บทที่ 77 แปลกแยก
“อะไรนะ ?” คำพูดของผ้าเท่อลั่วเค่อทำให้ซูเฉินประหลาดใจ
“ก็อย่างที่เจ้าได้ยินไป ปราสาทแสงต้นกำเนิดกำลังจะพังทลาย” ผ้าเท่อลั่วเค่อพูดซ้ำอีกครั้ง
“มันกลายมาเป็นแบบนั้นได้ยังไง ?”
“ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อันที่จริงก็นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างปกติเสียด้วยซ้ำ เวลาของมันหมดแล้ว … ปราสาทลอยฟ้านี้อยู่มานานเกินพอแล้ว”
ปราสาทแสงต้นกำเนิดเป็นปราสาทแห่งแรกของเผ่าปักษา มันถูกสร้างขึ้นในปีที่ 7400 ของยุคแห่งความโกลาหล และตอนนี้ก็เป็นสหัสวรรษที่ 27 ของยุคแห่งความโกลาหลแล้ว
เกือบ 20,000 ปีแล้ว
ระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้เกินพอที่จะทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย พอให้ความเป็นอมตะกลายเป็นความเสื่อมโทรม พอที่จะนำพาบุคคลผู้ไม่ตายไปสู่ความสงบชั่วนิรันดร์ แล้วจะนับประสาปราสาทลอยฟ้านี้กัน
ซูเฉินเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผ้าเท่อลั่วเค่ออธิบายให้เขาฟังคร่าว ๆ
น่าเสียดายที่ปราสาทแสงต้นกำเนิดนี้ได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว ในทางกลับกันเมืองล่องนภาซึ่งอยู่มายาวนานกว่านั้น เรียกได้ว่ายังห่างไกลจากขีดจำกัดอย่างเห็นได้ชัด มันทรงพลังมากจนอายุการใช้งานของมันยาวนานกว่าปราสาทลอยฟ้าส่วนใหญ่หลายเท่า บางทีในสักวันหนึ่งเมื่อปราสาททุกหลังพังลง ปราสาทแห่งนี้อาจจะยังคงลอยอยู่ก็เป็นได้
“ไม่น่าแปลกใจเลยหยงเยี่ยหลิวกวงจะตามหานางพญาอย่างบ้าคลั่งเช่นนั้น พวกมันไม่ได้เพียงแค่ต้องการที่จะสร้างปราสาทลอยฟ้าหลังใหม่เท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องเตรียมของใหม่ไว้เปลี่ยนกับของเก่าด้วย” ซูเฉินถอนหายใจ
“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ”
“ว่าแต่เจ้าไปรู้เรื่องนี้มาได้อย่างไร” ซูเฉินถาม
“เป็นตงชิงหมิงนั่นแหละ เหตุผลที่มันมาที่นี่ก็เพราะว่ากลุ่มของมันรู้อยู่แล้วว่าปราสาทแสงต้นกำเนิดกำลังจะถูกทำลายพวกมันจึงต้องการขายธุรกิจทั้งหมดของตนทิ้งก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น แต่กลัวว่าจะถูกมนุษย์นกกลุ่มอื่นพบเข้าจนเรื่องรั่วไหลออกไปดังนั้นพวกมันเลยเลือกส่งตงชิงหมิงผู้นี้มา การใช้ตัวตนของมันเป็นข้อแก้ตัวเรื่องที่ธุรกิจทั้งหมดของตระกูลตงชิงย่ำแย่ลงเป็นทางที่ดีที่สุด ทว่าช่างน่าประหลาดใจ ตงชิงหมิงกลับไม่ใช่คนโง่เขลา ไม่รู้ว่ามันได้ข่าวมาจากที่ไหน แต่ก็รู้แม้กระทั่งข่าวว่าปราสาทแสงต้นกำเนิดกำลังจะถูกทำลาย นี่คือเหตุผลที่มันยืนกรานที่จะสร้างความวุ่นวายโดยไม่สนใจสิ่งใดประหนึ่งวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง ต้องการใช้ข้าเป็นโล่ ? งั้นข้าก็จะสร้างปัญหาให้พวกเจ้ามากเท่าที่ข้าต้องการ แล้วมาดูกันว่าใครจะเป็นผู้ที่ได้หัวเราะคนสุดท้าย”
“…..” ซูเฉินพูดไม่ออก
ไม่แปลกใจเลยที่ชายผู้นี้จะยืนกรานที่จะเอาหุ่นเชิดของเขาไปให้ได้ ดูเหมือนว่าเป็นเพราะมีเหตุผลอื่นอยู่เบื้องหลังการกระทำของอีกฝ่าย
หากในวันนั้นซูเฉินเลือกที่จะตอบโต้กลับไป ชื่อของตงชิงหมิงคงจะยิ่งอื้อฉาวขึ้นไปอีก
“น่าสนใจ” ซูเฉินอดหัวเราะไม่ได้
“เจ้าไม่มีความเห็นอะไรหลังจากได้ยินเรื่องนี้เลยหรือ ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อถามขึ้น
“ความคิดเห็น ?” ซูเฉินยิ้ม
“ทั้งหมดที่ข้าคิดคือเราควรทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับนางพญา ส่วนเรื่องอื่นนั้นว่ากันทีหลังได้ ในเมื่อปราสาทแสงต้นกำเนิดกำลังจะพังลงแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาทำตามต้องการไปเถิด เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว”
“กล่าวได้ดี” ผ้าเท่อลั่วเค่อล้มเลิกความคิดของเขาเมื่อเห็นว่าซูเฉินไม่ได้สนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ
“แล้วเจ้าจะพาข้าออกไปจากที่นี่ยังไง ?”
