ตอนที่ 2921 ปะทะครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิต

Reincarnation Of The Strongest Sword God

เปลี่ยนนิดหน่อยนะ beyond domain realm expert จากขอบเขตโดเมนขั้นสูง เป็นขอบเขตเหนือโดเมน เหนือโดเมนขั้นสูง //ตอนที่ 2921 ปะทะครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิต

หากการต่อสู้อันยาวนาน80ปี ทำให้อควาโรสกับเสวี่ยเหวินโหรวเข้าสู่ขอบเขตเหนือโดเมนได้ เช่นนั้นแล้วเหล่าสัตว์ประหลาดเก่าแก่อายุสองถึงสามร้อยปีก็สามารถทำได้เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นขอบเขตเหนือโดเมนขั้นสูงอีกด้วย
วิชาของเหล่าสัตว์ประหลาดล้วนเป็นวิชาต่อสู้พื้นฐานแทบทั้งหมด ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกันคือการผ่านขอบเขตสวรรค์เพื่อเข้าสู่ขอบเขตที่แท้จริง ซือเฟิงจึงเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า แท้จริงแล้วพวกผู้อาวุโสตั้งใจเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์หรือบังเอิญกันแน่
เทคนิคมานาของเหล่าสัตว์ประหลาดล้วนเต็มไปด้วยกฎต่างๆ โดยหลิงกวงใช้กฎแห่งอัคคี จื่อเมิ่งใช้กฎแห่งเหมันต์ และปิงเจี้ยงใช้กฎแห่งเงา หากพวกเขาเข้าใจกฎแห่งธาตุเหล่านี้อีกเพียงนิด ก็จะมีคุณสมบัติเข้าสู่การเป็นเทพขั้น6 แน่นอน!
ช่างเป็นสัตว์ประหลาดโดยแท้ ระหว่างการรุกรานจากโลกอื่นพวกเขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน?
โดยรวมแล้ว มาตรฐานการต่อสู้ของเหล่าผู้อาวุโสก็ไม่ถือว่าน่าแปลกใจนัก ตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณได้พัฒนาวิชาต่อสู้มาหลายรุ่นแล้ว ซึ่งพวกผู้เฒ่าเหล่านี้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด ก็ได้ขัดเกลาวิชาต่อสู้มานับร้อยปีแล้วเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ซือเฟิงจะเอาประสบการณ์ในก็อดโดเมนเพียง11ปีมาสู้ได้อย่างไรกันล่ะ? ซือเฟิงได้เปรียบตรงที่เขาเข้าสู่ขอบเขตที่แท้จริงและเข้าใจกฎแห่งการทำลายล้างอย่างถ่องแท้ แน่ล่ะ เขาสามารถเอาชนะเหล่าผู้อาวุโสได้อย่างง่ายดาย แค่ช่องว่างระหว่างสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตครึ่งก้าวกับเต็มก้าวก็นับว่ากว้างใหญ่มากแล้ว
เพียงชั่ววินาทีเดียวหลังจากวงโคจรดาบถูกใช้ออกไป หลิงกวงไม่ยอมให้ซือเฟิงได้มีเวลาตั้งตัว เขาตวัดแขนปรากฏเป็นมานาดาบเพลิงแผดเผากลางอากาศ
เทคนิคมานา – ปีกฟินิกซ์
ซือเฟิงยกแขนขึ้น รวบรวมมานาและสร้างดาบยาวสีดำภายใต้กฎแห่งการทำลายล้าง
ดาบที่สอง โฮลี่ดีวอร์
วัฏสงสารแห่งดาบ!

เทคนิคมานาทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน พลังมานาโดยรอบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนกลายเป็นคลื่นกระแทกพุ่งชนหน้าต่างทุกบานจนแตกละเอียด โฮลี่ดีวอร์ซึ่งอยู่ภายใต้กฎแห่งการทำลายล้างสามารถเอาชนะปีกฟินิกซ์ที่ไม่สมบูรณ์ได้อย่างง่ายดาย แต่มานาของดาบสังสารวัฏกลับพุ่งไปหาเทคนิคมานาของปิงเจี้ยง ผู้อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง
ปิงเจี้ยงสามารถหลบการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดาย เพราะเขาเข้าสู่ขอบเขตเหนือโดเมนแล้ว แต่การโจมตีซือเฟิงไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับการถ่วงเวลา หลังจากโจมตีปัดเบี่ยงออกไป ซือเฟิงถึงกับชะงักเมื่อพบว่าบนพื้นปกคลุมไปด้วยหิมะหนาหนัก และมีแท่งน้ำแข็งงอกออกมาบนพื้นและเพดาน โดยหวังผลในการจำกัดการเคลื่อนไหวของซือเฟิง จื่อหมิงแม่เฒ่าอายุสองร้อยปีผู้กำลังสวมใส่เนื้อหนังของสาวงามเยาว์วัย กลับแสยะยิ้มหัวเราะเยาะใส่เขาที่กำลังทำหน้าหงุดหงิดรำคาญใจ

