้บังคับบัญชา ?” ซูเฉินเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ
จูเซียนเหยารู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย “ซูเฉิน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะปล่อยให้อารมณ์ส่งผลต่อการตัดสินใจของเจ้านะ เจ้าไม่สามารถสู้กับเขาได้ !”
“ข้าไม่ได้ใช้อารมณ์นำการตัดสินใจ” ซูเฉินกล่าวอย่างแผ่วเบา “ถ้าอีกฝ่ายเป็นเพียงสวะ ข้าก็อาจจะอดทนกับการกระทำเหล่านั้นให้ แต่หลี่ต้าวหงนั้นต่างไป เพียงแค่ชะตากรรมของเราเชื่อมโยงกันเท่านั้นก็เป็นเหตุผลมากเกินพอให้ข้าต้องจับตัวเขาแล้ว !”
“อะไรนะ ?” จูเซียนเหยาตกตะลึง
ซูเฉินกล่าวว่า “มีบางอย่างที่เจ้าไม่เข้าใจ เซียนเหยา แต่อย่างน้อยข้าก็สามารถบอกเจ้าได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลี่ต้าวหงกับข้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ข้าเชื่อว่าหลี่ต้าวหงเองก็รับรู้เรื่องนี้เช่นกัน ถ้าเขารู้ถึงประสบการณ์ของข้าและรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อจับตัวข้าอย่างแน่นอน… ขอทานเฒ่าคนนั้น… ”
เสียงของซูเฉินเริ่มเบาลง
ในที่สุดจูเซียนเหยาก็เข้าใจบางสิ่ง “งั้นประสบการณ์การตาบอดนั่น ก็ส่งผลกระทบต่อเจ้าอย่างมากสินะ ?”
ซูเฉินไม่ตอบ แต่เป็นผ้าเท่อลั่วเค่อที่พูดขึ้นแทน “หลังจากที่หลังจากที่เขาหายจากอาการตาบอดที่เป็นมา 3 ปี เขาก็ได้รับดวงตาชุดหนึ่งเหมือนกับที่พวกชาวอาร์คาน่ามีมา”
ซูเฉินจ้องไปทางผ้าเท่อลั่วเค่อด้วยความประหลาดใจ
ผ้าเท่อลั่วเค่อกล่าวต่อ “แม้ว่าเจ้าจะไม่เคยบอกเรื่องนี้กับข้า ซูเฉิน… ทว่าหากข้าอยู่กับเจ้ามานานขนาดนี้แล้วไม่สังเกตเห็นอะไรเลย ข้าคงจะเป็นคนงี่เง่าจริง ๆ ข้าเองก็อยากรู้ว่าขอทานเฒ่าคนนนั้นเป็นใคร เหตุใดเขาถึงมอบดวงตาให้เจ้าแล้วมอบสมองของข้ารับใช้หลวงให้หลี่ต้างหงไป”
“สมองของข้ารับใช้หลวง ?” ซูเฉินและจูเซียนเหยาอุทานพร้อมกัน
“ใช่ !” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบยืนยัน “หากข้าเดาไม่ผิดสิ่งที่หลี่ต้าวหงได้คงจะเป็นสมองของผู้รับใช้”
“สมองของข้ารับใช้หลวงคืออะไร ?” จูเซียนเหยาถาม
คราวนี้ซูเฉินเป็นคนตอบ “เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องของข้ารับใช้หลวงมาก่อนใช่ไหม ?”
