ภาคที่ 5 บทที่ 75 นักรบสละชีพ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 75 นักรบสละชีพ

ซูเฉินทำผิดพลาด

เขาประเมินความอดทนของมนุษย์นกผู้นี้ไว้สูงเกินไป

ในมุมมองของเขา การโจมตีมนุษย์ในที่สาธารณะเช่นนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างเผ่าปักษากับมนุษย์ โดยพื้นฐานแล้วการกระทำที่จะสร้างปัญหาเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ความคิดที่ดีอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับที่ในหมู่คนเถื่อนยังมีคนฉลาด ในหมู่มนุษย์นกของเผ่าปักษาก็มีคนงี่เง่าเหมือนกัน

ซูเฉินไม่ได้คาดคิดเลยว่ามนุษย์นกตรงหน้านี้จะโจมตีเขาก่อน

ไม่ใช่ว่าซูเฉินไม่สามารถหลบการโจมตีนี้ได้ แต่เขายังไม่ได้จัดการกับหลี่ต้าวหง หากเขาต้องลงไม้ลงมือกับคู่ต่อสู้คนนี้ หลี่ต้าวหงกับคนของเขาอาจจะไหวตัวทันได้

ดังนั้นเขาจึงไม่หลบ แต่ปล่อยให้คู่ต่อสู้จับตัวเขา

ขณะที่เขากำลังจะถูกจับ ความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนแวบเข้ามาในหัวของซูเฉิน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจในที่สุด

เขากล่าวว่า “มันไม่ได้มีไว้ขาย แต่ถ้าเจ้าอยากได้ก็เอาไปเถอะ”

“หือ ? เจ้าหมายความว่ายังไง ? ไม่ได้มีไว้ขายแต่เต็มใจยกให้ ?” มนุษย์นกตกตะลึง

“อย่างที่เจ้าได้ยิน” ซูเฉินตอบ

เปลวเพลิงแห่งความโกรธของมนุษย์นกดับลงในทันที มือที่คว้าจับเขาไว้แน่นคลายออกแล้วตบไหล่ซูเฉิน 2-3 ครั้ง เขาหัวเราะ “ฮ่าฮ่า ไม่เลว ไม่เลว ! เจ้าดูฉลาดมาก !”

ในสายตาของคนอื่นนั้นดูเหมือนว่ามนุษย์นกให้กำลังใจและชื่นชมการกระทำของซูเฉิน

ซูเฉินหันไปพูดกับผ้าเท่อลั่วเค่อว่า “เจ้าไปกับเขา ทิ้งแผ่นบันทึกไว้ให้ข้า”

ผ้าเท่อลั่วเค่อเข้าใจ ก่อนจะหยิบแผ่นบันทึกออกมาแล้วยื่นให้เขาแล้วจากไป

ซูเฉินไม่ได้กังวลว่าอีกฝ่ายจะพาผ้าเท่อลั่วเค่อไปที่ไหน เพราะพวกเขาเชื่อมโยงกันอยู่ดังนั้นเขาจึงสามารถค้นหาตำแหน่งของอีกฝ่ายได้เสมอ อย่างไรก็ตาม มนุษย์นกผู้นี้ไม่เปิดให้โอกาสเขาได้ใช้ความสามารถนั้น อีกฝ่ายโยนป้ายหยกให้เขาและกล่าวว่า “ที่อยู่ของข้าเขียนไว้อยู่บนนั้น ถ้าเจ้าต้องการอะไรก็มาหาข้าที่นั่น”

อะไรนะ ?

สถานการณ์นี้มันอะไรกัน ?

