ภาคที่ 5 บทที่ 76 สัมผัสมิติว่าง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 76 สัมผัสมิติว่าง

ที่ซูเฉินประหลาดใจเป็นเพราะพบกับบางสิ่งบางอย่างที่บิดเบือนวิสัยทัศน์บริเวณด้านหน้าของเขา

มันเป็นการบิดเบือนที่แปลกประหลาดเกินจะอธิบายด้วยคำพูดได้

ความผันผวนที่แปลกประหลาดพวยพุ่งออกมาจากสุเมรุสูญ มันเป็นผลมาจากความพยายามที่จะหลบหนีอย่างบ้าคลั่งของซื่อหลี คลื่นแปลกประหลาดนี้ปรากฏขึ้นต่อหน้าของซูเฉินโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว

เขาไม่เคยเห็นความผันผวนเช่นนี้มาก่อน พวกมันบิดเบี้ยวราวกับเงาประหลาด อย่างกับกำลังบอกซูเฉินว่ามีโลกใหม่อีกใบอยู่ที่นี่… ตรงหน้าเขา !!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ แม้ว่าซูเฉินจะยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เขารู้สึกได้ว่าความผันผวนเหล่านี้จะต้องเกี่ยวข้องกับความลับเบื้องหลังห้วงมิติอย่างแน่นอน

หากจะกล่าวว่าความชำนาญการรบของผู้อื่นก้าวหน้าขึ้นได้ในระหว่างการต่อสู้แล้วไซร้ วิสัยทัศน์ของซูเฉินเองก็ได้ก้าวหน้าขึ้นในระหว่างการต่อสู้เช่นกัน

ย้อนกลับไปเมื่อยามที่อยู่ในสนามรบ ณ แดนคนเถื่อนเขาได้ค้นพบกระแสพลังต้นกำเนิด ณ ที่นั่น ทำให้เขาสามารถเพิกเฉยต่อผลกระทบที่วุ่นวายจากพลังต้นกำเนิดที่ปั่นป่วนได้ และตอนนี้เขาสามารถก้าวไปอีกขั้นหนึ่งเพื่อมองดูความลับของแดนพลังสูญได้แล้ว

การค้นพบนี้ทำให้ซูเฉินรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก แม้แต่ความอยากสังหารซื่อหลีเองก็ลดฮวบลงไปทันที ถ้าเป็นไปได้ เขาหวังจริง ๆ ว่าซื่อหลีจะพยายามหลบหนีต่อไป เพื่อให้เขาได้สังเกตสถานการณ์มากขึ้นอีก

เนตรมองโลกจุลภาคถูกใช้ออกอย่างเต็มกำลัง เขาบันทึกทุกฉากของความผันผวนเบื้องหน้าลงไปในความทรงจำ เพื่อที่จะสามารถย้อนกลับไปวิเคราะห์อย่างละเอียดภายหลังได้

นอกจากนี้ซูเฉินเริ่มควบคุมสุเมรุสูญราวกับจะให้โอกาสซื่อหลี แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปจริง ๆ

ซื่อหลีไม่ได้สังเกตถึงความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปของซูเฉินเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดที่เขารู้ คือดูเหมือนว่าเขากำลังจะประสบความสำเร็จในการหลบหนี พื้นที่ที่ตนสามารถเคลื่อนไหวได้เองก็ดูจะกว้างขึ้น บางทีหากพยายามมากกว่านี้อีกสักหน่อยเขาอาจจะหลบหนีออกไปได้ก็เป็นได้ สำหรับซูเฉิน ซื่อหลีมองว่าคงจะมีบางสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายเสียสมาธิไป สถานการณ์ในยามนี้ดูดีอย่างมาก ดังนั้นซื่อหลีจึงพยายามหลบหนีด้วยความกระตือรือร้นและมีชีวิตชีวา

ขณะที่ซื่อหลีทุ่มพลังทั้งหมดของเขาเพื่อทะลวงออกไป พลังชีวิตของเขาก็ได้ส่งผลกระทบให้ความผันผวนยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

แน่นอนว่ามีเพียงแค่ซูเฉินที่มองเห็นความผันผวนเหล่านี้ พวกมันจึงมีความหมายยิ่งยามอยู่ภายใต้ในสายตาของซูเฉินเท่านั้น

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น… มันเป็นเช่นนั้นนี่เอง !” ดวงตาของซูเฉินทอประกายด้วยความหลงใหล