“ก็… ” ซูเฉินเอียงศีรษะและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อมันชอบสร้างปัญหา เหตุใดไม่ลองหาเป้าหมายที่ใหญ่กว่านี้ให้มันดูล่ะ”
ขณะที่เขาพูด เขาเริ่มมุ่งหน้าตรงไปทางทิศที่ตั้งของตระกูลตงชิง ในเมื่อผ้าเท่อลั่วเค่ออยู่ที่นั่น ซูเฉินก็สามารถหาเส้นทางตามไปได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเขามาถึงตระกูลตงชิง ซูเฉินเปลี่ยนร่างเป็นซื่อหลีและแอบย่องเข้าไป
เหล่าผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ของตระกูลตงชิงได้ถอนตัวออกไปกันแล้ว ดังนั้นการแอบเข้าไปด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของซูเฉิน มันจึงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง เขาเดินไปตามทางคดเคี้ยวจนมาถึงที่ที่ผ้าเท่อลั่วเค่อถูกกักตัวเอาไว้ ในตอนนั้นเองชายหนุ่มก็ได้สังเกตเห็นของมีค่ามากมายอยู่ที่นั่น
“ดูเหมือนว่าชายผู้นี้กำลังวางแผนที่จะให้เจ้าอยู่ที่นี่ในฐานะของสะสมนะ” ซูเฉินหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นตัวคนที่เขาหาอยู่
“ถ้าเจ้าไม่มาข้าก็ว่าจะออกไปเอง อยู่เป็นเพื่อนของสะสมมันน่าเบื่อเกินไป” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบ
“อืม เจ้าอาจต้องอยู่กับพวกมันนานขึ้นอีกหน่อย ในเมื่อพวกมันอยู่ตรงหน้าเราที่นี่แล้ว เราย่อมไม่สามารถทิ้งภูเขาสมบัติไว้แล้วกลับไปมือเปล่าได้หรอก เจ้าว่าจริงไหม ?” ในขณะที่เขาพูด ซูเฉินก็เริ่มรวบรวมสิ่งของทั้งหมด เผ่าปักษาชื่นชอบงานศิลปะเป็นอย่างยิ่ง ของสะสมของพวกเขาจึงมีมาตรฐานและรสนิยมที่ค่อนข้างสูง
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ปล่อยพวกมันไป” ผ้าเท่อลั่วเค่อผู้เข้าใจซูเฉินค่อนข้างดีกล่าว แม้ว่าซูเฉินจะมีหินต้นกำเนิดอยู่ในมือเกือบพันล้านก้อน แต่การชอบที่จะสะสมทรัพย์สมบัติเอาไว้ก็เป็นนิสัยที่ผู้มั่งคั่งควรจะมีมิใช่หรือ ?
