อู๋ซวงเหลือบมองตงหลิงหวง เมื่อเห็นตงหลงหวงให้สัญญาณ นางจึงส่งเสียงออกไปด้านนอก
“เข้ามาได้! ”
องครักษ์เหลิ่งสมกับเป็นหัวหน้าองครักษ์ของกองทัพยวี่หลิน ทันทีที่เดินเข้ามา ชุดเกราะทหารอันน่าเกรงขามก็ปรากฏให้เห็นชัดเจน
“คำนับองค์รัชทายาท”
“ฝ่าบาททรงรับสั่งให้องครักษ์เหลิ่งมาหาข้ากลางดึก มีเรื่องสำคัญอันใดหรือ? ”
“มีเรื่องสำคัญจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้องค์รัชทายาทเข้าเฝ้าเพื่อหารือในเช้าวันพรุ่งนี้”
“ข้าทราบแล้ว ลำบากท่านแล้ว องครักษ์เหลิ่ง”
“เป็นหน้าที่ของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ! ในเมื่อกระหม่อมมาถ่ายทอดพระประสงค์ของฝ่าบาทแล้ว เช่นนั้น กระหม่อมขอตัวกลับไปกราบทูล”
แม้อู๋ซวงจะติดตามตงหลิงหวงมานานหลายปี ทว่านางยังรู้สึกสับสนเล็กน้อยหลังจากองครักษ์เหลิ่งออกไป
“ควรทำอย่างไร? ควรทำอย่างไร? ฝ่าบาทคิดจะลงมือแล้วกระมัง”
เมื่อเห็นท่าทางของอู๋ซวง ตงหลิงหวงก็อดหัวเราะไม่ได้ นางทำราวกับว่าตงหลิงหวงจะถูกฝ่าบาทจับตัวไปขังและตัดศีรษะในเช้าวันพรุ่งนี้
“อย่ากังวล หากฝ่าบาทต้องการลงมือจริงๆ คงไม่ใช่ข้าแน่นอน แต่เป็นแคว้นหนานหลี”
อู๋ซวงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางกังวลมากเกินไป
ฝ่าบาทตรัสว่าต้องยุติสงครามระหว่างสองแคว้นภายในเจ็ดวัน พรุ่งนี้เพิ่งจะเป็นวันที่ห้าเท่านั้น หากพรุ่งนี้ไม่คิดวางกลยุทธ์ออกศึกและลงมือ ย่อมไม่ทันการณ์แล้ว
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ภายในใจของอู๋ซวงก็รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย ทว่านางยังกังวลใจอยู่มาก
สิ่งที่นางเป็นกังวลคือองค์รัชทายาท!
เกรงว่าองค์รัชทายาทจะทรงกระทำสิ่งใดที่ทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธ
อย่างไรก็ตาม ยามนี้ตงหลิงหวงไม่มีเวลาขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก นางเดินไปยังแผนที่ชัยภูมิทรายจำลอง และเริ่มวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกครั้ง
นางวิเคราะห์ยุทธวิธีการสงครามที่ฝ่าบาทอาจใช้จัดการกับแคว้นหนานหลี และวิเคราะห์กลยุทธ์ที่แคว้นหนานหลีอาจใช้ตอบโต้…
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ตงหลิงหวงจึงเอ่ยปากพูด
“อู๋ซวง ข้าจำได้ว่าจวิ้นเอ๋อร์มีกลุ่มกำลังทหารซึ่งฝึกด้วยตนเองที่หลานโจว จากหลานโจวมาถึงที่นี่ใช้เวลาเดินทางสองวัน หากส่งนกพิราบสื่อสารไป กองทหารกลุ่มนั้นจะเดินทางมาถึงที่นี่ภายในสองวันใช่หรือไม่? ”
“เดินทางมาถึงทันเพคะ” อู๋ซวงกังวลเล็กน้อย “ทว่า องค์รัชทายาท จดหมายของเราสามารถส่งออกไปได้หรือไม่? ”
“ส่งไม่ได้ก็ต้องส่ง! ให้ฉานเยวี่ยส่งไป ถึงเวลาจำเป็นก็ต้องรับมือเขาด้วยวิธีที่เขาใช้รับมือผู้อื่น”
อู๋ซวงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ความหมายขององค์รัชทายาทคือ ใช้วิธีที่ฝ่าบาทส่งจดหมายไปยังค่ายทหารแคว้นหนานหลีเพื่อจัดการพวกเรา มาจัดการกับฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ?
วิธีการเหล่านี้เป็นวิธีการที่ฝ่าบาทใช้ พระองค์จะหลงกลหรือ?
นอกจากนั้น แม้ฝ่าบาทจะหลงกลจริง ทว่าองค์รัชทายาทจะทรงต่อต้านฝ่าบาทเช่นนี้ได้จริงหรือ?
