บทที่ 80 หอคอยแห่งความโกลาหล
ปราการขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา
เรือเคลื่อนเมฆารออยู่ประมาณกลางปราการนั่นพอดี ตัวปราการราวกับดาบแทงขึ้นฟ้า คนที่กำลังบินอยู่จำต้องมองขึ้นฟ้ากว้าง คนที่ยืนอยู่ที่พื้นอาจมองไม่เห็นปลายยอดสุดแม้ไม่มีเมฆบดบังด้วยซ้ำ
ซูเฉินกับพวกพบว่าปราการมีทั้งหมด 28 ยอด แต่ละยอดสูงเป็นร้อยจั้ง ทั้งหมดสูงรวมกันราว 3,200 จั้ง มีทั้งหมด 160 ชั้น ยิ่งชั้นสูงเพดานก็ยิ่งยกสูง เผ่าปักษาส่วนมากในเขตโกลาหลอาศัยอยู่ในปราการนี้
ผู้เชี่ยวชาญพลังสามารถมองทะลุก้อนเมฆได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้เห็นอสูรดึกดำบรรพ์ขนาดมหึมาเดินไปเดินมาอยู่บนพื้น โดยแบกปราการไว้บนหลัง
เต่าที่ดูดุร้ายตัวนี้ยาวประมาณ 700 จั้ง ตัวปราการทะลุเข้าที่กลางหลัง เชื่อมต่อกัน ทุกครั้งที่เจ้าเต่าเหยียบย่างก็สะท้านสะเทือนผืนพิภพโดยแรง
เช่นนั้นเสียงกระเทือนที่พวกเขาเริ่มได้ยินก็มาจากเสียงฝีเท้าของมันนี่เอง
นี่คือหอคอยแห่งความโกลาหล
เทียบกับปราสาทแสงต้นกำเนิดแล้ว หอคอยแห่งความโกลาหลดูใหญ่โตโอ่อ่ากว่ามาก เพราะถูกแบกอยู่บนหลังอสูรดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิตอยู่
หลังจากได้รับพลังจากสายเลือดแล้วพวกมนุษย์ก็เริ่มขยายเขตแดนออกมาได้บ้าง ทว่าเผ่าปักษากลับสามารถควบคุมอสูรดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ !
โชคดีที่อสูรดึกดำบรรพ์ตัวนี้มึนงงอย่างหนัก สมองอยู่ในสภาพใช้การไม่ได้ มันจึงทำเพียงเดินวนเป็นวงกลมวงใหญ่ สุดท้ายก็เดินอยู่กับที่นั่นเอง
เมื่อเวลาผ่านไปนาน พื้นดินที่ถูกเหยียบย่างก็แนบสนิทกันแน่น แม้จะใช้ดาบหั่นภูผาโจมตีเต็มกำลังก็ไม่สามารถสร้างร่องรอยใดไว้ได้
หากเกิดการต่อสู้ขึ้นก็คงไม่ต้องมีใครกลัวว่าจะทำลายสิ่งใด
แทนที่จะลงจอด เรือเหาะกลับลงไปเทียบท่าที่ชั้น 78 ของหอคอยแห่งความโกลาหล.
