ภาคที่ 5 บทที่ 78 สายเลือดนิมิตลาวัณย์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 78 สายเลือดนิมิตลาวัณย์

แม้แต่ซูเฉินก็ไม่คิดว่ากลยุทธ์ที่คิดไว้ล่วงหน้าว่าจะได้ผลดีเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นฉากที่กำลังเกิดขึ้นผ่านทางสัมผัสมิติว่าง ชายหนุ่มจึงประหลาดใจอยู่เล็กน้อย

“โอ้ ช่างมีชีวิตชีวาจริง ๆ ” ซูเฉินเอื้อมมือออกไปและปัดผ่านอากาศเบื้องหน้า ภาพเหตุการณ์ปรากฏขึ้น มันคือฉากต่อสู้ระหว่างกลุ่มพ่อค้าชาวมนุษย์กับกลุ่มมนุษย์นกของเผ่าปักษา ด้วยวิธีนี้จูเซียนเหยาก็จะสามารถสังเกตการณ์ไปพร้อมกับเขาได้

“หืม ? เป็นความสามารถที่ดีนี่ เจ้าได้มันมาได้อย่างไร ?” จูเซียนเหยาถาม

“เมื่อเจ้าเข้าใจในกฎเกณฑ์แล้วนำมันไปใช้ร่วมกับทักษะ เจ้าก็จะทำได้เช่นกัน” ซูเฉินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

“ข้ารู้เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ ไม่ใช่เจ้าเพิ่งบอกว่าเจ้าเข้าใจกฎเหล่านั้นเมื่อตอนที่เจ้าต่อสู้กับนักรบสละชีพ แต่ตอนนี้ยังไม่เข้าใจวิธีใช้งานมิใช่หรือ ?” จูเซียนเหยากล่าวอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่นางจ้องมองการต่อสู้ในภาพฉายบนอากาศ

“นั่นคือสิ่งที่เจ้ายังไม่เข้าใจ ทักษะเดียวก่อกำเนิดทักษะนับหมื่น ที่ข้าใช้อยู่นี้คือช่องภาพฉายแต่ด้วยความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับกฎของมิติว่าง ข้าจึงสามารถเอื้อมมือออกไปในความว่างเปล่าแล้วให้มันสร้างมโนภาพสิ่งที่ข้าเห็นขึ้นมาได้ อืม ถึงข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังได้แต่ข้าก็คิดว่าเจ้าคงจะไม่เข้าใจ ยังไงก็ตาม สิ่งที่เจ้าควรจะรู้ก็คือการค้นคว้าในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมาของข้านั้น ไม่ใช่ความสามารถที่สมบูรณ์ แต่เป็นความสามารถที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง”

จูเซียนเหยาไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด แต่ซูเฉินก็ไม่ได้พูดผิดอะไร

สิ่งที่เขาสนใจจริง ๆ ไม่ใช่ความสามารถหรือพลังที่เขาได้รับมา แต่เป็นสิ่งที่สะสมขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยในระหว่างกระบวนการที่ให้ได้มาซึ่งพลังเหล่านั้น

การเตรียมตัวที่ดีคือกุญแจสู่ความสำเร็จ ซูเฉินยังอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมตัว ดังนั้นผลลัพธ์จากการวิจัยของเขาจึงยังมีน้อยและห่างไกลเป้าหมายที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขายังคงค้นคว้าต่อไป เขาก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น ซูเฉินพยายามอย่างมากในการทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดาร แต่กลับสามารถหาทางเข้าสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณได้อย่างง่ายดายในคราเดียว นั่นเป็นเพราะเขาได้พัฒนาวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์กับเคล็ดวิชาจิตแท้อยู่ก่อนแล้ว ด้วยพลังจิต 2,000 หน่วยรากฐานที่ตระเตรียมไว้จึงมากเกินพอ

และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ซูเฉินถึงสามารถปรับปรุงสุเมรุสูญได้ ด้วยพลังจิตอันทรงพลังและเนตรมองโลกจุลภาค ทั้งยังพบความลับบางอย่างเกี่ยวกับความว่างเปล่าอีก

สำหรับซูเฉิน ความรู้ทั้งหมดที่เขาสั่งสมและเก็บเกี่ยวมานานหลายปี ในที่สุดก็ได้เริ่มแสดงพลังที่แท้จริงออกมาแล้ว

