“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ” ท่านเฟิงยืนขึ้น “องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ ไม่รู้ความ ทั้งฝ่าบาทยังมีหลายเรื่องที่ทรงปิดบังองค์รัชทายาท คงหลีกเลี่ยงไม่ได้หากองค์รัชทายาทจะสงสัยพวกเรา เช่นนั้น… พวกเราบอกแผนการให้องค์รัชทายาทฟังอย่างละเอียดมิดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ! ”
ตงหลิงหวงเป็นพระธิดาของเขา ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินทรงทราบดีกว่าผู้ใดว่านางยังทรงพระเยาว์ไม่รู้ความหรือไม่
พระองค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักพระพักตร์ “พรุ่งนี้เช้าให้รัชทายาทมาพบข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ! ” องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกกระโจมตอบรับอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ภายในกระโจมของแม่ทัพผาง ทุกคนต่างรายงานตงหลิงหวงเกี่ยวกับสถานการณ์ของค่ายทหารแคว้นหนานหลีที่พวกเขาไปสืบมา
สถานการณ์โดยรวมคล้ายกับสิ่งที่องครักษ์เงาของตงหลิงหวงทราบ
จากนั้นทุกคนจึงปรึกษากันเกี่ยวกับสถานการณ์ในราชสำนักแคว้นตงเฉิน
ทันใดนั้น ด้านนอกกระโจมก็มีเสียงทุ้มต่ำและกดดันของอู๋ซวงดังขึ้น
“องค์รัชทายาท”
แม้อู๋ซวงจะพยายามสงบจิตใจของตนเองมากแล้ว ทว่าตงหลิงหวงฟังจากน้ำเสียงของอู๋ซวงก็รู้ได้ทันทีว่านางเกิดเรื่องแน่นอน ทั้งยังเป็นเรื่องเร่งด่วนอีกด้วย
หากไม่ใช่เรื่องสำคัญ อู๋ซวงจะไม่มารบกวนในเวลานี้เป็นแน่
“เข้ามา”
ตงหลิงหวงสั่งให้อู๋ซวงเข้ามาในกระโจมทันที
อู๋ซวงเดินมายังข้างกายตงหลิงหวงและกระซิบอันใดบางอย่างข้างหูของนาง จากนั้นจึงยื่นจดหมายให้
ตงหลิงหวงเปิดจดหมาย แววตาของนางถมึงทึง ทั้งยังนิ่งเงียบเป็นเวลานาน
แม่ทัพฮัว แม่ทัพผาง และแม่ทัพซ่งอดสงสัยไม่ได้ พวกเขาต่างชะเง้อมองจดหมายในมือของตงหลิงหวง
ภายใต้ความเงียบงัน ตงหลิงหวงเป็นคนแรกที่เอ่ยทำลายความเงียบ “เรื่องนี้มีอันใดตกหล่นหรือไม่”
อู๋ซวงมั่นใจอย่างมาก “ไม่มีตกหล่นเพคะ! จดหมายฉบับนี้ ฉานเยวี่ยได้มาจากกองครักษ์ในกองทัพยวี่หลินที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยมากที่สุด เมื่อสักครู่ ฉานเยวี่ยแย่งมันมากับมือ”
ในเมื่ออู๋ซวงพูดเช่นนี้ คนที่อยู่เคียงข้างนางคงไม่ได้ทำอันใดผิดพลาดหรือประมาท
ทว่า…
ตงหลิงหวงอดขมวดคิ้วไม่ได้
ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
แม้บนจดหมายจะเขียนว่า ‘ฉีอ๋องแคว้นหนานหลี’ ทว่าไม่มีคำใดอยู่ในข้อความ
จดหมายนี้มีปริศนาอันใดกัน?
นางดูอยู่หลายครั้งและยืนยันหลายครั้ง
ทักษะทางการแพทย์ของนางดีมาก หากจดหมายนี้เคลือบด้วยยาที่มองไม่เห็นหรือสิ่งใดก็ตาม นางต้องมองออกอย่างแน่นอน
ทว่าน่าเสียดายที่จดหมายฉบับนี้เป็นเพียงกระดาษสีขาวธรรมดาเท่านั้น
ตงหลิงหวงยื่นจดหมายในมือไปให้แม่ทัพผาง
“ทุกท่านคิดว่าอย่างไร? ”
แม่ทัพผางรับจดหมาย แม่ทัพซ่งกับแม่ทัพฮัวจึงเข้ามาดู เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ทว่าพวกเขามองไม่เห็นคำใดที่ผิดปกติแม้แต่น้อย ทุกคนต่างสับสน
ภายในกระโจมที่เงียบงัน มีเพียงเสียงปริแตกของถ่านและเสียงเคาะนิ้วบนพนักเก้าอี้ของตงหลิงหวง
แม่ทัพทั้งสาม รวมถึงอู๋ซวงต่างขมวดคิ้วและครุ่นคิดอย่างหนัก
ครู่หนึ่ง ขณะที่อู๋ซวงกำลังจะพูด ดวงตาสงบนิ่งของตงหลิงหวงพลันปรากฏความขึงขัง นางลุกขึ้นทันที
“แย่แล้ว หลงกลแล้ว”
หลงกลแล้ว?