ส่วนที่ว่านิสัยแบบนี้ดีจริงหรือไม่นั้น เรื่องนี้ก็ต่างคนต่างความเห็น
กล่าวโดยสรุปแล้ว ซูเฉินก็ได้กวาดของสะสมทั้งหมดไปอย่างหมดจด ก่อนที่จะพาผ้าเท่อลั่วเค่อออกมา
“แล้วจะออกไปอย่างไร” ผ้าเท่อลั่วเค่อถาม
“ทะลวงออกไป” ซูเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม เขาเอามือแตะใบหน้าจากนั้นเขาก็กลายเป็นซื่อหลี ก่อนจะหันหลังและพุ่งตัวตรงไปทางประตูหน้า
“เอาล่ะ อันนี้ข้าไม่ได้คิดเอาไว้เลย” ผ้าเท่อลั่วเค่อยักไหล่ทั้ง 4 ของเขา
เขาพอจะคาดเดาได้ว่าผู้ที่ซูเฉินแปลงไปคือใคร
ผ้าเท่อลั่วเค่อเดินตามออกไปอย่างไม่เร่งรีบ เสียงตะโกนและคำด่าทอสาปแช่งดังขึ้นจากทางด้านหน้า
ไม่นานนักร่างของซูเฉินก็บินกลับมา คว้าตัวผ้าเท่อลั่วเค่อไว้แล้วกล่าวว่า “ไปกันเถอะ” คราวนี้พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทลายการปิดล้อมบริเวณประตูหน้าและผ่าออกไปจากเขตตระกูลตงชิงในทันทีทันใด
หลังจากเลี้ยวเป็นทิศไปมาสองสามรอบ ซูเฉินก็ดึงศพของซื่อหลีออกมาแล้วโยนทิ้งไปด้านข้าง “ต้องขอโทษด้วย เดิมทีข้าอยากจะฝังเจ้าดี ๆ แต่ดูเหมือนว่าตัวเจ้าจะมีประโยชน์อย่างอื่นแล้ว”
ขณะที่พูดเขาก็พาผ้าเท่อลั่วเค่อจากไป
“เจ้าไม่ได้วางแผนที่จะรออยู่ที่นี่เพื่อดูการแสดงดี ๆ หรอกหรือ ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อถาม
“ข้าไม่จำเป็นต้องอยู่เพื่อชมการแสดงดี ๆ ” ซูเฉินตอบแฝงความหมาย
——————————————
“อะไรกัน ? ซื่อหลีตายแล้ว ?” หลี่ต้าวหงตกตะลึง
เขาสัมผัสได้ถึงการตายของซื่อหลีในทันทีที่อีกฝ่ายจบชีวิตลง ยังไงซะเขาก็เป็นคนที่เปลี่ยนซื่อหลีให้กลายเป็นนักรบสละชีพ
แม้ว่านักรบสละชีพจะต้องตาย แต่พวกเขาก็ต้องตายอย่างคุ้มค่า
เขาเสียชีวิตจากการต่อสู้กับข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยได้อย่างไร ?
แม้แต่ผู้มีสติปัญญาอันชาญฉลาดอย่างหลี่ต้าวหงก็ยังไม่อาจเข้าใจ
“ไปสืบดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น !” เขาสั่งการลงไปในทันที
แล้วนักรบสละชีพอีกคนหนึ่งก็ถูกส่งออกไป
หลังจากผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูป หลี่ต้าวหงก็สัมผัสได้ว่านักรบสละชีพที่เพิ่งออกไปได้ตายลงแล้ว
มีบางอย่างผิดปกติ
ในเวลาเดียวกันกับที่หลี่ต้าวหงตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง และกำลังจะออกไปดูด้วยตัวเอง ตระกูลตงชิงก็มาเคาะประตูหน้าของเขาแล้ว
ตู้ม !
เสียงระเบิดดังลั่นตามมาด้วยประตูหน้าที่พังลง จากนั้นเผ่าปักษากลุ่มใหญ่ก็พุ่งเข้ามาด้วยท่าทีโกรธจัด
เกิดอะไรขึ้น ?
ทุกคนต่างตกตะลึง
พวกมนุษย์นกโยนศพ 2 ร่างออกมา “คนพวกนี้คือคนของเจ้าใช่หรือไม่ ?”
“ใช่” ใครบางคนตอบขึ้นอย่างงุนงง
นั่นคือคำตอบที่พวกมนุษย์นกรอคอย
เมื่อได้คำตอบแล้วพวกเขาจะต้องรั้งรออะไรอีก ?
“โจมตี !” หนึ่งในเผ่าปักษาที่บุกมาตะโกนขึ้น
โชคดีที่พวกเขายังคงควบคุมการกระทำอยู่เล็กน้อย เพราะพวกเขาพูดว่าโจมตี ไม่ใช่ฆ่า ถึงกระนั้นการที่เผ่าปักษากลุ่มใหญ่พุ่งเข้าโจมตีกลุ่มพ่อค้าที่เป็นมนุษย์ ก็ยังชวนให้ตกใจมากอยู่ดี
หลี่ต้าวหงโกรธจัด
เขารู้ว่าต้องมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับการตายของซื่อหลี แต่ด้วยสติปัญญาของหลี่ต้าวหงแล้ว เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่ามันต้องเป็นการเข้าใจผิดหรือเบื้องหลังอะไรบางอย่างเป็นแน่ ทางที่ดีที่สุดคือไม่ว่ามันจะถูกผิดก็ควรรีบแก้ไขและอธิบายให้ชัดเจน
แต่หลี่ต้าวหงเป็นคนเช่นไร ?