ความสามารถในการใช้ทักษะเหล่านี้นั้นขึ้นอยู่กับพื้นฐานที่สั่งสมมาของเขา

จากมุมมองเหนือกลุ่มพ่อค้าในมโนภาพที่ซูเฉินสร้างขึ้น ตอนนี้หลี่ต้าวหงกับตงชิงหมิงนั้นกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด

หลี่ต้าวหงเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารขั้นปลายสุดแล้ว ห่างอีกเพียงก้าวเดียวจากเข้าสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ ที่เขายังไม่สามารถทะลวงผ่านไปได้นั้นก็เพราะพลังจิตที่ไม่เพียงพอ ไม่ใช่พลังต้นกำเนิด มิฉะนั้นเขาก็คงจะก้าวข้ามไปนานแล้ว แน่นอนว่านี่คือการสรุปผลแบบคำนึงถึงความจริงที่ว่า สายเลือดของหลี่ต้าวหงสามารถเสริมให้พลังจิตของเขาสูงขึ้นได้ไปด้วยแล้ว และด้วยสายเลือดนี้จึงมีแนวโน้มว่าเขาต้องใช้เวลาอีกอย่างมาก 3 ปีถึงจะทะลวงผ่านได้

ส่วนทางด้านตงชิงหมิงนั้น เขาเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 5 ในแง่ของความแข็งแกร่งแล้ว เขายังนับว่าด้อยกว่าหลี่ต้าวหงอยู่มาก แต่เขาก็มีลูกน้องอยู่ข้างตัวอีกหลายคน

3 ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 6 คอยห้อมล้อมอยู่รอบตัวตงชิงหมิง และปกป้องเขาจากการของโจมตีหลี่ต้าวหงไปในเวลาเดียวกัน ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังถูกอีกฝ่ายกดดันให้ต้องถอยกลับอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังยากที่จะตั้งรับหรือโต้กลับไปได้

หลี่ต้าวหงไม่ลังเลที่จะดูถูกคู่ต่อสู้ของเขา “ตงชิงหมิง เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ข้ายังเมตตาเพราะเจ้าเป็นชนชั้นสูงของเผ่าปักษา มิฉะนั้น… ”

เขาเคยชินกับการเป็นอสูรแห่งความวุ่นวายจนเขาไม่คิดที่จะพยายามแก้ไขปัญหาอีกต่อไป แล้วเลือกเยาะเย้ยคู่ต่อสู้ของเขาต่อสาธารณชนแทน แม้ว่าในทางทฤษฎีสิ่งที่เขากล่าวมาจะไม่นับว่าผิด แต่ตงชิงหมิงก็ไม่ได้สนใจที่จะฟังและเริ่มคำราม “พวกเจ้าจะมัวแต่มองดูมันโจมตีข้าอยู่เช่นนี้หรือ ?”

ฝูงชนของผู้สังเกตการณ์ต่างชำเลืองมองกันและกัน

ในขณะที่บางคนกำลังเคลื่อนไหวและเข้าร่วมการต่อสู้ ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดดังขึ้น “ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ลงมือ นี่เป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มของพวกเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับเผ่าปักษา”

หลังจากเสียงนี้ดังขึ้น มนุษย์นกตนหนึ่งก็ร่อนลงมาจากฟากฟ้า แค่มองเพียงแวบแรกก็บอกได้ว่าเขาดูแปลกไปจากมนุษย์นกตนอื่น เขาสวมชุดรบสีฟ้าและลอยอยู่กลางอากาศ ผมยาวสีฟ้าปลิวไสวราวกับคลื่นน้ำ ใบหน้าที่หล่อเหลาเรียกเสียงกรีดร้องของสาว ๆ มนุษย์นกทันทีที่เขาปรากฏตัว

“แม่ทัพฉงไห่ ! นั่นแม่ทัพฉงไห่ !”