เขากำลังสังเกต ทำความเข้าใจและวิเคราะห์

หลายสิ่งหลายอย่างที่ซูเฉินเคยไม่เข้าใจ ในที่สุดก็กระจ่างขึ้นผ่านการเฝ้ามองความผันผวนนี้แล้ว

เมื่อใครสักคนมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น มุมมองของพวกเขาก็จะเหนือยิ่งไปกว่าคนอื่น

ใช่แล้ว เป็นเช่นนั่นแหละ

ซูเฉินตะโกนในใจด้วยความตื่นเต้น

ซื่อหลียังคงพยายามหลบหนีอย่างบ้าคลั่งต่อไป แต่พลังที่เพิ่มขึ้นของเขาเริ่มค่อย ๆ หายไปทีละน้อยแล้ว

ทำไม ? เหตุใดถึงยังไม่สามารถออกไปได้อีก ?

ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน มันก็ดูเหมือนมีแผ่นฟิล์มบาง ๆ ขวางกั้นเขาไม่ให้หลบหนีอยู่รอบตัวเสมอ ราวกับว่าตราบเท่าที่เขาพยายามมากขึ้น เขาก็จะสามารถออกไปได้ แต่สิ่งที่เขาทำไปกลับดูไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับกำแพงบาง ๆ นี้เลย

สิ่งนี้ทำให้ซื่อหลีหมดหวังอย่างสมบูรณ์

เมื่อคนเราตกอยู่ในความสิ้นหวัง พลังปราณของพวกเขาจะเริ่มรั่วไหล ความตั้งใจในการต่อสู้ของพวกเขาจะสะดุด และพวกเขาจะอ่อนแอลง

แท่นบงกชที่ส่องแสงระยิบระยับเมื่อสักครู่นี้เริ่มกะพริบหรี่ลง พลังงานที่พุ่งสูงขึ้นของตัวซื่อหลีเองก็เริ่มหายไป สุเมรุสูญกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้งแต่มันก็ไม่ได้กดดันซื่อหลีอีก ความว่างเปล่านั้นยืดหยุ่น หากไม่ไปผลักมันมากเกินไปมันก็จะไม่ดันกลับมาเท่าที่ได้รับ ดังนั้นถ้าเขาเลือกที่จะไม่สู้กับมันเขาก็จะไม่เจ็บตัวเช่นนี้ น่าเสียดายที่ถึงซื่อหลีจะเข้าใจเรื่องนี้เขาก็คงจะยังทำ

เมื่อทุกอย่างสงบลง ใบหน้าของซื่อหลีก็กลายเป็นสีเทาซีด

มันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพลังชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาถูกใช้ออกจนหยดสุดท้ายแล้ว

“ความแข็งแกร่งของเจ้าพามาได้เพียงเท่านี้เองงั้นหรือ ?” ซูเฉินถอนหายใจ

เขาไม่ได้ถอนหายใจว่าคู่ต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งเกินไป แต่เป็นเพราะเสียดายที่อีกฝ่ายอ่อนแอเกินไป

ใครก็ตามที่อยู่ในระดับการฝึกฝนเดียวกันกับเขาเว้นแต่พวกเขาจะครอบครองสายเลือดเทพอสูรเช่นตระกูลฉู่ เป็นไปได้มากว่าคงจะถูกฆ่าตายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

บางทีในไม่ช้า แม้แต่ผู้ที่มีสายเลือดของเทพอสูร หรือเทพอสูรบรรพกาลเองก็คงไม่อาจสามารถแข่งขันกับเขาในแง่ของความแข็งแกร่งได้อีกต่อไป

ทว่าซูเฉินไม่ได้ตื่นเต้นกับความสำเร็จนี้เลย เขายังคงดิ่งอยู่ในความสุขจากการค้นพบสิ่งใหม่

ซื่อหลีจ้องมองเขาด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า… ”

ซูเฉินกล่าวขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ ? คำว่า ‘ว่างเปล่า’ ไม่จำเป็นต้องเป็นนามธรรมเสมอไป”

“อะไรนะ ?” ซื่อหลีไม่เข้าใจ

“มันจับต้องได้จริง ๆ ” ซูเฉินกล่าวอย่างจริงจัง

ซื่อหลีมองชายหนุ่มด้วยตาเบิกกว้าง เขาไม่เข้าใจว่าซูเฉินกำลังพูดถึงอะไร “เจ้า… กำลัง… ล้อข้าเล่นอยู่ ?”

