บทที่ 79 กระบวนการ
ตงชิงหมิงส่งหุ่นเชิดไปหลายระลอก หลี่ต้าวหงทำทุกวิถีทางเพื่อต้านพวกมัน ดูจากฐานะและมันสมองแล้ว เขามีวิชาอยู่ไม่ใช่น้อย อีกทั้งสายเลือดนิมิตลาวัณย์ยังมีความคล่องตัวสูงที่สุดในหมู่สายเลือดราชวงศ์ แม้จะมีพลังในการต่อสู้ไม่สูง แต่ความคล่องตัวก็มีอยู่สูงมาก ไม่เช่นนั้นหลี่ต้าวหงก็คงไม่ปลุก 2 สายเลือดขึ้นมาได้ง่ายดายเช่นนั้น
ทำให้เขามีวิชาเก็บไว้ใช้อยู่มากมายอย่างน่าตกใจ
ในเวลาไม่นานก็ปล่อยริ้วพลังที่เต็มไปด้วยพลังจิตออกมา เป็นความสามารถของสายเลือดเทพอสูร จากนั้นเติมเต็มท้องฟ้าด้วยเมฆสีเทา อันเป็นการเสริมพลังสายเลือดเทพรัตติกาล ปราณดาบนับพันลอยลิ่วอยู่ทั่วฟ้า ตามด้วยการแปลงกายเป็นรูปปั้นหล่อโลหะเพื่อรับการโจมตีจากหุ่นเชิด 2 วิชานี้เป็นวิชาที่เขาเรียนรู้ระหว่างทาง
คนผู้นี้ใช้วิชาต้นกำเนิดทรงพลังได้ราว 18 วิชา แต่ละวิชาเป็นชั้นยอด ปกติแล้วจะเก็บไว้เป็นความลับอย่างดี แต่ตอนนี้หุ่นเชิดของตงชิงหมิงบีบให้เขาต้องใช้ ซูเฉินหัวเราะอยู่ในลำคอ “เป็นคนในราชวงศ์ของจริง สมกับที่ได้มันสมองข้ารับใช้หลวง ข้าไม่มีอะไรติเกี่ยวกับสติปัญหาของเขาเลย”
จูเซียนเหยาเอ่ยเหยียด “คนผู้นี้สมควรฉลาดสักหน่อยมิใช่หรือ เหตุใดจึงหลอกง่ายเช่นนั้น ? ตอนนี้ยังเผยไพ่ตายอย่างไม่คิดสนใจใครเสียอีก”
ซูเฉินโต้ “อาจจะฉลาด แต่ไม่เฉลียว”
“โอ้ ? มันต่างกันอย่างไรหรือ ?”
ซูเฉินตอบ “คนฉลาดคิดไว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรอบรู้ คำว่าฉลาดเฉลียวนั้นควบรวมจากทั้งสติปัญญา ประสบการณ์ ความรู้ และนิสัย หากความฉลาดเฉลียวเป็นดั่งบุปผา เช่นนั้นการความฉลาดก็เป็นแค่ลำต้นเท่านั้น”
“สติปัญญาเป็นเหมือนราก เขาถึงบอกว่าคนฉลาดจะมองเห็นอะไรชัดเจน หากฉลาดพอก็จะเรียนรู้ไว มีลำต้นหนา ทำให้ซึมซับสารอาหารได้มากกว่า แต่รากก็เป็นได้แค่ราก ไม่ใช่ดอก”
“ประสบการณ์เป็นดั่งใบ คนเราเรียนรู้จากประสบการณ์ทั้งหลายในชีวิต พวกมันสอนให้เราปกป้องและพัฒนาตนเอง หนามบนลำต้นของดอกไม้และตัวใบก็ทำหน้าที่ปกป้องดอกไม้เช่นเดียวกัน”
“ความรู้เป็นเหมือนดิน รากดูดซับสารอาหารเพื่อให้ดอกไม้งาม มนุษย์เรามองโลกเริ่มจากความรู้ พัฒนาขึ้นจากหลักการเดียวกัน หากไร้ซึ่งความรู้ กระทั่งสมองที่ฉลาดที่สุดก็ยังใช้งานได้ไม่เต็มที่ เหมือนคนที่วัน ๆ ล่องลอยไม่คิดทำประโยชน์ ความรู้เป็นตัวกำหนดเค้าโครง หากโครงเล็ก จะฉลาดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์”
“นิสัยเป็นเหมือนเมล็ด ดอกไม้มีหลายชนิด บ้างปกติธรรมในตอนแรก แต่เติบใหญ่แล้วงามจนลืมหายใจ บ้างเติบโตได้ดี แต่สุดท้ายกลับคดงอ สติปัญญาเองก็เช่นกัน นำพาโดยนิสัย พวกนิสัยชั่วช้า ไม่ว่าจะฉลาดสะท้านฟ้าสักเพียงไหนก็เป็นได้เพียงบุปผาพิษ กลับกันแล้ว คนนิสัยจิตใจบริสุทธิ์จะกลายเป็นสมุนไพรที่สามารถเยียวยาคนอื่นได้แม้จะโง่เง่าแค่ไหนก็ตามที”
