บทที่ 81 แอบ
หลังข้าวเย็น ซูเฉินก็เดินทางออกไป
เขาลอยลงมาอย่างสงบนิ่งราวกับกลุ่มควัน
อสูรดึกดำบรรพ์ยังคงวิ่งวนเป็นวงกลม แม้ไม่เร็วมาก แต่ทุกย่างก้าวก็รุดหน้าไปนับพันลี้
นับเป็นปัญหาใหญ่ของเผ่าปักษาที่รักษาการณ์อยู่ด้านล่าง เพราะไม่อาจตามความเร็วมันได้ทัน
ทว่าแท้จริงแล้วแก้ไขได้ง่ายนัก
เผ่าปักษาไม่ได้ตามมัน แต่แค่วางทหารจำนวนหนึ่งไว้ทุกเขต เพราะไม่ได้ต้องการปะทะกับมันอยู่แล้ว แต่เพื่อป้องกันการปะทะจากเผ่าอื่นต่างหาก
ไม่ได้กลัวเลยว่าอสูรดึกดำบรรพ์จะเผลอวิ่งเข้าใส่ มันวิ่งไปตามทางของมัน จังหวะมั่นคงแม่นยำ มันจะปรับวิถีของมันเล็กน้อยในทุกย่างก้าว ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นรอยต่อกันเป็นวงกลมงดงามทิ้งไว้บนพื้น
รอยเท้าเหล่านี้ไม่สับสนวุ่นวายเลยสักนิด
ที่อสูรดึกดำบรรพ์ยังวิ่งเป็นระเบียบเช่นนี้ได้อาจเพราะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเผ่าปักษา
ด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ เผ่าปักษาไม่ให้มันหยุดวิ่งเลย
เพราะหยุดไม่ได้ ? หรือเพราะไม่ต้องการ ?
ซูเฉินไม่รู้
ตอนนี้เป้าหมายเขาคือการเข้าใกล้อสูรดึกดำบรรพ์
เขาเพียงแต่อยากลองเท่านั้น
ใช่แล้ว เขาอยากเดินเข้าไปตรง ๆ แล้วดูท่าทีเผ่าปักษา
เขาลงมาอยู่ระดับเดียวกับเจ้าสัตว์อสูรโดยเร็ว เผ่าปักษาทั้งสองมาหยุดไว้ทันที “นี่เป็นเขตหวงห้ามนะมนุษย์ กลับไปที่ที่เจ้าควรอยู่เสีย”
ซูเฉินเหลือบมองอสูรดึกดำบรรพ์เบื้องล่าง
เขาอยู่ใกล้มันมากแล้ว จึงทำให้เห็นหน้ามันไม่ชัด เห็นแต่เนินเขาน้อยที่ปกคลุมกระดองเต่า แม้จะเป็นก้อนที่นูนขึ้นจากหลัง แต่ก็ใหญ่เสียจนเหมือนกับยอดเขาหรือยอดแหลมทีเดียว
“ข้าเพียงอยากชมความสง่างามของอสูรดึกดำบรรพ์กับตาเท่านั้น พวกเจ้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าทำอันตรายมันได้ ใช่ไหมเล่า ?” ซูเฉินหัวเราะ
ทหารปักษาได้ยินแล้วก็หัวเราะเย็น
พวกเขาย่อมไม่เชื่อ
ยามมนุษย์สังหารเทพอสูรทั้ง 9 มีครั้งไหนไม่ให้เผ่าอื่นช่วย ไม่ให้ด่านมหาราชันนับร้อย ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินนับพัน ด่านผลาญจิตวิญญาณนับหมื่นมาช่วยบ้าง ?
ด่านสู่พิสดารตัวกระจ้อยไม่มีทางทำอะไรอสูรดึกดำบรรพ์ได้หรอก
ด้วยเหตุนี้ การป้องกันของเต่ายักษ์จึงอ่อนแอพอสมควร มองมุมหนึ่งก็เป็นเหมือนพิธีการสักอย่างมากกว่าอะไรจริงจังเสียอีก
กระนั้นก็โชคร้ายที่เผ่าปักษาไม่ยอมให้ซูเฉินเข้าใกล้
ทหารปักษาคนหนึ่งเอ่ย “คนนอก เจ้าไม่ใช่ปักษา ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ หากอยากดูก็ยืนดูตรงนี้ พวกข้าให้ได้มากที่สุดเท่านี้”
“งั้นหรือ……” ซูเฉินพึมพำพลางพยักหน้า “เช่นนั้นได้ !”