“ข้ารับใช้หลวง ?” จูเซียนเหยาสับสนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเข้าใจขึ้นมาในทันใด “เป็นพวกเขา”
เหล่าข้ารับใช้หลวงเคยเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์อัจฉริยะและเป็นเผ่าที่ฉลาดที่สุดในตอนนั้น
ว่ากันว่าพวกมันความทรงจำที่ยอดเยี่ยมและความสามารถในการคำนวณที่ทรงพลัง คล้ายกับผลึกวิญญาณของซูเฉิน เพียงแต่ว่าความสามารถในการคำนวณของซูเฉินนั้นได้รับมาหลังจากที่เขาเกิด ในขณะที่ข้ารับใช้หลวงเกิดมาพร้อมกับมัน
อย่างไรก็ตาม เหล่าข้ารับใช้หลวงนั้นกลับต้องประสบชะตากรรมที่น่าเศร้า เพียงเพราะพวกเขาฉลาดอย่างมากไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอยู่ยงคงกระพัน
โดยปกติแล้ว ในการแข่งขันระหว่างปัญญากับความป่าเถื่อน ความป่าเถื่อนมักมีชัยเหนือกว่า
เพราะปัญญานั้นต้องใช้เวลาในการพัฒนา ในขณะที่ความป่าเถื่อนไม่ต้องการเวลาเหล่านั้น
หากจะเปรียบเทียบทั้ง 2 อย่างแล้ว ก็คงกล่าวได้ว่า ความป่าเถื่อนนั้นทรงพลังในช่วงแรก ส่วนปัญญานั้นจะทรงพลังในช่วงหลัง
กรณีของข้ารับใช้หลวง สวรรค์ได้ประทานพรให้พวกเขาเกิดมาพร้อมกับสติปัญญาที่แข็งแกร่งแต่ก็ได้ตัดโอกาสที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งทางกายไป ร่างกายของพวกเขานั้นแข็งแกร่งพอ ๆ กับเผ่าปักษา แต่พวกเขาไม่มีความสามารถในการใช้พลังต้นกำเนิดแบบมนุษย์นก ส่วนพรสวรรค์ในการฝึกฝนก็แย่มากจนสามารถเทียบกับพวกคนเถื่อนได้ แต่ก็ไม่มีร่างกายที่ทรงพลังเท่าคนเถื่อน
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงทำได้เพียงใช้สติปัญญาเพื่อทำหน้าที่เป็นข้ารับใช้ของเผ่าอื่น ๆ และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ว่าทำไมในภายหลังพวกเขาจึงถูกเรียกว่าข้ารับใช้หลวง
ชื่อนี้ยังเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับลักษณะอื่นของพวกเขาด้วย นั่นคือความเย่อหยิ่ง
ในสายตาของพวกเขา เผ่าพันธุ์อื่นล้วนแล้วแต่เป็นพวกโง่เขลา มีเพียงร่างกายที่แข็งแรงแต่ไม่มีสมอง ไม่สมควรที่จะเป็นผู้ปกครองคนเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุผลนี้ พวกเขาจึงแสร้งเป็นข้ารับใช้แค่ในนาม และพยายามสร้างแผนลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเขาทำสำเร็จ
ทว่าแม้แต่คนที่ฉลาดที่สุดก็ยังทำผิดพลาดเป็น แล้วนับประสาอะไรกับคนฉลาดทั้งเผ่าในช่วงเวลาที่ทอดยาวหลายพันปี
ทุกครั้งที่พวกเขาคำนวณผิด มันก็จะนำพาความพินาศมาสู่เผ่าพันธุ์ของพวกเขา และบังคับให้พวกเขาต้องเปลี่ยนนายอยู่เรื่อย ๆ
ด้วยเหตุนี้ข้ารับใช้หลวงจึงเปลี่ยนมือจากชาวอาร์คาน่าไปยังคนเถื่อน จากนั้นก็มนุษย์นก มนุษย์ แม้กระทั่งเหล่าราตรีชนที่เคยทรงพลัง ปีศาจและช่างโลหะ พวกเขาเปลี่ยนผู้สนับสนุนอย่างรวดเร็ว จนทุกคนทำได้เพียงแต่อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาฉลาด ปลิ้นปล้อน ไร้ซึ่งความซื่อสัตย์ ทำให้ลักษณะเฉพาะของพวกเขาเหมาะสมกับชื่อของพวกเขามาก แล้วในที่สุดเผ่าอันแสนฉลาดนี้ก็มาถึงจุดที่ไม่มีใครเหลือให้พวกเขาหันไปหาได้แล้ว
นี่เป็นเพราะไม่มีเผ่าพันธุ์ใดที่ชื่นชอบพวกเขาอีกต่อไป
ทุกเผ่าพันธุ์ต้องการทำลายพวกเขา
ผลลัพธ์สุดท้ายเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็สามารถจินตนาการได้อย่างง่ายดาย พวกเขาถูกเม็ดทรายแห่งกาลเวลากลืนกินและกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับพวกชาวอาร์คาน่า
ซูเฉินกับจูเซียนเหยาต่างก็เข้าใจสิ่งที่ผ้าเท่อลั่วเค่อพยายามจะพูดเมื่อเขากล่าวถึงข้ารับใช้หลวงแล้ว
หลี่ต้าวหงมีความทรงจำที่ยอดเยี่ยมและก็ฉลาดอย่างน่าเหลือเชื่อ นอกจากนั้นเขายังมีบุคลิกภาพที่ชั่วร้าย แต่เขาก็รู้วิธีที่จะเคารพสิ่งสำคัญของผู้อื่น แต่ระหว่างทางก็ยังไม่ลืมที่จะเก็บเกี่ยวรางวัลให้ตัวเอง เขาสามารถเลือกทำสิ่งที่ดีได้ แต่กลับเลือกเส้นทางที่เสี่ยงกว่าเสมอ… ไม่ใช่ว่านี่ตรงกับบุคลิกของข้ารับใช้หลวงหรอกหรือ ?