หลิงกวงเองก็รวบรวมมานาอัคคีเป็นหอกและขว้างใส่ซือเฟิง ซึ่งกำลังหยุดชะงักเพราะหิมะกับแท่งน้ำแข็ง เทคนิคมานา- หอกฟินิกซ์! หอกของหลิงกวงพุ่งเป็นวิถีโค้งแล้วข้ามผ่านแท่งน้ำแข็ง จวนจะถึงซือเฟิงแล้ว
“เฮอะ!” ซือเฟิงพ่นลมหายใจอย่างรุนแรง
ดีไวน์เชนจ์
ดาบที่สอง โฮลี่ดีวอร์
ซือเฟิงได้พัฒนาดีไวน์เชนจ์ขึ้นมาเพื่อต่อต้านดีไวน์วิลของรูปปั้นโบราณในเมืองไลท์ฟอร์ก เทคนิคนี้เคยเป็นเทคนิคต่อสู้ระดับทองแดงขั้นสูง ทำให้เขาสามารถควบคุมกล้ามเนื้อทั้งหมดถึง15% แต่หากเป็นตอนนี้ ด้วยระดับสุดยอดปรมาจารย์ทางจิต เขาสามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ถึง30% ซึ่งอย่างน้อยก็ควรจัดเป็นเทคนิคต่อสู้ระดับเงิน มานาที่ถูกสร้างขึ้นใหม่รวมตัวกันภายใต้กฎแห่งการทำลายล้าง กลายเป็นเงาดาบยาวสีดำ อีกทั้งยังรวดเร็วกว่าหอกอัคคีที่กำลังมาถึงตัวซือเฟิงแล้ว
ไลท์นิ่งแฟลช!
ไลท์นิ่งแฟลชเป็นเทคนิคการต่อสู้เชิงรุกระดับทองแดงที่เขาได้รับมาจากโบราณสถานรูนศักดิ์สิทธิ์ของจักรวรรดิออร์ค เป็นเทคนิคต่อสู้ที่สลับซับซ้อนและต้องควบคุมร่างกายให้ดี หากใช้ร่างกายขั้น3ที่อ่อนแอ เทคนิคต่อสู้นี้ไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วเทคนิคดีไวน์เชนจ์จึงนับเป็นการเตรียมพร้อมที่สำคัญมาก

ซือเฟิงตวัดดาบที่ปกคลุมด้วยความมืดออกไป ก่อเกิดเป็นคลื่นดาบสิบเจ็ดคลื่นตัดกับหอกเพลิงของหลิงกวง ดูแล้วช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง

“หลิงกวง หลบไป!” จื่อหมิงตะโกนร้องเตือนอย่างตื่นตระหนก ดวงตาของหลิงกวงเบิกกว้าง พร้อมกับกลิ้งตัวไปด้านข้างอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่นิด ตามมาด้วยเศษอิฐ แท่งน้ำแข็ง กระจก และเฟอร์นิเจอร์ที่แตกกระจาย ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆไปทั่วทั้งห้อง ก่อเกิดเป็นเสียงดังจนหูแทบหนวก
หลิงกวงถึงกับตะลึงงันเมื่อหันกลับไปมองสิ่งที่เกิดขึ้น ห้องประชุมแถบหนึ่งถูกกลืนกินจนว่างเปล่า และเกิดรอยแยกขึ้นระหว่างหลิงกวงกับจื่อหมิง แม้แต่จื่อหมิงที่มีพลังป้องกันอย่างเบ็ดเสร็จสามารถสกัดกั้นการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้ ถึงจะน่าประหลาดใจที่เธอตะโกนบอกให้หลบการโจมตีนี้ แต่เพราะรู้จักเธอมานับร้อยปีแล้ว จึงทำให้เขาไม่สงสัยในการตัดสินใจของเธอสักนิดเลย
เทคนิคมานาของซือเฟิงสามารถเอาชนะหอกฟินิกซ์ได้ ซึ่งเป็นเทคนิคมานาที่ทรงพลังที่สุดที่หลิงกวงมีแล้ว ทั้งยังมีมานาหลงเหลือมากพอที่จะโจมตีหลิงกวงได้อีก
สวรรค์! ช่างเป็นการโจมตีที่ทรงพลังอะไรเยี่ยงนี้?
หลิงกวงมองไปยังจื่อหมิงที่ยืนอยู่อีกฟากของรอยแยก พิจารณาปฏิกิริยาของเธอ พบว่าดูไม่ตกใจสักเท่าใดนัก แต่เธอกลับขบกรามกัดฟันกรอด พร้อมกับปรายตามองซือเฟิงด้วยสีหน้าคับข้องระคนกระวนกระวายใจ
ทำไมกันล่ะ? หลิงกวงเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ

ส่วนซือเฟิงนั้น พบว่าปิงเจี้ยงกำลังร่อนมาพร้อมกับมีเงาดาบสีขาวสว่างวาบพุ่งเข้าหา ซือเฟิงตวัดดาบกลางอากาศเพียงหนึ่งครั้งเพื่อลากร่างนั้นลงกับพื้น ปรากฏหยาดโลหิตไหลรินบนคมดาบราวกับชำระล้างใบดาบให้สะอาดหมดจด
ตัวตนของครึ่งก้าวสุดยอดปรามาจารย์ทางจิตนับเป็นอะไร ไม่มีผู้ใดกล้าดูหมิ่นเหยียดหยามตัวตนนั้น แต่ซือเฟิงกลับไม่สะทกสะท้านไม่แยแสสิ่งใด ทั้งยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว ราวกับการลงมือสังหารปิงเจี้ยงช่างง่ายดายดั่งบดขยี้หนอนแมลง
ทันใดนั้นจื่อหมิงก็เอ่ยปากว่า “เด็กน่าตายผู้นี้ถือว่ามีเทคนิคมานาที่แข็งแกร่งอยู่บ้าง”
“สำหรับคู่ต่อสู้อย่างมัน ฉันจะใช้กฎสนับสนุนแทน”
หลิงกวงชำเลืองมองไปยังจื่อหมิงพร้อมกับคิดในใจ หมายความว่าผู้อาวุโสแห่งสายเลือดเต่าดำซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการป้องกัน ก็ยังไม่สามารถสกัดกั้นเทคนิคของซือเฟิงได้เลย แต่เธอกลับหยิ่งยโสเกินกว่าจะยอมรับความจริงข้อนี้ได้ แล้วตัวเขาที่เป็นผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลิง ผู้สืบสายเลือดแห่งหงส์เพลิง ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการโจมตีแต่ก็ไม่อาจเอาชนะซือเฟิงได้ เขาสามารถยอมรับความจริงนี้ได้ด้วยหรือไม่?
หลิงกวงพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเกรี้ยวกราดเต็มไปด้วยไฟที่ลุกโชนขึ้นมา
เก้าย่างปีศาจ! ท่าเท้าของหลิงกวงทำให้เกิดภาพติดตากลายเป็นหลิงกวงเก้าร่าง นับเป็นเทคนิคต่อสู้ผสมกับเทคนิคมานา ที่ทำให้เกิดภาพติดตาซึ่งไม่อาจแยกออกได้เลยว่าร่างใดเป็นร่างจริง

ดาบที่หนึ่ง ไลท์ชาโดว์
วงโคจรดาบ
ปรากฏมานาล้อมรอบเงาดาบโปร่งแสงจนกลายเป็นกลุ่มดาวกาแล็กซี่ที่ตัดกับแสงอันสว่างไสวของดาบ