เขาไม่คิดเถียง แต่ลอยอยู่บนอากาศแล้วมองอสูรเบื้องล่างแทน
แต่ซูเฉินแอบหยิบยาขวดหนึ่งออกมาหยดเลือดลงไปบนหัวของเจ้าเต่า เผ่าปักษาไม่เห็น อสูรดึกดำบรรพ์ยิ่งไม่รู้
ไม่นาน ร่างแยกเลือดหนึ่งของซูเฉินก็เกิดขึ้นใกล้กับอสูรดึกดำบรรพ์
และเพราะหัวมันใหญ่ดั่งภูเขา หนามบนผิวหนังหนาราวภูผา ร่างแยกจึงเหมือนไปยืนอยู่กลางดงไม้ป่า ทหารปักษาจึงไม่อาจเห็น
แต่ก่อนที่ร่างแยกจะทันทำอะไร ซูเฉินก็พลันรู้สึกถึงแรงดันพุ่งมาทางเขา
พริบตาต่อมา ร่างแยกของเขาก็ถูกทำลายเป็นชิ้น ๆ และหายไป
ทรงพลังนัก !
ซูเฉินแอบตกใจ
เขารู้ว่าอสูรดึกดำบรรพ์ไม่ได้ตั้งใจ แต่เพราะมันทรงพลังเกินไป แค่ลมหายใจก็มีแรงกดดันหลุดลอยออกมามากกว่าที่ร่างแยกจะทานไหว จึงถูกทำลายทันที
ไม่แปลกที่เผ่าปักษาได้แต่มองอยู่ไกล ๆ หากไม่เก่งเทียบเท่าด่านสู่พิสดารหรือเหนือกว่าก็คงไม่อาจยืนบนตัวมันได้ด้วยซ้ำ
ร่างหลักของซูเฉินอาจแกร่งมากพอจะต้านแรงกดดันนี้ไหว
ดูท่าจะต้องลงไปเองเสียแล้ว
ซูเฉินหยดเลือดอีกหยดลงไปยามคิดได้ แต่แทนที่จะสร้างอีกร่างแยก เขากลับชี้นิ้วไปทางหนึ่งแทน “ดูตรงนั้นสิ !”
เผ่าปักษาทั้งสองหันไปตามที่เขาชี้ แต่ไม่เห็นอะไร พอหันกลับมาก็เห็นซูเฉินยังยืนเฉย ๆ จึงถามเสียงฉงน “เจ้ามองอะไรกัน ?”
ซูเฉินยักไหล่ “ไม่มีอะไรหรอก ข้าเห็นว่าทิวทัศน์สวยดีก็เท่านั้น”
เผ่าปักษาทั้งสองมองเขา แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ซูเฉินตัวจริงอีก
บนหัวของอสูรดึกดำบรรพ์
ซูเฉินปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนหัวของมัน
เขารู้สึกถึงแรงกดดันอย่างหนักที่ถาโถมเข้ามา
จะยืนหรือเดินยังยาก หากให้สู้คงไม่ไหว
กระนั้นยิ่งเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งสนใจ
เทพอสูร !
เขายืนอยู่บนหัวเทพอสูร !