หลี่ต้าวหงจะต้องได้รับสมองของข้ารับใช้หลวงไปอย่างแน่นอน
หลังจากฟังคำพูดของผ้าเท่อลั่วเค่อแล้ว ในที่สุดจูเซียนเหยาก็ได้รับรู้ว่าซูเฉินได้รับดวงตาของชาวอาร์คาน่ามาหลังจากที่เขาตาบอด ทำให้เขาสามารถมองเห็นโลกระดับจุลภาคได้ ไม่น่าแปลกใจที่เขาสามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์มากมายขึ้นมาได้
แต่ทำไมขอทานเฒ่าถึงให้พลังพวกนี้กับซูเฉินและหลี่ต้าวหงกัน ? นี่เป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้จริง ๆ ไม่ว่ายังไงก็ตาม พลังของชายชราผู้ที่สามารถสับเปลี่ยนแทนที่ดวงตากับสมองได้นั้นจะต้องลึกลับอย่างแน่นอน เหมือนอย่างที่ซูเฉินกล่าว ‘มันเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะทำเช่นนั้นได้’
“ราวกับว่ามีดวงตาเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของข้าจากด้านบนอยู่ตลอดเวลา” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“เจ้าคิดว่ามีใครบางคนกำลังจัดฉากเรื่องนี้อยู่เบื้องหลังงั้นหรือ ?” จูเซียนเหยาถามด้วยความสงสัย
“ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าชะตากรรมของข้าเป็นของตัวข้าคนเดียว ไม่ใช่ของสวรรค์ !” ซูเฉินกำหมัดแน่น
เขาไม่รู้ว่าขอทานเฒ่าผู้นั้นเป็นใคร แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะขอบคุณอีกฝ่าย แล้วก็ไม่ได้คิดที่จะยอมโดนทางนั้นปั่นหัวเล่นด้วย ไม่ว่าขอทานเฒ่าคนนั้นจะเป็นใคร ซูเฉินก็คือซูเฉิน และเขาจะเดินไปตามทางของเขาเอง
แน่นอนว่าเขาก็ยังคงสงสัยเกี่ยวกับสถานการณ์ของหลี่ต้าวหงอยู่
เพราะบางทีเขาอาจพบคำตอบที่เขากำลังมองหาจากอีกฝ่ายก็เป็นได้
ดังนั้นซูเฉินจึงหวังว่าหลี่ต้าวหงจะมาสร้างปัญหาให้ตน เพื่อที่จะได้โจมตีเขากลับได้ด้วยความชอบธรรม
ในเมื่อเขาคิดเช่นนั้นแล้วแม้ว่าซูเฉินจะไม่พบโอกาส แต่เขาก็จะพยายามสร้างโอกาสให้หลี่ต้าวหงอยู่ดี
เขาพูดกับจูเซียนเหยา “พวกเจ้ากลับไปกันก่อนได้เลย ข้ากับผ้าเท่อลั่วเค่อจะเดินดูรอบ ๆ ต่อ”
ผ้าเท่อลั่วเค่อเป็นหุ่นเชิดสื่อสาร ดังนั้นเขาจึงมีความสามารถในการบันทึกติดตัวอยู่แล้ว หากซูเฉินต้องการจัดการกับเจ้าชายของเลี่ยวเยี่ย ก่อนอื่นเขาก็ต้องหาวิธีที่มันดูสมเหตุสมผล ความสามารถในการบันทึกเหล่านี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อทุกแผนการ