เขากลั้นใจพูดคำสุดท้ายนี้ออกมา ก่อนที่เขาจะขาพับขาอ่อนล้มลงและตามจากไป

“ข้ากำลังพูดอย่างจริงจัง” ซูเฉินกล่าวอย่างจริงใจ

ใช่ เขากำลังพูดเรื่องนี้อย่างจริงจังมาก

ความว่างเปล่ามีคุณสมบัติทางกายภาพจริง ๆ มันไม่ได้เป็นเพียงแค่คำที่ใช้อธิบายแนวคิดที่เป็นนามธรรมและจับต้องไม่ได้ ความว่างเปล่ามีอยู่จริง แต่ยากยิ่งที่จะเข้าใจมันได้ดั่งเช่นสายลมที่พัดผ่านในมุมมองของมนุษย์ทั่วไป อย่างไรก็ตาม เพราะคุณสมบัติที่จับต้องได้นี้ มันจึงสามารถฉีกทำลาย ทะลวงผ่านและเป็นต้นตอของปรากฏการณ์อันน่าเหลือเชื่อต่าง ๆ นานาได้

แม้จะมีคนที่รู้วิธีใช้พลังของความว่างเปล่านี้อยู่จริง แต่พวกเขาก็ไม่ได้เข้าใจความสามารถของตนอย่างเต็มที่ขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้แม้ว่าในอดีตจะมีใครบางคนจะเสนอสมมติฐานเช่นนี้ขึ้น แต่ไม่มีใครมีวิธีพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นจริง

จนกระทั่งวันนี้ !!

การค้นพบที่น่าอัศจรรย์นี้ สำคัญเกินกว่าวิธีทะลวงข้ามด่านโดยไม่พึ่งสายเลือดเสียอีก ทว่าคำตอบเดียวที่ซูเฉินได้รับจากการบอกเล่าเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่นี้กลับเป็น “เจ้าล้อข้าเล่นหรือเปล่า ?”

บางทีนี่อาจเป็นความแตกต่างของระดับความสามารถในการเข้าใจ

เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะรับฟังความจริงพื้นฐานของโลกที่ตนอาศัยอยู่ แม้ว่าเขาจะได้ยินพวกมันพูดกับเขา มันก็คงไม่มีผลกระทบอะไร

ซื่อหลีไม่ใช่คนแรกที่เป็นเช่นนี้ และเขาจะไม่ใช่คนสุดท้ายเช่นกัน

“เจ้าเป็นคนที่ช่วยให้ข้าค้นพบและตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นข้าก็ควรที่จะขอบคุณเจ้า ข้าจะปล่อยมือจากร่างของเจ้าไป” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาโบกมือนำร่างของซื่อหลีออกมาจากสุเมรุสูญ และเก็บเอาไว้เตรียมหาที่ฝัง

คราวนี้เขาเลิกสนใจสายเลือดของซื่อหลี

เพียงแค่สายเลือดประเภทความเร็ว จะสามารถมาเปรียบเทียบการเข้าใจถึงแก่นแท้ของความว่างเปล่าได้งั้นหรือ ?

แน่นอนว่าเพียงเพราะซูเฉินมองเห็นความผันผวนของพื้นที่ ไม่ได้หมายความว่าเขาเข้าใจพวกมันดีแล้ว และเพียงแค่เพราะเขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถใช้มันได้

แต่ตราบใดที่เขามุ่งมั่นศึกษาวิจัยมันอย่างรอบคอบ ซูเฉินก็มั่นใจว่าเขาจะประสบความสำเร็จในที่สุด ในสมัยโบราณ ที่ผู้คนสามารถคิดค้นทักษะต้นกำเนิดได้หลากหลายประเภทก็เพราะได้ทำการทดลองตามรสมมุติฐานและการคาดเดา แล้วซูเฉินที่มีข้อมูลและทรัพยากรที่สมบูรณ์กว่าคนเหล่านั้น จะไม่สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ขึ้นมาได้เลยหรอกหรือ ?