ซูเฉินเหลือบมองป้ายหยกในมือ มันให้สัมผัสที่ราบลื่นอุ่นมือเห็นได้ชัดว่าเป็นของมีคุณภาพสูง เขาเอามือลูบไปตามรูปแบบที่ซับซ้อนด่านหน้า มันเป็นอักขระสลักเอาไว้ว่าตงชิง

“ตระกูลตงชิง ?” ซูเฉินเลิกคิ้วขึ้น

เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับตระกูลนี้มาก่อน พวกเขาเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งของเผ่าปักษา แต่ก็อย่างที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ ชนชั้นสูงของเผ่าพันธุ์นี้ไม่มีค่าอะไรมากขนาดนั้น เฉพาะการจัดอันดับระหว่างตระกูลเท่านั้นที่สำคัญ ดังนั้นซูเฉินจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก

เมื่อผ้าเท่อลั่วเค่อถูกพาตัวไปแล้ว ซูเฉินที่เหลืออยู่ตัวคนเดียวก็เดินเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครอยู่

เมื่อซือหลี่เห็นซูเฉินเดินเข้าไปในตรอก เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ใช่ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เขาเข้าใจบุคลิกของนายท่านของเขาเป็นอย่างดี

เนื่องจากนายของเขาบอกให้เขาลงมือจัดการกับซูเฉินเป็นการส่วนตัว เขาจึงไม่อาจดึงใครเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ มิฉะนั้น มันจะกลายเป็นว่าเขาทำงานล้มเหลวและไร้ความสามารถ

หลี่ต้าวหงเป็นคนโลภ เห็นแก่ตัว มักมาก บ้าบิ่นและหยิ่งผยองแต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่าเขาไร้ความสามารถ เขายอมรับคนได้ทุกประเภทยกเว้นก็แต่คนไร้ความสามารถ สิ่งที่เขาสั่งให้ทำผลลัพธ์ก็จะต้องออกมาได้ดี

เมื่อซือหลี่เห็นว่าซูเฉินยั่วยุชนชั้นสูงเผ่าปักษา เขาก็รู้สึกตกใจไม่น้อย เพราะเขารู้จักนิสัยของมนุษย์นกผู้นี้ดีไม่เหมือนซูเฉิน

บุคคลผู้นี้เป็นคนที่ไร้ความกลัวและหุนหันพลันแล่น เขาไม่เคยสนใจผลที่ตามมาจากการกระทำของตนเลยแม้แต่น้อย

โชคดีที่ซูเฉินค่อนข้างมีไหวพริบและยอมมอบหุ่นเชิดให้อีกฝ่ายไป ทำให้งานของซือหลี่ง่ายขึ้นมาก

หลังจากที่เห็นว่าซูเฉินเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ แล้ว ซือหลี่ก็รีบตามไป

เขาจำเป็นต้องกำจัดอีกฝ่ายให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดอีก

แต่เมื่อเขาเข้าไปในตรอก ซือหลี่ก็เห็นซูเฉินยืนอยู่ตรงนั้น กำลังจ้องกลับมาที่เขา

ซือหลี่ผงะไปชั่วขณะ “กลายเป็นว่าเจ้าเตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว แน่ล่ะ เจ้าเป็นถึงผู้ที่สามารถยืนเคียงข้างคุณหนูจู และทำได้แม้กระทั่งขัดการสนทนาได้อย่างไหลลื่น เจ้าก็ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว”

ซูเฉินกล่าวอย่างดูถูก “ข้าพูดแทรกบทสนทนาของนางแล้วอย่างไร ? แม้แต่ตัวนางข้าก็แทรกเข้าไปแล้ว”

ซือหลี่ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อสักเท่าไหร่ แต่การแสดงออกของเขาก็ยังดูแย่อยู่ดี “เจ้ากล้าดูหมิ่นคุณหนูของเจ้าเองงั้นหรือ ? ช่างกล้าหาญเสียนี่กระไร”

ขณะที่พูดเขาก็พุ่งเข้าหาซูเฉินด้วยความเร็วอย่างยิ่ง

เขาพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงสุดจนดูราวกับสายฟ้า ซือหลี่คืนคนที่ได้รับเลือกให้อยู่เคียงข้างตัวหลี่ต้าวหง ก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะมีพรสวรรค์บางอย่าง

น่าเสียดายที่คู่ต่อสู้ของเขาไม่คู่ควรที่จะได้รับรู้ว่าความเร็วสูงสุดของเขาเร็วเพียงใด

เขาคงไม่มีแม้แต่เวลาให้มาคิดเรื่องแบบนั้น

เขาปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของซูเฉินและกำลังจะฟาดคอของฝ่ายตรงข้ามอย่างดุร้าย ทันใดนั้นเขาก็เห็นซูเฉินขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อย

ซูเฉินชำเลืองมองเขา

ด้วยความเร็วของซือหลี่ ทุกสิ่งรอบตัวเขาจึงเคลื่อนไหวช้าลง มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยืนอยู่คนเดียวในโลกที่ราวกับถูกแยกออกมานี้

แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับเห็นซูเฉินหันศีรษะมาด้วยความเร็วปกติและเหลือบมองเขา

การสบตาเพียงชั่วครู่ ทำให้ซือหลี่ตกตะลึงอย่างมาก

ไม่ดีแล้ว !