“1 ใน 3 แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของปราสาทแสงต้นกำเนิด ฉงไห่เทียนหยา ? ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าเขาจะดูดีเช่นนี้” ซูเฉินหัวเราะ

ฉงไห่เทียนหยาเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงในหมู่เผ่าปักษา เขาเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 8 และก็เป็นแม่ทัพปักษาระดับ 7 ในเวลาเดียวกัน

ระดับเหล่านี้ถูกใช้โดยเหล่ามนุษย์นก มันมีไว้เพื่อตัดสินความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้ของแต่ละบุคคล และเพื่อชดเชยข้อบกพร่องของการขาดความแข็งแกร่งทางกายภาพ ถึงอย่างนั้น แม่ทัพปักษาระดับ 7 ก็ไม่ได้มีความแข็งแกร่งทางกายภาพเยอะไปกว่าผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตของมนุษย์มากนัก

แต่สำหรับเผ่าปักษา ระดับนี้ถือว่าเป็นร่างกายที่มีค่อนข้างดีแล้ว อย่างน้อยที่สุดในสนามรบพวกเขาคงจะไม่ถูกฆ่าในดาบเดียว

เมื่อฉงไห่เทียนหยามาถึง ฝูงชนทั้งหมดก็ส่งเสียงโห่ร้อง และเริ่มไม่สนการต่อสู้อีกต่อไป

ในทางกลับกัน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้กลับต้องตัวเกร็งขึ้นมาทันที ผู้มีอำนาจที่แท้จริงได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว พวกเขาควรจะสู้กันต่อหรือไม่ ?

หากไม่มีคำสั่ง พวกเขาทำได้เพียงกัดฟันและสู้กันต่อไป

หลังจากที่ตงชิงหมิงเห็นว่าผู้มาใหม่คือฉงไห่เทียนหยา เขาก็สบถสาปแช่งด้วยความโกรธ “สารเลวเทียนหยาข้ารู้ว่าเป็นเจ้า ! เจ้าชอบสร้างปัญหาให้ข้าอยู่ตลอด !”

ฉงไห่เทียนหยากล่าวอย่างเย็นชา “แค่เจ้าบุกเข้าไปในอาณาเขตกลุ่มการค้าของมนุษย์โดยไม่ได้รับอนุญาต นั่นก็เป็นอาชญากรรมร้ายแรงพอแล้ว เจ้ายังกล้าที่จะยุยงให้คนทั้งเผ่าช่วยอีกหรือ ? ข้าไม่อนุญาตผู้ใดเข้าไปยุ่ง การต่อสู้กับองค์ชายหกนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับอาณาจักร ทีนี้เจ้าก็จะไม่ถูกต้องตั้งข้อหาทำลายความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง 2 อาณาจักร ไม่ใช่ว่าข้ากำลังช่วยเจ้าหรอกหรือ ?”

เมื่อเขาพูดความคิดของตนออกมา ทุกคนก็พูดไม่ออกและไม่อาจเถียงว่าเขาพูดผิดได้

แม้แต่หลี่ต้าวหงเองก็ยังกล่าวว่า “แม่ทัพฉงไห่กล่าวได้ถูกต้อง นี่เป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างข้ากับตงชิงหมิง มันไม่เกี่ยวอะไรกับ 2 อาณาจักร !”

ไม่ว่าอย่างไร คนที่ได้เปรียบก็คือหลี่ต้าวหง ดังนั้นเขาจึงไม่มีปัญหาที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ไปในทางนี้ ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะไม่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตเช่นกัน และช่วยให้เขาอยู่ทำเงินจากที่นี่ต่อไปได้

ตงชิงหมิงขมวดคิ้ว “เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วเจ้าจะชนะ ? ข้ายังมี… ”

หลี่ต้าวหงขัดก่อนเขาจะพูดจบ “แน่นอนว่าข้าจะไม่ชนะ เหตุใดเราไม่ถือว่าการต่อสู้ครั้งนี้เราเสมอกันล่ะ ?”

ทุกคนต่างตกตะลึงกับคำพูดของเขา

มีเพียงซูเฉินเท่านั้นที่เข้าใจสิ่งที่เขาพยายามทำและหัวเราะเบา ๆ “น่าสนใจ”

จูเซียนเหยาถามอย่างไม่เข้าใจ “น่าสนใจอย่างไร ?”

“หลี่ต้าวหงช่างมีพรสวรรค์จริง ๆ เขารู้ดีว่าต่อให้ตนเอาชนะตงชิงหมิงที่นี่ได้มันก็ไม่มีประโยชน์ ตรงกันข้ามผลลัพธ์นั้นอาจทำให้เผ่าปักษาจำนวนมากขุ่นเคืองได้ แม้ว่าคนผู้นี้จะเย่อหยิ่งและเผด็จการ แต่ก็สามารถจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างเด็ดขาด” ซูเฉินตอบกลับ

“แต่เขาเป็นฝ่ายแรกที่หุนหันพลันแล่นรีบโต้กลับไม่ใช่หรือ ?”