“พวกข้ารับใช้หลวงเหล่านั้นเป็นตัวอย่างชั้นดี ได้ส่องประกายอยู่ชั่วขณะแล้วมันอย่างไร ? สุดท้ายก็ถูกดับลงจนหมด เช่นนั้นเจ้าดูคนเถื่อน ส่วนมากโง่เง่า แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่ได้ดี คนแรกเป็นเหมือนบุปผาอวดความงามอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายถูกลมพัดผ่านจนถอนราก แต่คนหลังเป็นเหมือนกับหญ้า แม้จะมีฐานะต่ำต้อยดูไม่เลิศเลอ แต่ก็เอาชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมโหดร้ายได้ กลายเป็นผู้ครอบครองดินแดน”
จูเซียนเหยาอึ้งไป กระทั่งมารดาของนาง จูอวิ๋นเยี่ยนและผ้าเท่อลั่วเค่อที่ฟังอยู่เองก็ประหลาดใจด้วย
จูอวิ๋นเยี่ยนเอ่ย “เจ้าคิดเองหรือ ?”
ซูเฉินพยักหน้า “ยามว่างข้าคิดเรื่องนี้อยู่มากจึงได้ข้อสรุปมา ถึงพอมาพูดแล้วจะรู้สึกอายอยู่หน่อยก็เถอะ”
“แต่เจ้าพูดถูกทุกประการ !” ผ้าเท่อลั่วเค่อถอนใจ “มีแต่คนที่เฉลียวฉลาดอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะสามารถวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้ร่วมกันได้ ลักษณะนิสัยน่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และใน 4 ปัจจัยทั้งหลายแล้ว ข้าว่า ‘สติปัญญา’ สำคัญน้อยที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ไม่สำคัญ เพียงแต่แค่มีสติปัญญาอย่างเดียวไม่ใช่เรื่องน่าสรรเสริญ ข้าไม่คิดว่าหลี่ต้าวหงโง่จนไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไร ปากถึงจะรู้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเต็มใจจะทำเช่นนั้น”
ซูเฉินหัวเราะ “หลี่ต้าวหงมีนิสัยเย่อหยิ่งโดยธรรมชาติ ทำให้เป็นคนหัวแข็ง การโจมตีของตงชิงหมิงไม่ใช่สิ่งที่เขายอมรับได้ ดังนั้นจึงดึงดันจะเผชิญหน้ากับตงชิงหมิงทั้งที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
จูเซียนเหยาปรบมือ “เดิมทีข้าคิดว่าหลี่ต้าวหงจะเป็นอุปสรรคชิ้นโตเสียอีก แต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว วางใจลงได้มากทีเดียว”
แต่ซูเฉินส่ายหน้า “พูดกันตามตรง แม้ว่าหลี่ต้าวหงจะมีเรื่องให้ต้องรับมือเช่นกัน แต่บุปผาพิษดอกนี้ก็ยังเกิดอยู่ในราชวงศ์ มีอาจารย์ชั้นเลิศ อีกทั้งยังเคยประสบทั้งร้ายและดี ทำให้สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ ในลักษณะคนเฉลียวฉลาด 5 ประการ เขามีสติปัญญาแล้วอย่างนึง มีความรู้และมีประสบการณ์หลากหลาย มีเพียงแค่ลักษณะนิสัยเท่านั้นที่ขาด แต่การรับมือกับดอกไม้พิษก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เติบโตไปอาจไม่ได้เป็นคนที่มีความสำคัญอะไร แต่ก็ยังเป็นคู่ต่อสู้ทรงพลังที่จะประเมินต่ำไปไม่ได้ !”