อู๋ซวงคิดอันใดได้บางอย่าง ก่อนที่ตงหลิงหวงจะพูดอันใด นางก็รีบวิ่งออกไปราวกับสายลม
แม่ทัพทั้งสามยังไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ตงหลิงหวงนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยใบหน้าถมึงทึง นางกำที่พักแขนของเก้าอี้จนนิ้วมือซีดขาว
เมื่อทั้งสามคนเห็นเช่นนี้ ต่างไม่กล้าพูดอันใดอีก พวกเขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเย็นยะเยือกรอบตัวของตงหลิงหวงจนไม่กล้าส่งเสียงดัง
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน อู๋ซวงกลับมาหลังจากนั้นราวครึ่งชั่วยาม
แววตาถมึงทึงของตงหลิงหวงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย นางเงยศีรษะขึ้นอย่างเชื่องช้า
อู๋ซวงส่ายศีรษะด้วยใบหน้าสิ้นหวังและตำหนิตนเอง
“องค์รัชทายาท สายไปเสียแล้ว จดหมายฉบับจริงถูกส่งออกไปแล้ว ไม่แน่ว่าตอนนี้คงส่งถึงกระโจมของท่านจอมทัพแคว้นหนานหลี เป็นความผิดของหม่อมฉันเองที่ไม่สังเกตให้ดี”
ตงหลิงหวงยังคงนิ่งเงียบ บรรยากาศภายในกระโจมเงียบสงัด
เรื่องนี้จะตำหนิอู๋ซวงได้อย่างไร?
ต่อให้นางส่งฉานเยวี่ยออกไป ก็ถูกเสด็จพ่อของนางจัดการแน่นอน ดูแล้ว… นางคงประเมินความแข็งแกร่งของเสด็จพ่อต่ำเกินไป
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางวางแผนอย่างลึกซึ้ง ประเมินเหตุการณ์ทั้งหมด ใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเอง อาจกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดในแคว้นหนานหลีที่นางไม่สามารถคาดเดาได้ และไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของนาง
ยกเว้นเพียงคนเดียว นั่นคือเสด็จพ่อของนาง
การต่อสู้ระหว่างพ่อกับบุตรสาวครั้งนี้ นางเสียเปรียบอีกครั้ง
แม่ทัพทั้งสามยังไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น พวกเขามองหน้ากันด้วยความสงสัย ในที่สุด แม่ทัพผางก็พูดขึ้น
“องค์รัชทายาท เกิดอันใดขึ้นกันแน่ กระหม่อมทั้งสามคนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น”
อู๋ซวงเข้าใจความคิดของตงหลิงหวงอย่างลึกซึ้ง ในเวลานี้ นางต้องขบคิดหาแผนการรับมือ ไม่มีเวลามาอธิบายกับท่านแม่ทัพทั้งสามให้มากความ อู๋ซวงเหลือบมองตงหลิงหวง
เมื่อเห็นว่าตงหลิงหวงไม่มีท่าทีคัดค้าน นางจึงอธิบายว่า “เรื่องเป็นเช่นนี้ หลายวันมานี้ องค์รัชทายาทได้เคลื่อนไหวบ้างแล้ว พระองค์ส่งคนไปจับตาสถานการณ์ทางฝั่งของฝ่าบาทอย่างใกล้ชิด แม้จะไม่ได้ยินว่าข้างในกระโจมหารือกันเรื่องอันใด ทว่าขอเพียงฝ่าบาทมีความเคลื่อนไหว ทุกอย่างย่อมอยู่ในความควบคุมขององค์รัชทายาททั้งสิ้น
โดยเฉพาะจดหมายโต้ตอบทางการทหารกับแคว้นหนานหลี
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึง… ฝ่าบาททรงใช้ยุทธวิธีหลอกซ้ายกลับโจมตีขวา”
ใช้จดหมายเปล่าเพื่อดึงความสนใจของตงหลิงหวง จากนั้นก็ส่งจดหมายฉบับจริงออกไป
สีหน้าของแม่ทัพซ่งพลันเปลี่ยนไป “ฝ่าบาททรงสงสัยในตัวองค์รัชทายาทและทรงปิดบังพระองค์แล้วกระมัง? ”
ใครบอกว่าไม่ใช่!