ปัง !

พริบตาต่อมาซือหลี่ก็ถูกส่งกระเด็นลอยออกไป เขาหมุนตัวไปในอากาศหลายครั้งก่อนที่จะร่วงลงสู่พื้น

“น่าสนใจ นั่นช่างดูคล้ายกับความสามารถของสายเลือดเพียงพอนอัสนีบาตเลย ?” ซูเฉินพึมพำ “มีค่าให้ทดลอง”

ซือหลี่รู้ตัวในทันทีว่าเขามาเตะเจอแผ่นเหล็กเข้าแล้ว

เขาไม่สนใจอาการวิงเวียนจากการพลิกตัวไปมาในอากาศหลายครั้งและลุกขึ้นมา ก่อนจะวิ่งตรงไปที่ทางออกของตรอก นี่คือข้อดีของพวกที่มีความเร็วสูง จะรุกก็ได้ จะหนีก็ได้ ไม่มีใครสามารถตามทันเขา

อย่างไรก็ตาม ซูเฉินเพียงแค่ส่งเสียงขึ้นเบา ๆ

จากนั้นจู่ ๆ ซือหลี่ก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาหนักอึ้ง ฝีเท้าของเขาก็ช้าลงจนแทบจะไม่ขยับ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการไหลของอากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไป มันให้ความรู้สึกเหมือนกับเมือกเหนียวที่ไม่อาจสลัดออกได้

ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความเร็ว สิ่งที่ซือหลี่เกลียดมากที่สุดก็คืออากาศ แรงต้านจากอากาศที่มองไม่เห็นเป็นคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา ผู้ที่มีสายเลือดที่เกี่ยวข้องกับความเร็วมักจะมีชุดทักษะเฉพาะเพื่อรับมือกับแรงต้านลมเหล่านี้ แต่ตอนนี้ของเหล่านั้นกลับไม่มีประโยชน์อีกต่อไป

แรงดันอากาศโดยรอบเริ่มเพิ่มขึ้นโดยมีซูเฉินเป็นศูนย์กลาง ภายใดแรงดันนี้ความหนาแน่นของอากาศและความหนืดที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้อากาศวนไหลเข้ามาจากภายนอกอย่างต่อเนื่อง และหายไปอย่างสมบูรณ์เมื่อวนไปเมื่อถึงจุดสิ้นสุดของกระแส หลอมรวมกลายเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมที่มีความกดอากาศสูง หากมองลงมาจากด้านบน มันจะดูราวกับกระแสน้ำวนขนาดย่อม ๆ

แต่เพราะการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นกับอากาศ มันจึงยากที่จะสังเกตได้ด้วยตาเปล่า

สิ่งที่ผู้คนอยู่นอกระยะหวังผลของทักษะจะสัมผัสได้มีเพียงแค่ลมพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ ความกดอากาศภายในยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ยากต่อการเคลื่อนไหวยิ่ง

นี่คือวิชาของฉือไคฮวง… สุเมรุสูญ !

มันคือทักษะที่ใช้ปิดผนึกศัตรูจากพื้นที่โดยรอบ นับเป็นวิชาที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้ที่เชี่ยวชาญด้านความเร็ว ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของซือหลี่ถูกยกเลิกในทันที ยิ่งเร็วมากเท่าไรก็ยิ่งกดดันมากขึ้นเท่านั้น ทุกย่างก้าวของเขารู้สึกราวกับกำลังวิ่งชนกำแพงอิฐ

ซือหลี่เดินต่อได้เพียงไม่กี่ก้าว แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยเลือด

“สุเมรุสูญ ! นี่มันสุเมรุสูญ… เจ้า… ” ซือหลี่ตะโกนด้วยความตกตะลึง “เจ้าคือซูเฉิน !”