ได้ยืนอยู่บนเทพอสูรเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็รู้สึกใจหวิวอยู่บ้าง
แต่สำหรับซูเฉิน นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
ซูเฉินมองด้านหลัง เห็นส่วนที่หอคอยแห่งความโกลาหลเชื่อมต่อกับมัน ปราการขนาดใหญ่แทงทะลุลงไปในร่าง ทหารนับไม่ถ้วนยืนรายล้อม ส่วนมากเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าทรงพลังทั้งสิ้น
กระนั้นซูเฉินก็ยังอยากเข้าไปในนั้น
เป็นเพราะชุยอวี่คงเหิน ซูเฉินจึงไม่อยากเผยว่าตนมีวิชามายาในตอนนี้ จึงได้แต่ปิดบังตนเข้าไปแทน
ร่างกายเลือนหายไปกับความมืด ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าปราการไป
ไม่ว่าด้านไหนของหอคอยแห่งความโกลาหลก็จะมีกระจกทองแดงห้อยอยู่ทั้งสิ้น กระจกทองแดงหมุนด้วยค่ายกลต้นกำเนิด ส่องแสงสว่างสะท้อนกันไปมา
ซูเฉินรู้ว่านี่คือวิธีที่เผ่าปักษาใช้สังเกตรอบกาย หากถูกลำแสงเข้า วิชาเร้นกายก็จะคลายทันที
แต่หากหลบพ้นก็ไม่เป็นไร
แต่ยิ่งคิด ก็รู้ว่าแสงจากกระจกทองแดงมันเห็นชัดเกินไป รับมือได้ง่ายเกินเหตุ เผ่าปักษานั้นฉลาด มีหรือจะหละหลวมในการป้องกันเช่นนี้ ? คงมีกลไกลับซ่อนอยู่แน่ หากมีคนแอบเข้ามาโดยหลบลำแสง ก็คงได้ร่วงลงกับดักของจริงแทน
ซูเฉินคิดได้แล้วก็หยุดรุดหน้า สร้างร่างแยกแล้วให้เร้นกายลองเดินรอบลำแสงเหล่านั้นแทน
ร่างแยกก้าวออกไปได้อย่างไร้อุปสรรค แต่เมื่อเข้าใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ก็เกิดแสงหนึ่งพุ่งออกมา กรีดร่างแยกเขาออกเป็นสองส่วน แม้จะยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ตามที
ซูเฉินหรี่ตาลง
วิชาอาร์คาน่าขั้น 9 วิชาคมแสง
วิชานี้ไม่อาจป้องกันได้เลย มันโจมตีเข้ามาไม่อาจระบุทิศได้ ทั้งยังมองผ่านวิชาเร้นกายใด ๆ ก็ได้อีก
ดังนั้นเผ่าปักษาก็มีกุลยุทธ์อื่นอยู่จริงด้วย
เผ่าปักษาสองคนพุ่งออกมาจากหอคอย แต่ไม่เห็นอะไร “อาจมีอะไรผิดพลาดอีกนั่นล่ะ ช่วงนี้ค่ายกลไม่มั่นคงเลย”
“ทำอะไรไม่ได้นี่นะ พลังงานปั่นป่วนรอบข้างมากเกินไปจนค่ายกลต้นกำเนิดส่วนมากไร้สมดุลไปแล้ว”
เผ่าปักษาทั้งคู่ว่าแล้วก็บินกลับจุดประจำการ
ซูเฉินเห็นแล้วก็ตกลงสู่ภวังค์ความคิด
อีก 600 จั้งก็จะถึงปราการแล้ว หรือก็คือหากซูเฉินสามารถเข้าใกล้ได้อีกสัก 100 จั้ง เขาก็จะสามารถเคลื่อนกายเข้าไปได้ทันที
ทว่าการป้องกันของเผ่าปักษาก็มีระยะกว้างไม่น้อย การเข้าใกล้ไปอีกนั้นย่อมเป็นปัญหา วิชาอาร์คาน่าขั้น 9 รับมือไม่ง่าย หากไม่ตายคาที่จากการถูกโจมตี ก็คงบาดเจ็บหนัก