ซูเฉินมั่นใจมากเกี่ยวกับเรื่องนี้

ในการสู้รบครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารหนึ่งคนได้เสียชีวิตอย่างเงียบ ๆ มันไม่ใช่เพราะผู้พิทักษ์ของปราสาทแสงต้นกำเนิดไร้ความสามารถ แต่เพราะซูเฉินสามารถสังหารซื่อหลีได้อย่างง่ายดายเกินไป จนไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายใด ๆ ขึ้นเลย

หลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว ขณะที่ซูเฉินวางแผนจะไปหาผ้าเท่อลั่วเค่อ จู่ ๆ เขาก็เกิดมีความคิดบางอย่างขึ้นและเริ่มมองไปรอบ ๆ ตัว

ซูเฉินยังคงมีสัมผัสจากการหยั่งรู้หลงเหลืออยู่ในใจ เนื่องจากชายหนุ่มเพิ่งได้เข้าใจความจริงเกี่ยวกับความว่างเปล่าบางประการ สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของเขาเล็กน้อย แม้แต่เนตรมองโลกจุลภาคก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของความว่างเปล่าจากสิ่งรอบตัว

ซูเฉินเริ่มปล่อยพลังจิตของเขาให้มันขยายออกไปรอบ ๆ ตัวตามความว่างเปล่าเหล่านั้น ก่อนจะพบกับเจตจำนงที่คุ้นเคยอย่างรวดเร็ว

“ผ้าเท่อลั่วเค่อ !”

“ซูเฉิน ? เป็นเจ้าได้อย่างไร ?” เสียงประหลาดใจของผ้าเท่อลั่วเค่อก้องกังวานอยู่ในใจของซูเฉิน “แม้ว่าพลังจิตของเจ้าจะทรงพลังมากพอที่จะขยายออกมาถึงนี้ แต่เจ้าไม่น่าจะติดต่อข้าได้โดยตรงหากไม่มีตำแหน่งที่ถูกต้อง !”

แม้ว่าซูเฉินจะค้นหาได้ว่าผ้าเท่อลั่วเค่อไปที่ไหน แต่สัมผัสที่เข้ารับรู้ได้จากสถานที่โดยรอบก็ยังมีขอบเขตที่กว้างมากเกินไป มันจึงทำให้เขารู้แค่คร่าว ๆ ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ใด เช่นมันอาจบอกได้ว่าเขาอยู่บนถนนเส้นไหน หรืออยู่ในบ้านหลังใด ทว่าก็ไม่อาจระบุได้อย่างเจาะจงว่าเขานั่งอยู่ในเก้าอี้ตัวไหน หรือเขาเหยียบกระเบื้องอะไรอยู่ แต่นี่ก็เป็นกรณีที่ทั้ง 2 อยู่ในเมืองเดียวกันเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้วสัมผัสตำแหน่งคงบอกเขาได้เพียงแค่ทิศทางคร่าว ๆ ที่จะชัดเจนและแม่นยำยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่อซูเฉินร่นระยะห่างเข้ามาหาอีกฝ่าย

ดังนั้น โดยปกติแล้วมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ซูเฉินจะติดต่อผ้าเท่อลั่วเค่อ ผ่านการเชื่อมโยงจิตสำนึกของเขาโดยตรง

ซูเฉินหัวเราะเบา ๆ “ข้าตระหนักได้ถึงบางอย่างมา แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ลองใช้มันเร็วขนาดนี้”

“มันคืออะไร ?”

“ความว่างเปล่า” ซูเฉินไม่ได้พยายามซ่อนมันจากเขา และอธิบายทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างตนกับซื่อหลี

“มันเป็นอย่างนี้นี่เอง !” ผ้าเท่อลั่วเค่อรู้สึกว่าจิตสำนึกของเขากำลังสั่นไหว “เช่นนั้น สมมติฐานก่อนหน้านี้ทั้งหลายก็นับได้ว่าได้รับการยืนยันแล้ว ? ความว่างเปล่าไม่ใช่นามธรรม แต่มีอยู่จริงและจับต้องได้ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะได้เห็นมันด้วยตาของตัวเองจริง ๆ! แม้แต่พวกเราชาวอาร์คาน่าก็ยังไม่อาจทำได้ !”