เขาเป็นเจ้าชายของอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย ฝันร้ายของเมืองหลวง ! ในหมู่ชนชั้นสูงของเลี่ยวเยี่ยไม่มีใครไม่รู้สึกปวดหัวเมื่อพวกเขาเห็นหน้าเขา
นับตั้งแต่วันที่เขาได้สติกลับคืนมา เขาก็ได้สาบานเอาไว้แล้วว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถรังแกคนอื่นได้ ไม่มีใครสามารถรังแกเขาได้ !
แล้วตอนนี้เผ่าปักษากลุ่มหนึ่งกลับกล้าที่จะใช้กำลังเพื่อรังแกเขา ? พวกเขาคิดว่าเขาหลี่ต้าวหงผู้นี้เคี้ยวง่ายงั้นหรือ ?
พวกเขากล้ามาเคาะประตูหน้าบ้านคนอื่นอย่างรุนแรง โดยไม่คิดจะถามไถและคำนึงว่ามันจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือมีคนจัดฉากขึ้นเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะเป็นฝ่ายลงมือฆ่าพวกนั้นทั้งหมดก่อน
เช่นนั้น…
ก็หาความสนุกใส่ตัวก่อนแล้วกัน !
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวใจ เขาก็ลงมือทำในทันใด
ในฐานะเจ้าชายของเลี่ยวเยี่ย เขามีสายเลือดเทพอสูรอยู่กับตัวเขาจึงไม่ใช้ผู้อ่อนแอ อีกทั้งข้างกายของหลี่ต้าวหงยังมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่น้อยอยู่อีก เมื่อพวกเขาเริ่มตอบโต้กลับความรุนแรงของการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นทันตาเห็น มนุษย์นกเหล่าที่มีพื้นฐานการฝึกฝนในระดับ 3 หรือต่ำกว่าตายลงในทันที แม้แต่ตนที่อยู่ระดับ 4 เองก็ยังถูกบังคับให้รวมตัวกันเพื่อป้องกันการโจมตี หลี่ต้าวหงยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่อีกหลายคน และยังมีคนที่แข็งแกร่งอยู่อีกมากมาย
เป็นผลให้เผ่าปักษาที่มาเคาะประตูหน้าของหลี่ต้าวหง ถูกทุบตีจนอยู่ในสภาพอนาถไปทันที
ปัญหาได้เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นมาก
อันที่จริง เมื่อตงชิงหมิงค้นพบว่าคนที่ขโมยหุ่นเชิดของเขาไปเป็นมนุษย์ เขาก็ตระหนักว่าผู้ที่ขโมยไปอาจจะเป็นบุคคลเดียวกับคนที่เขาปล้นหุ่นเชิดนี้มาตั้งแต่แรกก็ได้ ทว่าเมื่อพบว่าศพไม่ใช่คนเดียวกันกับที่คาดไว้ เขาก็ได้ส่งลูกน้องออกไปสอบถามรอบ ๆ หลังจากที่รู้ว่านี่เป็นศพคนของหลี่ต้าวหง เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างน่าสงสัย เพราะตงชิงหมิงไม่เคยเห็นคน ๆ นี้อยู่ข้างตัวหลี่ต้าวหงเลย นี่คือเหตุผลที่เขาตัดสินใจส่งคนของเขาไปมาถาม
อย่างไรก็ตาม ตงชิงหมิงมักจะทำสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่ระมัดระวัง ขาดความรอบคอบเช่นมนุษย์นกส่วนใหญ่ ดังนั้นคำสั่งที่เขามอบหมายให้ลูกน้องไปจึงไม่ชัดเจน ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็มีบุคลิกคล้ายกับเขา ในเมื่อเจ้านายสั่งงานมาให้พวกเขา ก็แสดงว่าเจ้านายต้องการส่งพวกเขาเพื่อไปสั่งสอนบทเรียนให้กับใครบางคน นี่คือเหตุผลที่พวกเขาบุกเข้ามาอย่างอุกอาจ
พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะโดนเล่นเสียก่อนเช่นนี้
ไม่ว่าอย่างไร หลี่ต้าวหงก็ยังยั้งมืออยู่บ้าง บรรดากลุ่มมนุษย์นกที่มากัน 30 กว่าตนจึงได้มีเพียง 6-7 ตนเท่านั้นที่ถูกฆ่าไป นอกนั้นก็มี 17-18 ตนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนที่เหลือก็สามารถหลบรอดการโจมตีไปได้
คราวนี้ เป็นฝ่ายตงชิงหมิงที่ต้องโกรธจัด
ในตระกูลตงชิง เขาคือคนที่มีอำนาจและทำอะไรตามอำเภอใจที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับได้พบกับใครบางคนที่ดุร้ายและไร้เหตุผลยิ่งกว่าเขาเสียอีก
ฐานะองค์ชายของเลี่ยวเยี่ยนั้นอยู่สูงกว่าข้าเล็กน้อยและน่าประทับใจจริง แต่เจ้ายังอยู่ในดินแดนของเผ่าปักษา ! เจ้าปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ในปราสาทแสงต้นกำเนิด ?