จูเซียนเหยารู้ว่าเรื่องนี้สำคัญกับซูเฉินมาก นางจึงไม่ได้พยายามที่จะหยุดเขาอีก ทั้งหมดที่นางพูดคือ “พยายามอย่าฆ่าเขา”
“ข้าเข้าใจ” ซูเฉินพยักหน้า
ในอาณาเขตของเผ่าปักษามีมนุษย์อยู่ไม่มากนัก หากซูเฉินฆ่าหลี่ต้าวหงไปโต้ง ๆ มันจะเป็นเรื่องง่ายมากที่คนของอีกฝ่ายจะระบุว่าเขาเป็นผู้ลงมือ
แต่การที่ซูเฉินไม่สามารถฆ่าหลี่ต้าวหงได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะจับตัวเขามาไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซูเฉินก็จะขุดเอาข้อมูลที่เขาต้องการมา
ซูเฉินกล่าวลาจูเซียนเหยาและเริ่มเดินไปรอบ ๆ ตลาดพร้อมกับหุ่นเชิดสื่อสาร ราวกับว่าเขากำลังใช้มันเพื่อค้นหาวัสดุที่มีค่าตามคำสั่งของเขา
ในขณะที่เดินไปรอบ ๆ อย่างสุ่ม ๆ ทันใดนั้นก็มีกลุ่มมนุษย์นกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาและพูดว่า “มนุษย์ หุ่นของเจ้าน่าสนใจมาก ดูเหมือนว่ามันจะเป็นของที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยโบราณ ข้าไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นหุ่นเชิดโบราณเช่นนี้ยังเดินไปเดินมาได้ บังเอิญว่าข้ากำลังค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับหุ่นเชิดอยู่ เจ้าช่วยขายมันให้ข้าได้หรือไม่ ?”
“ขออภัยด้วย มันไม่ได้มีไว้ขาย” ซูเฉินกล่าวพร้อมส่ายหัว
การแสดงออกของมนุษย์นกดูแย่ลงทันที “มนุษย์ นี่คืออาณาเขตของเผ่าปักษา เจ้าควรคิดให้รอบคอบก่อนตอบอีกครั้ง”
“แน่นอน” ซูเฉินเหลือบมองอีกฝ่าย เดินเข้าไปแล้วพูดใส่หน้าเขาตรง ๆ “เจ้าได้ยินข้าไม่ชัดหรือ ? เช่นนั้นข้าจะพูดให้ฟังอีกครั้ง มันไม่ได้มีไว้ขาย !”
มนุษย์นกผู้ที่ไม่เคยคิดว่าซูเฉินจะก้าวร้าวขนาดนี้โกรธจนหน้าซีด “ช่างหยิ่งผยอง ! เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มการค้าใดกัน ข้าจะทำให้พวกเจ้าทำธุรกิจที่นี่ไม่ได้อีกให้ดู !”
“ถ้าเจ้ามีความสามารถเช่นนั้นก็ลองดู” ซูเฉินเยาะเย้ยอย่างเย็นชา
พวกมนุษย์นกได้นำนางพญากลับมาด้วยแล้ว แต่น่าเสียดายที่นางพญายังคงต้องการแร่ทองดาราเป็นอาหาร และมันก็ขุดหาได้จากเมืองนภาลัยราบเท่านั้น
แม้แต่ตัวหยงเยี่ยหลิวกวงเองก็ยังไม่กล้าพูดว่าจะหยุดการค้าเช่นนี้
ยิ่งคนที่ตัวเล็กเท่าไรก็ยิ่งชอบคุยโม้ ซูเฉินเมินอีกฝ่ายไปอย่างสมบูรณ์และหันหลังกลับเพื่อจากไป
“หาที่ตาย !” เมื่อมนุษย์นกเห็นว่าซูเฉินไม่สนใจ เขาก็เดือดดาลขึ้นและพุ่งเข้าใส่ซูเฉินในทันทีโดยไม่คิดอะไรเลย