อู๋ซวงคิดจะพูดเกลี้ยกล่อมองค์รัชทายาทว่า ‘แท้จริงแล้ว หม่อมฉันรู้สึกว่าสิ่งที่พระองค์ควรทำในเวลานี้คือ สงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว และคอยช่วยเหลือฝ่าบาทเมื่อจำเป็น’
อย่างไรเสีย สิ่งที่ฝ่าบาทกำลังปกป้องก็คือแผ่นดินที่พระองค์ต้องรับสืบทอดในอนาคต!
ทว่าคราวนี้ อู๋ซวงต้องอดกลั้นเอาไว้ เพราะนางรู้ดีว่าแม้นางจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
สุดท้ายคืนนี้ จดหมายก็ถูกส่งออกไปตามที่ตงหลิงหวงกล่าวไว้
ตงหลิงหวงไม่ได้นอน นางศึกษาสถานการณ์การสู้รบและแผนที่ทั้งคืน
ในเวลาเดียวกัน อีกคนที่ไม่ได้นอนทั้งคืนก็คือมู่หรงฉี จอมทัพค่ายทหารแคว้นหนานหลี
เพราะมู่หรงฉีได้รับจดหมายที่ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินส่งมาให้เขาด้วยความพยายามอย่างมาก
มู่หรงฉีอ่านข้อความไม่กี่คำในจดหมายหลายร้อยครั้ง
เช้าวันรุ่งขึ้น ตงหลิงหวงไปที่กระโจมบัญชาการเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน
ในเวลานั้น ท่านเฟิงผู้ลึกลับก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน
ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินทรงตรัสเข้าประเด็น “หวงเอ๋อร์ เรื่องการสู้รบครั้งสุดท้ายกับแคว้นหนานหลี ข้าได้ปรึกษากับท่านเฟิงแล้ว”
ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินพูดพลางเดินไปยังแผนที่ชัยภูมิทรายจำลอง “ระหว่างค่ายของพวกเราทั้งสองมีป่าอยู่ตรงกลาง ทางทิศตะวันตกของป่าเป็นหุบเขาที่เรียกว่าหุบเขามรณะ
ถึงเวลานั้น กองทัพของเราจะยื่นข้อเสนอให้มู่หรงฉีมาพบปะกันที่หุบเขามรณะเพื่อเจรจาสงบศึกทั้งสองฝ่ายชั่วคราว จากนั้นพวกเราจะซุ่มโจมตีและจับตัวมู่หรงฉี”
ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินตรัสถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักเล็กน้อย ทำให้ตงหลิงหวงมีโอกาสเอ่ยแทรกได้
“เสด็จพ่อ ทำเช่นนี้คงไม่เหมาะสมกระมัง? ”
ตงหลิงหวงมีท่าทางจริงจังอย่างมาก “การสงครามไม่รังเกียจการทำกลลวง! ถึงเวลานั้น ท่านเฟิงกับข้าจะไปที่หุบเขามรณะด้วยตนเอง ส่วนเจ้านำกองกำลังส่วนหนึ่งบุกโจมตีค่ายทหารแคว้นหนานหลี ต้องสำเร็จเท่านั้น ห้ามล้มเหลว”
แม้ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินจะทรงรับสั่งอย่างเด็ดขาด แต่แววพระเนตรของพระองค์ราวกับมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่ตงหลิงหวงนำกำลังทหารของนางโจมตีค่ายทหารแคว้นหนานหลีจนราบเป็นหน้ากลอง
ทันใดนั้น ตงหลิงหวงก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางระงับอารมณ์ภายในใจ ใบหน้ายังคงสงบนิ่งและไม่แสดงออกมากนัก
“มีคนของเสด็จพ่ออยู่ในค่ายศัตรู ร่วมมือตีขนาบข้างทั้งด้านนอกและด้านในหรือเพคะ? ”
ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินนิ่งเงียบไม่ตอบ เป็นการยอมรับอยู่ในที
ต้องกล่าวว่า จุดนี้เป็นเรื่องที่ตงหลิงหวงคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ นางเคยคิดวางกำลังคนของตนให้แฝงตัวอยู่ในค่ายทหารของมู่หรงฉี ทว่าเป็นเรื่องที่ยากอย่างมาก
ค่ายทหารของมู่หรงฉีมีการจัดการดูแลอย่างรัดกุมเข้มงวด ตั้งแต่การจัดการไปจนถึงการจัดวางหน้าที่ในแต่ละหน่วยงานของกองทัพ ทั้งยังไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นล่วงรู้
ผู้ที่นางเคยส่งไปแฝงตัว ไม่นานก็ถูกพบ และถูกส่งกลับมาด้วยหลายสาเหตุ กล่าวได้ว่ายังไม่ทันได้สืบข่าวอันใดก็ถูกกำจัดออกมาเสียแล้ว
จนถึงทุกวันนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางลำบากใจมากที่สุด
กลับไม่คาดคิดว่าเสด็จพ่อของนางจะทำได้
พระองค์ทำได้อย่างไร?