“มันเป็นความบังเอิญที่โชคดี” ซูเฉินกล่าวเบา ๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าซื่อหลีพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้หลุดพ้นจากสุเมรุสูญ แม้ว่าเขาจะอยู่ที่นั่น เขาเองก็คงจะไม่เห็นความผันผวนเหล่านั้น

โลกนี้อาจมีความลับมากมายเกิดขึ้นอยู่ทุกวันโดยที่คนทั่วไปไม่สังเกตเห็น

ซูเฉินเพียงแค่ได้พบกับหนึ่งในความลับเหล่านั้นโดยบังเอิญเท่านั้น สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วเหตุการณ์แบบนี้เรียกว่าเกิดขึ้นได้ยากมาก และนับว่าหาดูได้ยากยิ่งกว่า

เนื่องจากตอนนี้เขาเข้าใจหลักการพื้นฐานเบื้องหลังความว่างเปล่าแล้ว ซูเฉินจึงมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในมุมมองที่ไม่เหมือนกับคนทั่วไปอีกต่อไป ในสายตาของชายหนุ่ม ความว่างเปล่ามันเป็นเหมือนตาข่ายขนาดใหญ่ ภายในตาข่ายนี้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิด สิ่งของต่าง ๆ ล้วนเป็นเพียงแมลงที่บินไปมาอยู่ในตาข่ายเท่านั้น ทุกสิ่งที่พวกเขาทำถูกห้อมล้อมไว้ด้วยตาข่ายนี้

ด้วยเหตุนี้โลกจึงมีขอบเขต แต่ขอบเขตนี้กลับมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เพราะความว่างเปล่าเองก็มีอยู่ในทุก ๆ ที่เช่นกัน

เมื่อเขาเข้าใจมันแล้ว ซูเฉินก็พบว่าการใช้วิธีนี้เพื่อค้นหาร่องรอยผ้าเท่อลั่วเค่อมันง่ายและสะดวกกว่ามาก

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะเขาสามารถหาอีกฝ่ายเจอได้แล้ว สัมผัสมิติว่างของซูเฉินทำให้สัมผัสตำแหน่งมีความแม่นยำและมีรายละเอียดมากขึ้น หากเป้าหมายของเขาเป็นผู้อื่น ซูเฉินก็น่าจะสัมผัสถึงพวกเขาได้เช่นกัน แต่ก็คงจะต้องเข้าไปใกล้กว่านี้อีกหน่อยจึงจะได้ผล

แม้ว่าตอนนี้มันจะดูไม่ค่อยมีประโยชน์นัก แต่ใครจะบอกได้ว่าในอนาคตมันจะพัฒนาไปเป็นทักษะต้นกำเนิดที่ยอดเยี่ยมแบบใดได้บ้าง ?

“แต่ก็มาได้เวลาพอดี ทางข้าเองก็ค้นพบบางอย่างเหมือนกัน”

“โอ้ ? เจ้าค้นพบอะไรมาหรือ ?” ซูเฉินถาม

“ผู้ที่พาข้าไปถูกเรียกว่าตงชิงหมิง เป็นชนชั้นสูงจริง ๆ ชื่อมันติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของเผ่า”

“ 20 อันดับแรก ?” ซูเฉินเลิกคิ้ว “งั้นสถานะของมันก็ไม่ได้ต่ำเลย ! แต่ทัศนคติที่เอาแต่ใจนั่นไม่เหมาะกับสถานะและยศที่มีจริง ๆ มันได้ยศสูงเช่นนั้นมาได้อย่างไรกัน ?”

“มันอาจจะติดในอันดับสูงกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะนิสัยกับทัศนคตินั้น เพราะยังไงมันก็ยังคงเป็นลูกชายของหัวหน้าตระกูลตงชิงคนปัจจุบัน” ผ้าเท่อลั่วเค่อหัวเราะ

“ข้าก็ว่าอย่างนั้น” ซูเฉินยิ้ม

นี่เป็นเหตุผลเดียวที่สนับสนุนเรื่องนี้ได้ สำหรับลูกชายคนเดียวของหัวหน้าตระกูล แต่กลับถูกจัดอันดับให้อยู่ในอันดับต่ำที่สุดของ 20 อันดับแรก แสดงให้เห็นว่าชายผู้นี้ไม่น่าเชื่อถือมากเพียงใด

แต่อย่างน้อยการที่เขายังอยู่ใน 20 อันดับแรก ก็บ่งบอกถึงอิทธิพลที่เขามีได้แล้ว

“แต่นั่นไม่ใช่การค้นพบที่สำคัญ” ซูเฉินกล่าว

“แน่นอน เรื่องสำคัญที่ข้าเจอคือ… ปราสาทแสงต้นกำเนิดใกล้จะจบสิ้นแล้ว !”