เขาไม่ใช่คนใสซื่อที่คิดว่าหลอกหลี่ต้าวหงได้ครั้งหนึ่งแล้วจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ เพราะอย่างไรเขาก็ลงมือในเงามืด ส่วนศัตรูถูกผลักออกไปอยู่กลางแจ้ง หากศัตรูได้โอกาสเตรียมพร้อมสักหน่อย สถานการณ์จะเปลี่ยนเป็นยากลำบาก
ดอกไม้พิษรับมือยากเพราะไม่มีกลยุทธ์ไหนที่ยากเกินไปสำหรับพวกเขา
“ขอให้ถูกหุ่นเชิดของตงชิงหมิงซัดให้หมอบไปเลย !” จูเซียนเหยาพึมพำ
“ข้าว่าคงยาก” ผ้าเท่อลั่วเค่อถอนใจ “ดูจากระยะเวลาการต่อสู้ที่ยาวนานในตอนนี้แล้ว คงจะใกล้จบแล้ว”
ใช่แล้ว ผลลัพธ์จะออกมาในไม่ช้า
ท่าจะใกล้จะได้เห็นผลลัพธ์จากการต่อสู้แล้ว
แม้ว่าตงชิงหมิงจะมีหุ่นเชิดหลายตัว หลี่ต้าวหงก็เชี่ยวชาญหลากหลายวิชา หากยืดระยะเวลาการต่อสู้ออกไป หุ่นเชิดก็จะตายมากขึ้น หากเสียไปสักเล็กน้อยก็คงไม่ใส่ใจเท่าไหร่ แต่คงได้สัมผัสผลจากการสูญเสียลูกน้องไปเป็นจำนวนมากแน่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสายเลือดของหลี่ต้าวหงคือสายเลือดนิมิตลาวัณย์ เชี่ยวชาญด้านการควบคุมผู้อื่น ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดในใจเมื่อรับรู้ว่าต้องเสียทหารของตนไปเท่าไหร่ในการต่อสู้
อาจนับว่าเป็นการสูญเสียทรัพย์สินอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้
ส่วนตงชิงหมิงเองก็รู้สึกเจ็บปวดเมื่อหุ่นเชิดถูกทำลาย แม้ว่าใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถสร้างใหม่ได้ แต่ความสูญเสียทั้งหลายต้องใช้เงินจ่าย เห็นพวกมันถูกทำลายเช่นนั้นแล้วจะไม่เสียใจได้อย่างไร ?
สุดท้ายทั้งสองก็จบเรื่องไว้ทั้งที่เรื่องยังไม่จบ
ระหว่างหลี่ต้าวหงและตงชิงหมิงได้เกิดความบาดหมางขึ้นแล้ว
ทว่าหลี่ต้าวหงก็ยังแอบรู้สึกว่าอาจเป็นไปได้ว่าจูเซียนเหยาเป็นคนวางแผน เขายังไม่รู้ว่าซูเฉินมาถึงแล้ว ถึงได้แต่เชื่อว่าจูเซียนเหยาวางแผน ส่วนตงชิงหมิงนึกถึงเด็กที่ ‘ส่ง’ หุ่นเชิดมาให้เขา ไม่แปลกที่ไม่ขอเงิน เพราะตั้งใจจะเอากลับคืนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่อย่างไรเรื่องก็ยังไม่จบ ในปราสาทแสงต้นกำเนิดมีมนุษย์อยู่แค่ไม่กี่กลุ่มทำให้หาตัวได้ไม่ยาก
ซูเฉินค่อย ๆ ปิด ‘จอ’ ไป “เอาล่ะ การแสดงจบแล้ว ทุกคนควรไปพักผ่อนกันได้แล้ว พรุ่งนี้อย่างไรก็ต้องเดินทางไกล”
“จบเช่นนี้หรือ ?” จูเซียนเหยาถาม
“ย่อมไม่ใช่” ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “ยังมีเวลาอีกนาน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
เช้าวันต่อมา ขบวนพ่อค้าก็ออกจากเมืองล่องนภา
ออกไปได้ไม่นาน หลี่ต้าวหงก็เดินทางออกจากเมืองล่องนภาเช่นกัน
จากนั้นไม่นานตงชิงหมิงก็เดินทางออกไปบ้าง
เขาพบว่าเจ้าเด็กที่มอบหุ่นเชิดให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพ่อค้าตระกูลจู
ที่น่าโมโหที่สุดคือ ในหมู่ตระกูลจูได้มีหุ่นเชิดสื่อสารอยู่ด้วย ไม่มีใครคิดแอบซ่อนมันสักนิด เจ้าหนู แก่นี่มันช่างกล้าเสียจริง !