“หืม ? ดูเหมือนว่านายท่านของเจ้าจะศึกษาเรื่องของข้ามาพอสมควรนะ” ซูเฉินเลิกคิ้ว

แม้สุเมรุสูญจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่ทักษะหนึ่งเดียวที่มีความสามารถในการปิดผนึกพื้นที่ได้

การที่ซือหลี่ตัดสินทักษะและอัตลักษณ์ของซูเฉินได้ทันทีที่เขาลงมือ บอกได้เพียงว่าตัวเขาไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับซือหลี่อย่างแน่นอน และเมื่อพิจารณาถึงโชคชะตาที่พิเศษของหลี่ต้าวหงแล้ว จึงเป็นไปได้อย่างยิ่งที่กระบวนการคิดของอีกฝ่ายจะเหมือนกับของซูเฉิน

และเมื่อเป็นเช่นนั้น หลี่ต้าวหงจะรวบรวมข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับซูเฉินมาก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก

อันที่จริง การที่เขาไล่ตามจูเซียนเหยา อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับซูเฉินด้วยสูงมาก

ซือหลี่เองไม่เคยคิดว่าตนจะวิ่งมาชนเข้ากับเขาอย่างกะทันหันแบบนี้เช่นกัน

เพราะเขาเข้าใจซูเฉินเป็นอย่างดี จนเขารู้ว่าช่องว่างระหว่างเขากับอีกฝ่ายมันมีมากเกินไป

ใช่แล้ว เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารเหมือนกัน แต่กลับอยู่ในระดับที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง !

ในเวลานี้ ซือหลี่ไม่ได้คิดที่จะสู้อีกต่อไป เขาแค่อยากจะหนีจากที่นี่และไปแจ้งนายท่านของเขา แค่นำข่าวนี้กลับไปได้ก็ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แล้ว !

พวกเขากำลังอยู่ในตรอกและพวกมนุษย์นกก็กำลังเดินไปมาอยู่ด้านนอก หากพวกเขาเริ่มต่อสู้และทำให้พวกมนุษย์นกตกใจ ซูเฉินอาจลังเลที่จะโจมตีจากนั้นเขาก็จะมีโอกาสให้หลบหนีไป อีกทั้งสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเปิดเผยตัวตนของอีกฝ่ายและอาศัยมือเผ่าปักษามาสังหารซูเฉินได้ด้วย

เขารู้ดีว่านายท่านของเขากลัวและเกลียดชังตัวตนของซูเฉินมากแค่ไหน

ด้วยเหตุนี้ ซือหลี่จึงทุ่มสุดกำลังถึงแม้ว่าหัวของเขาจะอาบไปด้วยเลือดแล้วก็ตาม เขาเปิดใช้งานพลังต้นกำเนิดอย่างเต็มที่ เขาไม่ได้หวังว่าพลังของเขาจะแข็งแกร่งกว่าซูเฉิน เขาต้องการเพียงแค่หยุดยั้งอีกฝ่ายไว้ชั่วครู่เท่านั้น

มีคำกล่าวที่ว่าแพ้ทางอยู่ ด้วยหากเป้าหมายที่ ‘อ่อนแอ’ นั้นแข็งแกร่งเกินไป พวกเขายังคงสามารถหลบหนีจากการควบคุมของศัตรูได้อยู่

ดั่งเช่นปลาที่กำลังดิ้นรนอยู่ในอวนเอง ก็ยังสามารถหลุดพ้นจากอวนแล้วหนีกลับคืนสู่ทะเลได้

ด้วยเหตุนี้ เมื่อซูเฉินเห็นว่าซือหลี่พยายามใช้กำลังหนีออกจากสุเมรุสูญ เขาตระหนักว่าการต่อสู้ได้มาถึงจุดตัดสินแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งแลกหมัดกันไปเพียงไม่กี่ครั้งก็ตาม !