“นั่นเป็นเพราะมีคนบุกเข้ามาทุบประตูหน้าบ้านของเขา ซึ่งมันไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าและทำให้เขาเสียหน้า แต่ตอนนี้เขาได้เอาชนะตงชิงหมิงต่อหน้าฝูงชนแล้วก็เท่ากับกู้หน้าคืนมาได้ การเสนอให้เสมอถือได้ว่าเป็นการเหลือทางออกไว้ให้คู่ต่อสู้ น่าเสียดาย… ”

หลี่ต้าวหงคำนวณได้ดีมาก แต่น่าเสียดายที่เขายังไม่รู้จักตงชิงหมิงดีพอ

หลี่ต้าวหงยื่นสงบศึกหลังจากที่ปราบตงชิงหมิงและได้หน้าไปเล็กน้อยแล้ว ทว่าสำหรับตงชิงหมิงแล้วนี่ไม่ต่างจากการพ่ายแพ้และทำให้เขาเสียหน้า

มันคือสิ่งที่ตงชิงหมิงไม่สามารถยอมรับได้ !

ดังนั้นเขาจึงโยนกิ่งมะกอก(1)ที่หลี่ต้าวหงยืนให้ทิ้งอย่างไม่ไยดี “ไสหัวไป ข้าร้องขอให้เจ้ายอมให้ข้ารึ ? ต่อให้เราตกลงที่จะเสมอกัน ก็ต้องหลังจากที่ข้าเป็นผู้ได้เปรียบแล้วเท่านั้น ปีศาจยักษ์ออกมา !”

ตอบรับเสียงตะโกนของเขา จู่ ๆ หุ่นโลหะขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นอย่างไม่ทราบที่มา

หุ่นเชิดตัวนี้สูงเกือบ 12 จั้งและมีปีกโลหะอยู่ด้านหลัง แต่ปีกนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้บิน มันเอาไว้ใช้โจมตี สิ่งที่ทำให้มันลอยได้จริง ๆ คือค่ายกลพลังต้นกำเนิดที่ติดตั้งอยู่ภายใน

ทันทีที่หุ่นยักษ์ปรากฏขึ้น มันก็พุ่งเข้าใส่หลี่ต้าวหง ปล่อยหมัดที่สร้างคลื่นกระแทกกวาดไปทุกทาง เหล่าผู้ชมต่างก็รู้สึกได้ถึงความกดดันอันน่าเกรงขามที่กดพวกเขาไว้ ในสายตาของซูเฉิน หมัดนี้มีพลังมากพอที่จะทำให้โครงสร้างของความว่างเปล่าบิดเบือนไปเล็กน้อย

แน่นอน มันเป็นเพียงความรู้สึกที่เบาบางมาก

ณ จุดนี้ ซูเฉินเองก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าความแข็งแกร่งรูปแบบใด ถึงจะส่งผลต่อโครงสร้างของความว่างเปล่าได้ แต่มันจะต้องเป็นพลังที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แม้ว่าหุ่นเชิดตัวนี้จะทำให้ความว่างเปล่าบิดเบี้ยวไปเพียงเล็กน้อย ทว่าแค่นั้นก็เรียกได้ว่าเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว

ขณะที่ซูเฉินกำลังเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด หมัดของหุ่นยักษ์ก็ได้ทำลายโล่สวรรค์โพ้นของหลี่ต้าวหง และกระแทกเข้าที่ลำตัวของเขา

โชคดีที่หลี่ต้าวหงยังมีสมบัติล้ำค่าอีกมากมายอยู่บนตัวเขา ในเวลาเดียวกันกับที่หมัดพุ่งเข้าใส่ ร่างกายของเขาก็ทอแสงสีทองขึ้นต้านหมัดอันหนักหน่วงนั้นเอาไว้

ถึงกระนั้น สีหน้าของหลี่ต้าวหงก็ยังเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดอยู่ดี “หุ่นเชิดระดับกองพัน ?”