หากไม่ตามไปก็คงไม่ใช่ตงชิงหมิง อย่างไรก็วางแผนจะกำจัดทั้งหลี่ต้าวหงและคนใช้ตระกูลจูอยู่แล้วด้วย
เรือเคลื่อนเมฆาล่องลอยไปอีกเป็นเวลา 3 วัน
หลังจากพ้น 3 วันไปแล้วก็มาถึงที่ราบมองไกล
ที่ราบมองไกลเคยเป็นสถานที่มีเนินเขาสูง มียอดเขาหนึ่ง ขึ้นชื่อว่าสูงนับแสนลี้ ในสมัยโบราณอาจกล่าวได้ว่าหากไปยืนอยู่ที่ยอดเขาคงมองได้ไกลนัก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ‘มองไกล’ นั่นเอง แต่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงในเชิงพื้นที่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อเวลาผ่านไป มีผู้เชี่ยวชาญมาต่อสู้กันที่นี่ ทำให้กลายเป็นพื้นที่ราบไป
แต่สิ่งที่ผู้คนชื่นชมมากที่สุดก็คือเมฆเซียนย่าง
เมฆเซียนย่างเป็นเมฆที่มีลักษณะเฉพาะ ไม่ได้เกิดจากไอน้ำควบแน่น แต่มาจากสสารพิเศษที่ลอยอยู่ในอากาศ ให้สัมผัสนุ่มนิ่มแต่ไม่ขาดง่าย สามารถขึ้นไปเดินก็ยังได้
ก้อนเมฆเหล่านี้เป็นผลผลิตเขตแดนของเผ่าปักษา เผ่าปักษาปลูกระฆังลม มุกหิมะ บุปผาไร้เงา และพืชชนิดอื่น ๆ ไว้บนเมฆเหล่านี้
เผ่าปักษาส่วนมากกินแต่พืช ด้วยรักความงดงามจึงเลือกกินแต่ดอกไม้และพืชที่มีหน้าตางดงามเป็นหลัก
กังเหยียนบอกว่า กินแต่ของอย่างนั้น หากสามารถมีร่างกายแกร่งได้ก็คงแปลก เผ่าปักษาไม่ใช่ว่าอ่อนแอโดยไร้เหตุ
ซูเฉินพอเข้าใจ เผ่าพันธุ์อัจฉริยะในยุคแรกไร้วิชาบ่มเพาะ หากเผ่าปักษากินเยอะเกินไปจะบินขึ้นหรือ ? ตัวเบาเป็นรากฐานของความสามารถในการบิน จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะยอมแลกความแกร่งด้านร่างกายเพื่อให้บินได้
เป็นเหตุที่เผ่าปักษาจึงเริ่มเสียเปรียบในการต่อสู้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะพอทุกคนบ่มเพาะพลังถึงขั้นก็สามารถบินได้ ลดข้อได้เปรียบเผ่าปักษาลงมาก สุดท้ายก็ถูกบีบให้ต้องอยู่แต่ในปราการลอยฟ้าแทน
แต่นั่นเป็นการพูดนอกเรื่อง
เมฆเซียนย่างเป็นสิ่งที่เผ่าปักษาสร้างและรักษาเอง ปราสาทแสงต้นกำเนิดนับเป็นแนวหน้า จึงไม่มีการปลูกอะไรใด ๆ ไว้ แต่ที่นี่มีเมฆเซียนย่างอยู่ทุกทิศ ชาวบ้านเผ่าปักษากำลังเก็บผลผลิต รดน้ำ ดูแล และปลูกผักทั้งหลายอยู่บนก้อนเมฆ
มองด้านหนึ่งก็เหมือนกับมนุษย์ พึ่งพาการใช้แรงงานหนักหน่วงเพื่อเอาชีวิตรอด ต่างกันก็เพียงแค่อาหาร แต่กระนั้นเผ่าพันธุ์ที่ต้องเอาชีวิตรอดทั้งสองก็ยังเข้ากันไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างกลัวความแตกต่างของชาติพันธุ์
พวกเขาบินผ่านพื้นที่ทางการเกษตรและมุ่งหน้าต่อไป หลังจากเวลาผ่านไปหลายวัน ก็พลันเกิดเสียงสั่นสะเทือนประหลาดขึ้น
ราวกับพื้นพสุธากำลังสั่นสะเทือน
แผ่นดินไหวหรือ ?
เดิมทีได้แต่กังวลใจ แต่ก็เห็นเผ่าปักษาดูไม่คิดมากมายอะไร จึงได้แต่กดความวิตกกังวลไว้ภายในเท่านั้น
เมื่อมุ่งหน้าต่อไปเรื่อย แรงสั่นสะเทือนก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับมีแผ่นโลหะกำลังสั่นอยู่ข้างหูทีเดียว
เผ่าปักษาพวกนั้นเริ่มหยิบที่อุดหูออกมา ดูเหมือนเตรียมไว้นานแล้ว
ของสิ่งหนึ่งที่เผ่าปักษาขายกันทั่วไปคือที่อุดหู ซูเฉินไม่เข้าใจว่าจำเป็นต้องมีพวกมันไปมากมายเพื่ออะไร แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว
เมื่อเสียงสั่นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คนบนเรือเคลื่อนเมฆาก็ได้รู้สักทีว่าต้นเสียงมาจากที่ใด
คนบนเรือคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าต้นเสียงคืออะไร แต่เมื่อเห็นก็อดร้องเสียงประหลาดใจออกมาไม่ได้อยู่ดี