ซือหลี่ระเบิดพลังออกมาอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากสุเมรุสูญ แท่นบงกชของเขาเริ่มส่องแสงเจิดจ้าออกมา และเริ่มต่อต้านข้อจำกัดของพื้นที่ สุเมรุสูญของซูเฉินเริ่มบิดเบือนจากการโจมตีที่รุนแรงของซือหลี่ ขณะที่ความกดอากาศอันทรงพลังพบกับการต่อต้านที่ไม่เคยมีมาก่อน กระแสลมเองก็เริ่มค่อย ๆ ช้าลง

“นี่เขา… ” ซูเฉินตกตะลึงกับความพยายามที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันของคู่ต่อสู้

แต่มันก็เป็นเพียงความประหลาดใจ

จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างเย็นชาพลางกำมือเข้าอย่างช้า ๆ ในเวลาเดียวกันสุเมรุสูญก็เริ่มหดตัวลง

ถึงแม้ว่าฉือไคฮวงจะเป็นผู้คิดค้นสุเมรุสูญแต่ซูเฉินก็เป็นฝ่ายที่เชี่ยวชาญในการใช้งานมากกว่า สุเมรุสูญของฉือไคฮวงส่วนใหญ่แล้วจะใช้เพื่อสนับสนุนไม่ใช่เพื่อทำร้ายหรือทำใครบาดเจ็บ ทว่าภายใต้การควบคุมของซูเฉิน พลังบีบอัดได้ซ้อนทับกันและเพิ่มพลังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไปแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นก็ได้กลายเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง ทำให้สุเมรุสูญที่เดิมเป็นทักษะต้นกำเนิดเพื่อสนับสนุนเปลี่ยนไปเป็นทักษะที่สามารถใช้สร้างความเสียหายได้จริง

ขณะที่ซูเฉินกระชับรัศมีของสุเมรุสูญ ขอบเขตที่เคยเป็นดั่งกำแพงอิฐก็เปลี่ยนไป ซือหลี่รู้สึกเหมือนกำลังพุ่งเข้าใส่กำแพงเหล็กกล้า การทับซ้อนหลายชั้นกลายเป็นสิ่งปิดกั้นเส้นทางของเขา ยิ่งเขาวิ่งไปได้ไกลเท่าไหร่ ก็ยิ่งก้าวต่อไปได้ยากขึ้นเท่านั้น

แต่ซือหลี่ก็ยังคงพุ่งไปข้างหน้า !

เพราะเขาถูกเรียกว่าซือหลี่ !

ไม่ใช่เพราะนามสกุลซือของเขามีความหมายว่าตาย แต่เป็นเพราะเขาคือนักรบสละชีพของหลี่ต้าวหง

ดังนั้นเขาจึงไม่อาจล่าถอยและทำได้เพียงตายในสนามรบเท่านั้น

ซือหลี่พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง สายตาของเขาแผดเผาด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ในตอนนี้เขาไม่ได้คิดที่จะหลบหนีให้รอดพ้นจากสถานการณ์นี้อีกต่อไป ซือหลี่รู้ตัวดีว่าเขาหนีไม่พ้นแล้ว แต่เขาก็ยังพยายามพุ่งชนไม่หยุด แม้จะเป็นเพียงเสียงเล็ก ๆ อย่างน้อยหากทำให้เผ่าปักษาที่อยู่ด้านนอกตรอกตกใจได้ก็เกินพอ

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองตายลงที่นี่พร้อมกับข้อมูลที่ค้นพบได้

เขาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องส่งต่อข้อมูลนี้ให้กับนายท่านของเขา !

นั่นคือความคิดสุดท้ายของซือหลี่

เพื่อเป้าหมายสุดท้ายนี้ เขาจึงยังคงทุ่มสุดตัวต่อไป !

แม้แต่ซูเฉินเองก็ยังประหลาดใจกับจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขา

“ช่างเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์จริง ๆ น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจปล่อยให้เจ้าทำสำเร็จได้” ด้วยความเคารพต่อซือหลี่ ความคิดจะปล่อยเขาไปถึงกับวาบขึ้นในหัวซูเฉินอยู่ชั่วครู่

ในจังหวะที่ซูเฉินกำลังจะฆ่าซือหลี่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เขาต้องร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