“หึ! มุกเดิมๆหรือไง?” หลิงกวงสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับเกิดคำถามสงสัย แต่ทันใดนั้น ก็มีดาวลูกหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเขา
อะไรนะ? นี่มันสามารถขว้างปาดาบเงาในลักษณะนี้ได้ด้วยหรือ?
“เหอะ ไม่มีผลกับฉันหรอก”
เก้าปีศาจ, หนึ่งสังหาร!
ดาวจากดาบของซือเฟิงกำลังกลืนกินร่างทั้งเก้าของหลิงกวง ทำให้แต่ละร่างที่เป็นภาพติดตาค่อยๆหายไปทีละร่าง จนเหลือร่างสุดท้าย ซึ่งเป็นร่างจริงของหลิงกวงพร้อมกับฝ่ามือที่พุ่งออกไป
ตะวันสีชาด!
ภาพที่ซือเฟิงเห็นกลับกลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้า และรู้สึกได้ถึงสภาวะไร้น้ำหนัก
‘เทคนิคมานาภาพลวงตาอย่างนั้นหรือ’ ซือเฟิงขมวดคิ้วเกิดคำถามขึ้นมาในใจ ‘ไม่สิ นี่เป็นแสงสว่างจากมานาอัคคีชัดๆ แต่ทำไมถึงเกิดสภาวะไร้น้ำหนักได้?’ จากนั้นซือเฟิงก็ตัดสินใจปกป้องตัวเอง
ดีไวน์เชนจ์
ดาบที่สอง, โฮลี่ดีวอร์
วงโคจรดาบ!
เมื่อมานาอัคคีที่กำลังส่องสว่างอยู่ค่อยๆจางหายลงไป พร้อมกับสายตาที่กลับมาเป็นปกติ ทุกคนในห้องประชุมกลับพบว่า ซือเฟิงยืนอยู่ได้โดยไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ กลับกัน ยังปรากฏกลุ่มดาวกาแล็กซี่ที่อยู่ล้อมรอบดาบอันสว่างไสว ราวกับเขายืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” หลิงกวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตกใจ เขาใช้เทคนิคมานาได้อย่างไม่มีที่ติแล้วแท้ๆ ซึ่งนั่นจะทำให้ดวงตามืดบอดไปชั่วขณะ และด้วยแท่งน้ำแข็งของจื่อหมิงที่สามารถทำให้อีกฝ่ายลอยขึ้นไปในอากาศ ขณะที่มันกำลังอยู่ในสภาวะมืดบอดและไร้น้ำหนัก พวกเขาทั้งสองก็กระหน่ำเทคนิคมานาใส่คู่ต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้ง แม้แต่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตเหนือโดเมนที่เผชิญหน้ากับเทคนิคประสานก็ยังยากจะต้านทานได้
เมื่อสายตาของซือเฟิงกลับมาเป็นปกติ เขาก็ไม่ได้อยู่เฉย กลับคว้าอะไรบางอย่างกลางอากาศ ราวกับกำลังล้วงเข้าไปหยิบสิ่งของจากอีกมิติหนึ่ง ทันใดนั้นมานาที่อยู่รอบๆตัวก็บิดเบี้ยว ปั่นป่วน ราวกับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดที่ถูกกระชากออกจากกัน ก่อนที่หลิงกวงกับจื่อเมิ่งจะทันรู้สึกตัว มานาที่ฝ่ามือของซือเฟิงได้ก่อเกิดเป็นหลุมดำเล็กๆจากนั้นก็ขยายใหญ่จนกลายเป็นดาบยาวที่สร้างขึ้นมาจากขุมนรก มานาบริสุทธิ์ที่รวมกันอย่างหนาแน่นกลับสร้างพลังทำลายล้างอย่างมหาศาล พวกมันเป็นดั่งสสารมืดที่ค่อยๆดูดกลืนพื้นที่โดยรอบ
ด้วยการปรากฏตัวของซือเฟิงในครั้งนี้ ทำให้ทุกผู้คนรู้สึกสยดสยอง ราวกับความตายกำลังคืบคลานเข้ามา ราวกับหลุมดำกำลังกัดกินแก่นกลางของดวงดาว
“นั่นคือการทำให้เกิดรอยแยกมิติอย่างนั้นหรือ? เจ้าเด็กนั่นเข้าใจกฎแห่งมิติด้วยงั้นหรอ ?” ร่างกายของหลิงกวงสั่นสะท้านขณะจับจ้องมองหลุมดำด้วยความไม่เข้าใจ ทันใดนั้น ซือเฟิงก็หันเหความสนใจไปยังจื่อหมิงที่กำลังยืนอยู่ไกลๆ จื่อหมิงรู้สึกได้ถึงความน่ารังเกียจที่อยู่บนฝ่ามือของซือเฟิง พลันหน้าขาวซีดด้วยความหวาดกลัว
คุกเหมันต์! (Permafrost Prison)
เธอถึงกับต้องใช้เทคนิคมานาก้นหีบซึ่งแข็งแกร่งที่สุดแล้วสำหรับเธอ มานาธาตุน้ำแข็งที่อยู่รอบๆพลันรวมตัวกัน ก่อเกิดเป็นผลึกโปร่งใสอยู่รอบกายจื่อหมิง และคิดว่าจะไม่มีอะไรทะลุเข้ามาได้อย่างแน่นอน