“อย่างไรเสีย องค์รัชทายาทก็คือรัชทายาทแห่งแคว้นตงเฉินเรา! ฝ่าบาททรงปิดบังเช่นนี้เพื่อการใด? ” แม่ทัพซ่งกล่าว
แม่ทัพฮัวกระชากเสียงเย็นชา “หึ ฝ่าบาททรงเห็นผิดเป็นชอบไปแล้วกระมัง ยังต้องพูดอันใดอีกหรือ? ”
แม่ทัพฮัวไม่พอใจกับการกระทำของฝ่าบาทที่มีต่อองค์รัชทายาท
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเพราะเหตุใดฝ่าบาทต้องปิดบังองค์รัชทายาท ทว่าอู๋ซวงติดตามตงหลิงหวงมาตลอดทั้งวัน นางย่อมทราบดี
นางต้องการเตือนตงหลิงหวงว่า ‘แม้ฉีอ๋องจะมีไหวพริบและความสามารถ ทว่าเขาก็เป็นทายาทเพียงผู้เดียวของแคว้นหนานหลี รัชทายาทเองก็ต้องสืบทอดปกครองแคว้นตงเฉินในอนาคตเช่นกัน บางสิ่งเมื่อถึงเวลาที่ควรปล่อยวางก็ควรปล่อย สำหรับผู้ที่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ย่อมทำให้ฝ่าบาททรงระแวงสงสัย นับเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำจริงๆ ’
ทว่าที่นี่ยังมีคนอื่น เป็นไปไม่ได้ที่อู๋ซวงจะพูดคำเหล่านี้ออกมาต่อหน้าตงหลิงหวงในเวลาเช่นนี้
ตงหลิงหวงนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ และขมวดคิ้วด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย
“ช่างเถิด วันนี้ก็พอเท่านี้! ท่านแม่ทัพทั้งสามกลับไปพักผ่อนที่กระโจมของพวกท่านเถิด! ”
หลังจากพูดจบ ตงหลิงหวงก็ลุกขึ้นและเดินออกไป
แม่ทัพทั้งสามกำลังจะอ้าปากพูด พวกเขาเหมือนต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอันใด
ตงหลิงหวงเดินออกจากกระโจม แม้นางจะเดินตรงไปยังกระโจมของตนเอง ทว่าดูเหมือนนางกำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ทำให้เดินช้าลงเล็กน้อย
อู๋ซวงเดินตามอยู่ด้านหลังตงหลิงหวง หลายครั้งที่นางต้องการเอ่ยปากพูด แต่ไม่ได้พูดออกมา จนกระทั่งเดินเข้ามาในกระโจม นางจึงอดพูดขึ้นไม่ได้
“รัชทายาท… ”
ทันทีที่อู๋ซวงพูดขึ้น ตงหลิงหวงก็ราวกับรู้ว่านางต้องการจะพูดอันใด
“ไม่ต้องกังวล ข้ารู้จักแยกแยะ”
อู๋ซวงขมวดคิ้วแน่น
หากรู้ว่าควรทำอย่างไร คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นวันนี้กระมัง
ฝ่าบาททรงสงสัยและทรงปิดบังองค์รัชทายาท หากฝ่าบาทล่วงรู้ความคิดขององค์รัชทายาทเข้าจริงๆ ไม่รู้ว่าพระองค์จะทรงจัดการกับนางอย่างไร
ตงหลิงหวงเดินไปสองก้าวและหยุดชะงัก ก่อนจะถามกลับว่า “มันชัดเจนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
อู๋ซวงสบแววตาสงบนิ่งของตงหลิงหวง และพยักหน้าอย่างจริงจัง “บางครั้งองค์รัชทายาทก็ควรสงบพระทัยไว้บ้าง โดยเฉพาะในสนามรบ แววตาที่พระองค์จ้องมองฉีอ๋องนั้นแทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้วเพคะ
ในอดีตอาจปิดบังผู้อื่นได้ อย่างไรเสียในสนามรบก็มีแต่พวกหยาบกระด้าง
ทว่าบัดนี้ ฮ่องเต้เสด็จมาถึงที่นี่แล้ว ฝ่าบาทไม่เหมือนผู้อื่น”
ตงหลิงหวงส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
นางคิดว่านางเป็นคนไร้หัวใจ เย็นชา และปิดกั้นตนเองมากพอ
กลับไม่คิดว่า…
ขณะนั้นเอง จู่ๆ เสียงของทหารรักษาพระองค์ก็ดังขึ้นจากทางด้านนอก “องค์รัชทายาท องครักษ์เหลิ่งขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์เหลิ่ง ทหารรักษาพระองค์?
คนในกองทัพยวี่หลิน!
มาตามหานางในเวลานี้ ต้องการจะทำอันใด?