เทียบจากวิธีการที่เผ่าปักษาสร้างหอคอยขึ้นมาแล้ว ชั้นที่ 70 และชั้นที่ 90 เป็นชั้นที่ไว้สำหรับรองรับการเข้าออกของเรือเคลื่อนเมฆาขนาดใหญ่ ดังนั้นชั้นเหล่านี้จึงมีพื้นที่กว้างขวางมาก สูงราว 38 จั้ง
เรือเคลื่อนเมฆาเข้ามาจอดภายในบนพื้นยกสูง แต่เพราะอสูรดึกดำบรรพ์เดินไปมาไม่หยุด คนขับจึงต้องลงจอดอย่างระมัดระวัง นับเป็นการทดสอบฝีมือ อาจเพราะคนขับเรือจากตระกูลจูมีความสามารถสูง จึงสามารถลงจอดได้สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก
“ว้าว ! น่าสนใจจริง ๆ!” จูเซียนเหยาว่าแล้วก็กระโดดลงจากเรือเคลื่อนเมฆา
ขณะที่นางยืนอยู่บนขอบของแท่นและมองลงมา ก็เห็นหัวของเต่าตัวใหญ่ ตาทั้งสองหลับสนิท ส่ายหัวไปมาไม่หยุด แม้จะห่างไกลออกไปเป็น 1000 จั้ง แต่ก็ยังเห็นได้ชัดเจน เห็นถึงกระทั่งหนามแหลมเรียงกันอยู่ที่หลังหัวมันด้วยซ้ำ
“ช่างงดงามเหลือเกิน !” จูเซียนเหยาถอนใจ
“งดงามจริง ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้เห็นอสูรดึกดำบรรพ์” จูอวิ๋นเยี่ยนเอ่ยขึ้นเช่นกัน
ซูเฉินไม่เอ่ยอะไร แต่หันไปทางผ้าเท่อลั่วเค่อ “ท่านคิดว่าอย่างไร ? ผ้าเท่อลั่วเค่อ”
ผ้าเท่อลั่วเค่อส่ายหน้าทื่อ “จินตนาการก็ว่ายากแล้ว ให้เข้าใจคงยากกว่า เมื่อครั้งชาวอาร์คาร์น่ายังอยู่ พวกอสูรดึกดำบรรพ์ต่างก็จำศีลไปกันหมด ทำไมผ่านไปนานแล้วจึงยังมีชีวิตอยู่ได้ ข้าจินตนาการไม่ออกเลย”
การที่เขาใช้คำซ้ำเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความตกใจขนานใหญ่
จูเซียนเหยาคิดบางอย่างแล้วกระซิบซูเฉิน “อยากลงไปดูความลับอสูรดึกดำบรรพ์ข้างล่างกันไหม ?”
โชคร้ายที่จูอวิ๋นเยี่ยนได้ยิน เกือบกระโดดผลุงด้วยความกลัว รีบปิดปากจูเซียนเหยาทันที “อย่าไร้สาระ”
นางเหลือบมองซูเฉิน “เจ้าก็ห้ามตอบ”
ซูเฉินได้แต่พยักหน้า
จูเซียนเหยารู้สึกอึดอัด แต่เมื่อแอบเหลือบมองซูเฉิน เห็นใบหน้ายิ้มน้อย ๆ แล้ว นางก็รู้ความคิดเขาในพลัน
ทั้งคู่ใจกล้า ทำได้ทุกอย่าง อยากลงไปดูอสูรดึกดำบรรพ์นัก
ชั้นที่ 160 ของหอคอยแห่งความโกลาหลแยกออกเป็น 5 ส่วน ส่วนกลางเป็นส่วนรับแขก ทำหน้าที่รับและส่งผู้เยี่ยมชมออกจากหอคอยแห่งความโกลาหล มีร้านเล็ก ๆ และรถม้าฟรีให้ด้วย
เหนือส่วนรับแขกจะเป็นที่อยู่อาศัย เผ่าปักษาส่วนมากอาศัยอยู่ที่นี่ เหนือขึ้นไปคือชนชั้นสูงเผ่าปักษา ฐานะสูงส่ง มีพื้นฐานพลัง ชั้นล่างส่วนรับแขกเป็นสถานที่ผลิตสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ล่างลงไปอีกคือสถานที่รับส่งของ การส่งออกนำเข้าทั้งหลายของหอคอยแห่งความโกลาหลดำเนินการที่นี่ ดังนั้นการป้องกันจึงเน้นที่บนและต่ำสุด ไม่ใช่ที่ตรงกลาง คนนอก โดยเฉพาะจากเผ่าอื่น สามารถอาศัยอยู่ในในส่วนชั้นกลางเท่านั้น ไม่ให้ขึ้นหรือลงไปอีก หากซูเฉินกับจูเซียนเหยาอยากล่วงรู้ความลับของหอคอยแห่งความโกลาหล ก็ต้องลงไปถึงชั้นรับส่งของเสียก่อน และต้องผ่านชั้นที่ใช้ผลิตสิ่งของจำเป็นไปเช่นกัน
จะผ่านไปได้เช่นนั้นโดยไม่ถูกจับได้ก่อนนับว่ายากมาก
กระทั่งข้อมูลที่พวกเขามีอยู่ในมือตอนนี้ก็ยังได้มาจากการสูญเสียชีวิตนับไม่ถ้วน
จูอวิ๋นเยี่ยนจึงห้ามไม่ให้ทั้งสองยอมเสี่ยง
แต่จูเซียนเหยากับซูเฉินเองกลับคิดอีกอย่าง
หลังถึงคอกม้าสาธารณะแล้ว จูเซียนเหยาก็ได้จังหวะคุยกับซูเฉินตอนไร้คน “เจ้าคิดจะเข้าไปอย่างไร ? แปลงกายหรือ ?”