คิดครู่หนึ่งแล้วซูเฉินก็หยิบยาขวดหนึ่งออกจากแหวนแล้วซดลงคอ
มันคือโอสถปลุกวิญญาณ ทำให้พลังจิตแกร่งขึ้น ในตอนนี้เขาได้แต่พึ่งพลังจิตในการรับรู้อันตรายรอบตัวแล้ว
ดื่มยาเสร็จ พลังจิตเขาก็พุ่งสูง ปลดปล่อยออกมาจนสุด ปล่อยจิตให้ล่องลอยไปทั่วทุกทาง เขาไม่มีวิชารับรู้จิตใด ๆ ดังนั้นจึงได้แต่ใช้พลังจิตตนสืบเสาะและวางแผนโจมตีเท่านั้น
เมื่อซูเฉินเข้าใกล้และกำลังจะเคลื่อนกายนั่นเอง ในใจพลันรู้สึกถูกบีบรัด จิตกำลังเตือนเขาถึงอะไรบางอย่าง
ซูเฉินจึงยั้งตนเองไม่ให้ก้าวไปทางนั้นแล้วเปลี่ยนทิศแทน
แม้จะดูเหมือนไม่เป็นไร เขาก็รู้ดีว่าเขารอดพ้นวิชาคมแสงไปฉิวเฉียด ใจเขาเต้นระส่ำจากการที่ความตื่นเต้นแล่นไปทั่วร่าง
สงบใจได้แล้ว เขาจึงมุ่งหน้าต่อด้วยความระวัง เผ่าปักษาฝังกลไกหลายอย่างไว้ต่างที่ มีกับดักอยู่ทุกแห่ง แต่พลังจิตสูงส่งของเขาก็มีประโยชน์ สามารถรับรู้ได้ทันก่อนตกอยู่ในอันตราย แม้จะไร้วิชารับรู้ใด ๆ แต่ในหัวเขาก็เริ่มรู้สึกเหมือนเข้าใจหลักการบางอย่างเบื้องหลังวิชาประเภทนี้แล้ว
แล้วเขาก็รู้วิชามาทั้งอย่างนี้เลยน่ะหรือ ?
ซูเฉินตกใจอยู่บ้างเช่นกัน
วิชารับรู้จิตนั้นเก่งได้ยาก มนุษย์รู้ได้ไม่กี่วิชาเท่านั้น แต่เผ่าวิญญาณนั้นมีหลากวิชา ซูเฉินจึงไม่อาจได้ใช้วิชาประเภทนี้จนกว่าจะมีพลังจิตกล้าแข็งมาก ๆ
แต่ตอนนี้ซูเฉินค้นพบมันแล้วท่ามกลางสถานการณ์กดดัน เริ่มพัฒนาความสามารถในการใช้จิตรับรู้และสัมผัสสภาพแวดล้อมรอบกายเพียงอย่างเดียวได้
แต่ก็ยังไม่อาจรู้ว่ากับดักหรือกลไกอยู่ที่ใด ตั้งอยู่ตรงไหนกันแน่ กระนั้นจับจุดได้นิดหนึ่งก็ช่วยเขาได้มากเกินพอแล้ว
ในตอนที่มุ่งหน้าไปอย่างระวังภัย สุดท้ายก็ผ่านระยะ 100 จั้ง ตอนนี้เขาสามารถใช้วิชาเคลื่อนกายเข้าหอคอยแห่งความโกลาหลได้แล้ว
แต่ความรู้สึกที่หาได้ยากกลับทำให้เขาไม่เคลื่อนกายไปเช่นนั้น
เขาจึงตัดสินใจเดินต่อไป
เขายังปล่อยพลังจิตออกไปเรื่อย ๆ สัมผัสทุกอย่างรอบตัว หลบเลี่ยงกับดักและกลไกรอบกายด้วยความระวัง
หากมีเผ่าวิญญาณอยู่ ก็คงตะโกนด่าว่าเขามีพลังจิตต่ำต้อย ใช้ไม่ได้ไปแล้ว เขาสัมผัสได้แต่อันตรายที่อยู่ในระยะหนึ่งก้าวจากจุดที่ยืนเท่านั้น แต่กลับต้องใช้พลังจิตเกือบทั้งหมด ขณะเดียวกันจิตรับรู้ก็เตือนได้เพียงความรู้สึกอันตรายแผ่วเบาเท่านั้น
แต่อีกมุมหนึ่ง หากพวกนั้นรู้ว่าเขาสามารถก้าวมาถึงจุดนี้โดยไร้อาจารย์ได้ ก็คงได้แต่อ้าปากค้างถึงพื้นไปตาม ๆ กันเป็นแน่
เช่นนี้แล้ว ซูเฉินจึงเดินหน้าฝ่าหนทางอันตรายต่อไปโดยไม่ถูกกับดักสักตัวอย่างน่ามหัศจรรย์ จนกระทั่งมาถึงประตูหน้าปราการ !