‘แต่มันจะทะลุผ่านเข้ามาได้ไหมล่ะ?’ เธอเกิดคำถามอยู่ภายในใจ จากนั้นซือเฟิงก็ตวัดดาบลงมา ดาบที่นำพาความว่างเปล่ามาสู่โลกใบนี้
ดาบที่สาม, การทำลายล้างศักดิ์สิทธิ์!
ทันทีที่ซือเฟิงเลือกเป้าหมายที่จะฟาดฟันดาบใส่ จื่อหมิงก็ผละจากคุกเหมันต์ไป และรีบใช้มานาเหมันต์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าสร้างเป็นแท่งน้ำแข็งเพื่อผลักตัวเองไปยังอีกฟากของหลุมดำ ฉับพลันเธอก็เห็นว่าหลุมดำนั้นพุ่งลงมายังคุกเหมันต์และหายไปในพริบตา ตลอดทั้งกระบวนการล้วนไม่ส่งเสียงใดๆทั้งสิ้น ดังเช่นที่ความว่างเปล่าก็คือความว่างเปล่า มันช่างเงียบงัน จบกันแล้ว เทคนิคที่ไม่อาจทำลายได้ของจื่อหมิง… ถูกทำลายลงไปในพริบตาแล้ว
เธอมองไปยังซือเฟิงที่กำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับหลิงกวง ซือเฟิงกวัดแกว่งดาบไลท์ชาโดว์ปะทะกับหอกฟินิกซ์ของหลิงกวง ซึ่งเป็นเทคนิคหอกของตระกูลหลิง แต่ดูเหมือนว่า ซือเฟิงจะเอาชนะหลิงกวงได้ในไม่ช้า ไม่สิ พวกเราไม่อาจยอมให้เด็กเหลือขอผู้นี้มาทำให้ขายหน้าอย่างเด็ดขาด!
ทันใดนั้นจื่อหมิงก็รวบรวมมานาน้ำแข็งให้เป็นหอกแล้วขว้างไปยังจุดบอดของซือเฟิง แต่เขากลับเบี่ยงตัวหลบได้อย่างไม่คาดคิด
ดาบที่หนึ่ง, ไลท์ชาโดว์
วัฏสงสารแห่งดาบ!
เงาดาบอันเจิดจ้าก่อตัวตรงหน้าซือเฟิงและปัดหอกน้ำแข็งให้พ้นจากจุดบอดและพุ่งใส่หน้าอกทะลุหัวใจของหลิงกวงอย่างพอดิบพอดี ร่างของชายชราหยุดนิ่งอยู่กับที่ หอกเพลิงในมือเขาค่อยๆสลายหายไป ผู้คนทั่วไปเมื่อพบเจอกับความตายอย่างกระทันหันต่างก็แสดงสีหน้าตื่นตกใจ แต่หลิงกวงกลับจ้องมองจื่อหมิงด้วยแววตาแห่งความผิดหวัง หน้าขาวซีด คุกเข่าลงก่อนจะล้มลงไปพร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้าย
การตายของหลิงกวงเป็นความผิดของจื่อหมิง นี่ถือเป็นการบอกกล่าวโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดๆออกมา และจื่อหมิงก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เธอควรจะใช้เทคนิคสนับสนุน เพื่อมุ่งเน้นไปที่การก่อกวนและจำกัดการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ แต่เธอกลับเลือกที่จะโจมตีทำให้ซือเฟิงใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้อย่างง่ายดาย
ความผิดพลาดที่สำคัญคือทั้งหลิงกวงและจื่อหมิงคาดว่าซือเฟิงหงายไพ่ครบทุกใบแล้ว แต่เขากลับสร้างดาบมานาได้สองเล่ม จื่อหมิงควรคิดได้ว่าซือเฟิงกำลังเก็บงำไพ่เด็ดไว้อยู่ แต่ด้วยความหวาดกลัวและความยโสอันโง่เขลากลับบดบังการตัดสินใจของเธอไป
จื่อหมิงเอ่ยเสียงที่ไร้ความเย่อหยิ่งกับซือเฟิงว่า “เธอยังมีไพ่ตายอยู่อีกหรือไม่?”
ซือเฟิงหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “แน่นอนว่าต้องมีสิ นี่เป็นเรื่องพื้นฐานเลยนะ การซ่อนไพ่ตายไว้ทำให้กิลด์ของผมอยู่รอดได้ในก็อดโดเมนมาตลอดเลยล่ะ” พูดจบ ซือเฟิงก็ยื่นมือออกไปราวกับหยิบยื่นดวงตะวันให้ เงาดาบอันเจิดจ้าทั้งสองเล่มลอยล่องอยู่ด้านหลังซือเฟิงก็แยกออก จนปรากฏดาบที่สาม
ดาบสามเล่มงั้นหรือ? ไม่ใช่สิ… สี่เล่ม ห้าเล่ม…
ปรากฏดาบมานาแปดเล่มแผ่ออกเป็นวงกว้างอยู่ข้างหลังซือเฟิง ราวกับนกยูงแพนหางที่สวยงามสง่า ราวกับอาชูร่าที่กำลังเผยให้เห็นแขนหลายข้าง