ซูเฉินส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น หอคอยแห่งความโกลาหลเป็นความลับสุดยอดของเผ่าปักษา อย่างไรก็ต้องมีคนมีวิชามองผ่านการแปลงกายทั้งหลายแน่ คงมีค่ายกล เครื่องมือต้นกำเนิด หรือผู้เชี่ยวชาญพลังที่มองการเร้นกายออกอยู่ที่ทางเข้าทุกชั้นเป็นแน่ ถึงจะผ่านหนึ่งไปได้ ก็ยังมีกลไกอีกนับร้อยซ่อนอยู่อีก ยิ่งเข้าไปลึก ก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อย”
จูเซียนเหยารู้สึกอึดอัดอีกครั้ง “ก็หมายความว่าเป็นไปไม่ได้เลยไม่ใช่หรือ ?”
“ก็เป็นไปไม่ได้นั่นล่ะ !” ซูเฉินตอบตามตรง
“แต่เจ้าบอกว่าอยากไปดู”
ซูเฉินหัวร่อ “ข้าพูดจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเข้าไปจากด้านนอก”
“แล้วจะทำอะไรได้อีก ?” จูเซียนเหยาจ้องเขาตาโต
ซูเฉินเห็นสีหน้าสงสัยนางแล้วก็ชอบใจ จึงกอดนางแล้วกระซิบเสียงแผ่ว “ง่าย ๆ ก็ไปดูจากข้างนอกอย่างไรล่ะ”
จากข้างนอก !?
วิธีที่เขาเลือกใช้ทั้งง่ายและตรงไปตรงมาที่สุด
เผ่าปักษาอาจป้องกันด้านในได้ แต่จะป้องกันด้านนอกได้หรือ ?
จูเซียนเหยาตกใจกับความคิดซูเฉินนัก ตัวนางสั่นน้อย ๆ “ไป…… ให้…… ไป…… ข้างนอกหรือ ? เจ้า…… เจ้านี่…… สิ้นสติแล้วหรือไร ? ให้ไปเผชิญหน้า…… กับอสูรดึกดำบรรพ์น่ะหรือ ?”
การออกไปย่อมเป็นเรื่องง่าย กระโดดลงไปก็ขึ้นไปยืนบนหลังมันได้แล้ว
แต่นั่นมันอสูรดึกดำบรรพ์เชียวนะ ! ยืนอยู่ต่อหน้ามันแล้ว มนุษย์ทั้งหลายก็เป็นได้แค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น !
ซูเฉินอยากไปเผชิญหน้ากับมันโดยตรงนั้นหรือ ? เขารู้บ้างหรือไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ?
“ข้ารู้ แต่มันไม่มีสติอีกต่อไปแล้ว” ซูเฉินเอ่ย
“ถึงมันจะสับสนมึนงงไปหมด แต่อย่างไรก็ยังมีชีวิต มันจามนิดเดียวก็อาจจะฆ่าเจ้าได้แล้วใช่ไหมเล่า ?” จูเซียนเหยากล่าว
“ซึ่งก็คือมันต้องรู้วิธีการจามเสียก่อน”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันจะทำได้หรือไม่ได้ ?”
“เพราะข้าเห็นว่ามีเผ่าปักษายืนเฝ้าอยู่ด้านล่าง” ซูเฉินตอบ
มีพวกเผ่าปักษาอยู่ด้านล่างจริง !
ซูเฉินเห็นกับตา
แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่ก็มีอยู่
เท่านั้นก็มากพอแล้ว !
ซึ่งก็หมายความว่าเขาสามารถเข้าใกล้อสูรดึกดำบรรพ์ได้โดยไม่เป็นอันตรายมากนัก
“ในเมื่อด้านล่างมีเผ่าปักษาอยู่ ลงไปเมื่อไหร่ก็ถูกพบตัวทันทีน่ะสิ”
“ไม่เห็นเป็นไร เจ้าพวกนั้นเห็นข้าเข้าไปอาจไม่สนใจก็เป็นได้ หากมองจากด้านนอกแค่นั้นคงไม่เห็นความลับอะไร…… แต่พวกเขาไม่รู้แน่นอนว่าข้าเป็นข้อยกเว้น” ซูเฉินพูดพร้อมเผยรอยยิ้มกว้าง
ในตอนนี้เนตรมองโลกจุลภาคของเขาทรงพลังขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก กระทั่งชาว อาร์คาน่าเองยังไม่อาจทำได้เช่นเขา เมื่อคำนึงถึงความสามารถในการรับรู้เชิงพื้นที่ของตนแล้ว แค่เข้าไปประชิดหน่อยก็เห็นได้มากมายกว่าเผ่าปักษานัก
“แล้วถ้าพวกเขาไม่ยอมล่ะ ?”