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จู่ๆ ภายในใจของตงหลิงหวงก็มีบางอย่างวาบขึ้นมา นางหันไปมองท่านเฟิงผู้ลึกลับ
ตงหลิงหวงระงับความสงสัยภายในใจและกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ ข้าพยายามทุกวิถีทางเพื่อส่งคนเข้าไปแฝงตัวอยู่ในค่ายทหารของศัตรู ทว่าไม่สำเร็จเลยสักครั้ง ที่เสด็จพ่อทำสำเร็จในครั้งนี้ คงเป็นเพราะท่านเฟิงกระมัง! ”
ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินไม่สามารถอดกลั้นความสุขเอาไว้ได้ พระองค์ทรงตรัสออกมาก่อนที่ท่านเฟิงจะตอบคำถามของตงหลิงหวง “แน่นอนว่าเป็นฝีมือของท่านเฟิง ท่านเฟิงไม่เพียงเป็นกุนซือของข้าเท่านั้น แต่ยังเป็นแขกคนสำคัญของข้าอีกด้วย”
“แขกคนสำคัญ? ”
ตงหลิงหวงอ่อนไหวกับคำนี้มาก
ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินกำลังจะตรัสอันใดบางอย่าง ทว่าท่านเฟิงผู้ลึกลับกลับส่งสายตาให้ฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน ฮ่องเต้จึงหยุดและเปลี่ยนเรื่องทันที
“มู่หรงฉีเจ้าเล่ห์เพทุบาย เมื่อถึงเวลานัดหมาย เขาอาจจัดวางยอดฝีมือไว้รอบๆ หุบเขามรณะ ทว่าทัพของเราก็มียอดฝีมือไม่น้อย ถึงเวลานั้น ข้าจะไปกับท่านเฟิง นำกองทัพยวี่หลิน คนของค่ายทหารพยัคฆ์บิน และกองทัพวิหคสวรรค์ไปพร้อมกันทั้งหมด
เพื่อเป็นการป้องกัน หากเขาวางยอดฝีมือไว้ที่ค่ายทหาร หรือสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง ข้าจะจัดสรรกำลังพลส่วนหนึ่งของกองทัพยวี่หลินให้เจ้า เจ้าเองก็จัดเตรียมยอดฝีมือของตนด้วย”
ตงหลิงหวงเข้าใจเป็นอย่างดี ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินไม่ได้จัดสรรกำลังคนเพื่อคอยช่วยเหลือนาง แต่เป็นการส่งคนมาคอยจับตาความเคลื่อนไหวของนางเท่านั้น
ทว่านางไม่สามารถปฏิเสธได้ จึงทำได้เพียงยอมรับ
อย่างไรเสีย ฝ่ายตรงข้ามก็คือเสด็จพ่อของนาง ทั้งยังเป็นฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน
ทว่าในใจของตงหลิงหวงยังคงสงสัยอยู่เสมอ
“เสด็จพ่อทรงแน่ใจได้อย่างไรว่ามู่หรงฉีจะรับปากและไปที่หุบเขามรณะตามนัดหมาย เพื่อหารือเรื่องการพักรบชั่วคราวกับกองทัพของเรา? ”
แววพระเนตรของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินเผยความมั่นใจอย่างมาก พระพักตร์ของพระองค์ปรากฏความเคร่งขรึมจริงจัง
“เพราะจดหมายหารือเรื่องการสงบศึกระหว่างสองแคว้นที่ข้าส่งไปให้เด็กน้อยผู้นั้น ข้าตั้งใจให้คนเลียนแบบลายมือและวิธีการเขียนของเจ้า ฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว ต่อให้ไม่นึกถึงทหารจำนวนมากที่ต้องบาดเจ็บล้มตายหากดึงดันจะรบพุ่ง เขาก็ต้องเห็นแก่เจ้าและไปที่หุบเขามรณะแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำตรัสของฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน ตงหลิงหวงพลันตัวแข็งทื่อ และตกตะลึงอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ประโยคนี้ของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินมีความหมายลึกซึ้งอย่างมาก!
ความหมายผิวเผินไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง ทว่าความหมายแอบแฝงนี่สิ…
ความหมายที่ลึกซึ้งนั้น ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินล่วงรู้ถึงจิตใจของนางกับมู่หรงฉี ทั้งยังเปิดเผยประเด็นออกมาให้ทุกคนทราบ
ไม่ว่ามันจะมีความหมายอย่างไร ก็ล้วนอยู่เหนือความคาดหมายของตงหลิงหวง