ตงชิงหมิงเริ่มทำให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาให้กับเผ่าปักษาในทันที แม้แต่รุ่นที่สองที่น่าอับอายที่สุดก็ยังมีเพื่อนวายร้ายที่ศีลเสมอกับเขา
มนุษย์นกกลุ่มใหญ่เริ่มบินขึ้นไปในอากาศ และมุ่งหน้าตรงไปทางของกลุ่มการค้าของมนุษย์
ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าปักษากับเผ่ามนุษย์นั้นไม่ได้ดีมาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงเพราะกลุ่มการค้าไม่กี่แห่งได้รับอนุญาตให้เดินผ่านดินแดนของพวกเขาได้ มันไม่ได้หมายความว่าทั้ง 2 เผ่าพันธุ์มีความสัมพันธ์ที่พอเป็นมิตรกันแล้วแต่อย่างใด มันหมายความว่าพวกเขาต้องการบางสิ่งบางอย่างจากอีกฝ่ายเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงยินยอมผ่อนปรนให้เผื่อเป็นบุญคุณเอาไว้แลกเปลี่ยนกับสิ่งจำเป็นเหล่านั้น
ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นว่าตระกูลตงชิงมีปัญหากับเผ่ามนุษย์ พวกเขาจึงพากันให้ความสนใจและไล่ตามมนุษย์นกกลุ่มนี้ไปด้วยกัน
เมื่อพูดถึงการติดตามฝูงชนแล้ว เผ่าปักษาเหล่านี้นับว่ามีพรสวรรค์อย่างไม่น่าเชื่อ
นั่นเพราะพวกมันบินได้ !
พวกเขาสามารถทะยานสู่ท้องฟ้าได้ด้วยกระพือปีก แล้วใครเล่าจะสามารถซ่อนตัวจากพวกเขาได้ ?
ความสามารถในการไล่ตามใครบางคนในทาง 3 มิตินั้นทำให้พวกเขาได้เปรียบแต่กำเนิด แม้ว่าพวกเขาจะมีช่องว่างในด้านการฝึกฝนกับเผ่าอื่นอยู่มากก็ตาม
ในชั่วพริบตาต่อมา หลี่ต้าวหงกับกลุ่มพ่อค้าของเขาจึงถูกห้อมล้อมไปด้วยมนุษย์นกหลายพันตัว
ส่วนใหญ่ไม่ได้วางแผนที่จะทำอะไร พวกเขาแค่ต้องการดูว่าอสูรผู้ก่อความวุ่นวายของตระกูลหลี่กับคนงี่เง่าของตระกูลตงชิง ใครจะเป็นฝ่ายเอาแต่ใจมากกว่า
แต่เมื่อพวกเขาพากันรายล้อมอยู่มากมายเช่นนี้ ทั้งตงชิงหมิงทั้งหลี่ต้าวหงก็รู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจทันทีทันใด
เมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันจากผู้ชมจำนวนมาก ตงชิงหมิงที่เดิมทีอยากจะพูดประมาณว่า ‘เจ้าเป็นคนขโมยหุ่นเชิดของข้าไปใช่ไหม ?’ มันก็จะฟังดูอ่อนแอเกินไป ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนคำพูดของเขาเป็น “เจ้ากล้าฆ่าคนของข้างั้นรึ ? ช่างกล้าหาญยิ่งนัก จัดการพวกมันให้ข้า !”
ใช่ ! พวกเขาเริ่มต่อสู้เกือบจะในทันที