“ก็คงจะต้องแก้ปัญหากันสักหน่อย แต่ก็ง่ายกว่าการฝ่าอุปสรรคแต่ละชั้นลงไปนัก”
“…… ก็ได้ แต่ข้าอยากไปด้วย” ในที่สุดนางก็ยอมจำนวน
“เจ้าหรือ ? อาจยังไม่ใช่ครั้งนี้”
“แล้วยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีกหรือ ?” จูเซียนเหยาว่าแล้วก็หยิกจมูกซูเฉิน
ซูเฉินยิ้มขื่น “ข้าใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายได้”
“หึ ถึงวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายจะดีแค่ไหน แต่จะดีได้ก็ต่อเมื่อใช้ติดต่อกัน กระโดดครั้งหนึ่งไปได้ไม่ไกลอะไรนักหรอก” จูเซียนเหยากอดอกเอ่ยเยาะ
นับว่าจริง วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายยังมีข้อจำกัดด้านระยะทางอยู่ แม้จะฝึกจนขั้นสุดแล้วก็ตาม ซูเฉินจึงมักใช้มันหลายครั้งติดต่อกัน แม้ผลจะดี แต่ก็เป็นภาระร่างไม่น้อย ดังนั้นประโยชน์แท้จริงของวิชาคือการใช้ต่อสู้จริง ไม่ใช่การเดินทางระยะไกล
เทพอสูรโจมตีได้ไกลมาก เขาคงใช้วิชาหลบหนีไม่ได้
“นั่นมันเมื่อก่อน” ซูเฉินพูดยิ้ม ๆ
“หือ ?” จูเซียนเหยาชะงักไป
ร่างซูเฉินพลันวาบหายไป ปรากฏใหม่อยู่ห่างออกไปราวพันหมี่
จูเซียนเหยาอึ้งไปเมื่อเห็นเขาพลันปรากฏตัวขึ้นใหม่ห่างออกไปราว 300 จั้ง
พริบตาต่อมา ซูเฉินก็เคลื่อนกายกลับมา ใบหน้าแดงก่ำครู่หนึ่งก่อนจะหายไป
แม้ระยะจะเพิ่มขึ้นมากก็ยังใช้ติดต่อกันได้ แต่ก็นับว่าเป็นภาระให้ร่างหนักมากเช่นกัน
ซูเฉินเอ่ยขึ้น “นี่เป็นผลจากความเข้าใจเรื่องเชิงพื้นที่”
หลังทำความเข้าใจมันแล้ว ซูเฉินก็เริ่มพัฒนาความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกรอบพื้นที่ ตอนนี้เมื่อใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายก็รู้สึกดั่งปลาในน้ำ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า แม้จะส่งภาระหนักให้ร่างเช่นกัน แต่ก็เพิ่มขึ้นเพียง 1 ใน 10 ส่วนเท่านั้น ซึ่งนับว่าคุ้มค่าที่จะแลก อีกทั้งเมื่อมันยังใช้เอาตัวรอดได้ก็ยิ่งคุ้มค่าเหลือหลาย
ซูเฉินเคลื่อนกายได้ไกลเช่นนี้ยังนับว่าแค่เริ่มต้น เขารู้สึกได้ว่า เมื่อเขามีความเข้าใจเรื่องเชิงพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายของเขาก็จะพัฒนาขึ้นเช่นกัน
สิ่งนี้นับเป็นความมั่นใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาทีเดียว
“ข้าเคลื่อนกายได้มากสุด 500 จั้ง แต่เจ้าไปด้วยข้าทำได้แค่ 100 จั้งเท่านั้น นับว่าลดลงมากเกินไป ไหนเจ้าบอกหน่อยว่าควรเอาเจ้าไปด้วยหรือไม่”
จูเซียนเหยาได้ยินแล้วก็โต้ไม่ออก
“ไม่ต้องห่วง มีผ้าเท่อลั่วเค่ออยู่ ข้าเห็นอะไร เจ้าเห็นเช่นกัน” ซูเฉินหัวเราะ “เขาเป็นหุ่นเชิดสื่อสารโบราณที่สภาพสมบูรณ์ที่สุด ถูกสร้างมาก็เพื่อสิ่งนี้นี่ล่ะ”