หุ่นเชิดระดับกองพันนั้นแข็งแกร่งพอที่จะจัดการกับทหารทั้งกองพัน ส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ

“ฮึ่ม ! ทีนี้เจ้ารู้ถึงความแข็งแกร่งของข้าหรือยัง ?” ตงชิงหมิงหัวเราะเย้ย

ที่เขาสามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ไม่ใช่เพียงเพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียวของผู้นำตระกูล แต่ยังเป็นเพราะเขาคืออัจฉริยะหุ่นเชิด

ตงชิงหมิงชอบศึกษาหุ่นเชิดเหล่านี้ตั้งแต่ยังเด็ก เขาชอบออกแบบและสร้างหุ่นเชิดทุกรูปแบบ บางครั้งความสนใจก็สามารถก่อให้เกิดพรสวรรค์ได้ ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างมีทักษะในการสร้างหุ่นเหล่านี้ มิฉะนั้น เขาคงจะไม่พยายามซื้อผ้าเท่อลั่วเค่อมาอย่างไร้เหตุผลเช่นนั้น

ในเวลานี้ หลี่ต้าวหงกำลังคิดว่าจะจัดการกับหุ่นยักษ์ที่ทำเขาตกตะลึงกับปรากฏตัวของมันอย่างไรดี แต่ทันใดนั้นเขาก็พบว่าแสงบนตัวหุ่นนั้นจางลงอย่างเห็นได้ชัด โจมตีครั้งต่อไปของมันคงไม่อาจรุนแรงได้เท่าครั้งก่อนแน่

“กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่ทุกการโจมตีที่จะทรงพลังเช่นนั้น หุ่นเชิดนี้ไม่ได้อยู่ในระดับกองพันอย่างแท้จริง” หลี่ต้าวหงยืนยันกับตัวเอง

ตงชิงหมิงพูดตอบอย่างหงุดหงิด “นี่ เด็กน้อยของข้ายังไม่ได้รับการพัฒนาเต็มที่ การโจมตีแต่ละครั้งนั้นกินพลังงานอย่างมากและต้องใช้เวลาพักฟื้น ไม่อย่างนั้นมันก็คงกลายเป็นหุ่นเชิดระดับกองหนุนไปแล้ว”

เขายอมรับข้อบกพร่องของหุ่นเชิดยักษ์ตัวนี้อย่างง่ายดาย

“ถ้าอย่างนั้น เหตุใดเจ้าถึงได้วางท่ามั่นอกมั่นใจเสียขนาดนั้นกัน ?” หลี่ต้าวหงเองก็เริ่มไม่สบอารมณ์แล้วเช่นกัน เขาปล่อยลำแสงออกจากฝ่ามือของเขาราวกับสายฝน

สายเลือดนิมิตลาวัณย์เป็นสายเลือดที่รู้จักกันว่า เชี่ยวชาญในการควบคุมวิญญาณ โจมตีจิตสำนึก และการสร้างภาพลวงตา อย่างไรก็ตาม ทักษะควบคุมจิตของมันไม่มีประโยชน์อะไรในสนามรบ และสามารถใช้ได้เฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่ใช่การต่อสู้เท่านั้น โดยปกติแล้วพวกเขาจะใช้วิธีปลดปล่อยพลังจิตใส่ศัตรู

จิตสังหารจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซ่อนอยู่ภายใต้ริ้วแสงเหล่านั้น แสงแต่ล่ะสายเปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาล ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้คิดที่จะฆ่าคู่ต่อสู้จริง ๆ แต่ก็เขาก็ไม่ได้ยั้งมือหรือแสดงความเมตตาเลยแม้แต่น้อย

ตงชิงหมิงยิ้มรับ “เพราะข้ามีพวกมันอยู่มากกว่านี้ไง !”

เขาโบกมือและฝูงหุ่นยักษ์ก็ปรากฏตัวออกมา

เขามีหุ่นเชิดจำนวนมากทั้งรูปร่าง ขนาด และประเภทต่างกันล้วนมีอยู่ทั้งหมด พวกมันคือผลงานของตงชิงหมิง ส่วนหุ่นที่ผลิตโดยคนอื่นนั้นเขาจะใช้เพื่อการวิจัยเท่านั้น และไม่เคยพาพวกมันไปด้วย

ปฏิกิริยาแรกของซูเฉินเมื่อเห็นฉากนี้คือ “ชายผู้นี้ต้องมีแหวนต้นกำเนิดขนาดใหญ่อยู่อย่างแน่นอน ! ข้าอยากจะไปคว้ามันมาไว้จริง ๆ!”

*****

(1) ยื่นกิ่งมะกอกให้ เปรียบถึง การหยิบยื่นผูกมิตรไมตรี