จื่อหมิงอ้าปากกว้างที่ได้เห็นภาพที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง แต่เมื่อเธอสบตากับซือเฟิง โลกของเธอก็พลันมืดลง ปรากฏภาพสยองขวัญ การเข่นฆ่า การสังหารหมู่ต่างก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงจิตใจของเธอ
แรงกดดันทางจิตอย่างนั้นหรือ? (Mental oppression) ร่างกายของจื่อหมิงชะงักค้าง แข็งทื่ออยู่กับที่ ความกลัวแล่นผ่านเข้าไปในสมองจนเธอไม่อาจสั่งการร่างกายของเธอได้เลย
“สะ…สุดยอดปรมาจารย์….” จื่อหมิงพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว ในเวลานี้เธอเชื่อแล้วว่า มีเพียงสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถเอาชนะพลังจิตของครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตได้ พวกเราเป็นถึงผู้อาวุโสตระกูลเก่าแก่กลับกลายเป็นของเล่นของเจ้าหนุ่มนี่มาตลอด ในสายตาเขาพวกเราก็เป็นเพียงแมลงที่โง่งม ซึ่งจะบดขยี้เมื่อใดก็ได้ตามที่ใจต้องการ และควรจะหยุดการเคลื่อนไหวตั้งแต่แรกเริ่มเพื่อช่วยชีวิตพวกเราจากการเข่นฆ่าอย่างไร้ความปราณี
ช่างน่าขายหน้าเสียจริง
“ธะ..เธอ ชนะแล้ว…” จื่อหมิงพยายามพูดออกมาให้เป็นคำ ก่อนที่จะล็อกเอาท์ออกจากระบบไป
เมิ่งจางชายหนุ่มผมสีฟ้าที่ยืนพิงกำแพงมองการต่อสู้มาตลอด ไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใด แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันทางจิต ในที่สุดก็ทำให้เขาลืมตาขึ้นมา และเมื่อซือเฟิงสบตากับเมิ่งจาง เขาก็รู้สึกสั่นสะท้าน
ผู้ชายคนนี้มีดวงตาที่เป็นเอกลักษณ์มาก นั่นเพราะเป็นดวงตาที่ไม่อาจพบเห็นได้ตามธรรมชาติของมนุษย์ ซือเฟิงเคยเห็นดวงตาแบบนี้ในวีดีโอจากชีวิตก่อนหน้า แต่ไม่เคยเจอกับผู้เล่นเลย ดวงตาคู่นั้นเป็นสีดำสนิท ไร้แสงสว่าง ไร้อารมณ์ ไร้ความเห็นอกเห็นใจ ไร้มนุษยธรรม NPC ระดับเทพโบราณที่มีดวงตาปกติก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีมนุษยธรรม ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่แรงกดดันทางจิตแผ่ขยายไปทั่วทั้งห้อง เมิ่งจางดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลย ราวกับพายุหิมะที่ปะทะเข้ากับภูเขาที่แข็งแกร่ง
อย่าประเมินคนผู้นี้ต่ำไป… ถ้าอย่างนั้นก็มีสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตอีกคนหนึ่งแล้วน่ะสิ น่าสนใจจริงๆ
เมิ่งจางพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วล็อกเอาท์ออกจากระบบไป

เมื่อซือเฟิงถอนแรงกดดันทางจิตกลับมา แล้วมองไปยังสองคนที่เหลืออยู่ในห้อง
“เอาล่ะ.. ทีนี้ใครจะอธิบายเรื่องต่างๆในโลกหลักให้ผมฟัง?”
“….” เซี่ยชิงหยางพูดไม่ออก
“….” เซี่ยอู๋หยวนก็พูดไม่ออกเช่นเดียวกัน