ตอนที่ 875 เสียงถอนหายใจยามราตรี

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 875 เสียงถอนหายใจยามราตรี

เรื่องที่บิดาตกอยู่ในสถานการณ์มิสู้ดีของราชวงศ์หยู ต่งชูหลานเองก็ทราบดี

ทั้งยังมีเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่กำลังเป็นกังวลเฉกเช่นเดียวกับนาง

ถึงแม้ว่าบัดนี้เยี่ยนชิงอีจะอภิเษกกับหยูเวิ่นเต้าและได้กลายเป็นฮองเฮาแห่งราชวงศ์หยูแล้ว ทว่าสถานะของตระกูลเยี่ยนในราชสำนักก็น่ากระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก

เยี่ยนซือเต้าเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี แต่คำเอ่ยของเขากลับมิมีน้ำหนักเท่ากับจัวหลิวหวินผู้นั้น

บิดาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวคือเยี่ยนฮ่าวชูเสนาบดีกรมกลาโหมซึ่งลำบากยิ่งกว่า เพราะแม้ว่าตำแหน่งเสนาบดีจะมิเปลี่ยนแปลงไป ทว่าคทาอาญาสิทธิ์เคลื่อนทัพจำนวนครึ่งหนึ่งของกรมกลาโหมถูกหยูเวิ่นเต้าริบกลับไปแล้ว

ต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวล้วนเขียนจดหมายไปยังจินหลิง แต่ภายในจดหมายตอบกลับของพวกเขามิเคยเอ่ยถึงเรื่องการมาเยือนราชวงศ์อู๋เลย

สายลมยามราตรีค่อนข้างเย็น ต่งชูหลานที่นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็เอ่ยออกมาว่า “ข้าจะเขียนจดหมายไปเอ่ยถามท่านพ่ออีกคราว่าหมายความเยี่ยงไร”

มิว่าตระกูลต่งหรือตระกูลเยี่ยน ล้วนเป็นขุนนางในราชวงศ์หยูหลายคน

คนจากตระกูลเยี่ยนและตระกูลต่งที่มายังราชวงศ์อู๋พร้อมกันก็แทบจะเป็นสตรีและเด็กที่อยู่ในตระกูลทั้งสิ้น ด้านบุรุษที่รับราชการอยู่ในราชสำนักยังมิสามารถหลีกหนีออกมาได้

บัดนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้นค่อนข้างดี เพราะอย่างน้อยก็ยังมีการแลกเปลี่ยนจดหมายระหว่างพี่และน้องเขยอยู่บ้าง เรื่องที่สนทนากันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้าระหว่างแคว้นเสียส่วนใหญ่ มิเคยเอ่ยถึงเรื่องในอดีตเลยแม้แต่คำเดียว

ในปีนั้นทั้งสองคนอยู่ที่จินหลิงและยังสามารถร่ำสุราร่วมสนทนากันยามราตรีได้อยู่ พวกเขาเป็นพี่น้องที่เคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา

แน่นอนว่าเบื้องหน้าของทั้งสองแคว้นค่อนข้างสงบสุข อย่างน้อยก็ยังไร้บรรยากาศกดดันที่เตรียมจะชักกระบี่ออกมาฟาดฟันกัน

แม้แต่ในเมืองเปียนเฉิง ความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้นก็ยังเป็นมิตรต่อกันมากโข การแลกเปลี่ยนสินค้าก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน

“ท่านพ่อรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก…” ต่งชูหลานเงยหน้าขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวน “ท่านพ่อกังวลว่าท่านจะโจมตีราชวงศ์หยู เยี่ยงนั้นจะทำให้ชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก สุดท้ายก็เกรงว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์สูญเสียกันทั้งสองฝ่าย”

“ในจดหมายที่บิดาของเสี่ยวโหลวส่งมาก็เขียนเยี่ยงนี้ ดังนั้นพวกเขา…ถือได้ว่ากำลังอดทนและแบกรับเอาไว้ พวกเขาล้วนยื่นหนังสือลาออกกับหยูเวิ่นเต้าแล้ว ทว่ายังมิมีหนังสือตอบกลับ คาดว่าที่หยูเวิ่นเต้ายังคงให้พวกเขาดำรงตำแหน่งอยู่ก็เพื่อเตรียมการป้องกันท่านเอาไว้”

สายลมยามราตรีพัดผ่านแผ่วเบา ฟู่เสี่ยวกวนยืนขึ้นพลางใช้สองมือไพล่หลัง

เขาลอบถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “บัดนี้ก็ปล่อยให้เป็นเยี่ยงนี้ไปก่อน เพราะอีกมิช้าก็เร็วพวกเราย่อมได้กลับไปยังจินหลิงอีกครา”

ต่งชูหลานตื่นตกใจขึ้นมาทันใด เพราะนี่เป็นครั้งที่สองที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยเยี่ยงนี้ !

คราแรกเขาเอ่ยว่าดอกท้อที่ซีซานบานแล้ว ทว่าในระยะนี้เรายังกลับไปมิได้ ‘ระยะนี้ มิช้าก็เร็ว’… “ท่านจะโจมตีราชวงศ์หยูจริงหรือ ? ”

ราชวงศ์หยูก็เป็นบ้านเกิดของต่งชูหลานเช่นกัน !

นางมิต้องการให้เกิดสงครามระหว่างสองแคว้นขึ้นมา โดยเฉพาะหยูเวิ่นหวิน เพื่อปลอบโยนจิตใจของหยูเวิ่นหวิน ท่านพี่จึงแต่งตั้งให้นางเป็นจักรพรรดินี แต่สุดท้ายหยูเวิ่นหวินก็เป็นองค์หญิงของราชวงศ์หยู ความกังวลภายในจิตใจของนางจึงหนักอึ้งยิ่งกว่าต่งชูหลานเสียอีก

ทั้งสองเป็นสหายที่สามารถสนทนากันได้ทุกเรื่อง ยามที่อยู่ในวังหลังย่อมสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้งหลายครา

หยูเวิ่นหวินทราบว่าพระบิดาเคยหักหลังสามีของตนหนึ่งครา นางจึงชิงชังพระบิดามากยิ่งนัก แต่สุดท้ายเขาก็เป็นบิดาอยู่ดีและท้ายที่สุดสามีก็มิบุบสลาย สิ่งที่นางหวังคือสามีจะสามารถให้อภัยพระบิดาและปล่อยวางราชวงศ์หยู

เมื่อได้ยินฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยเยี่ยงนี้ ต่งชูหลานก็เข้าใจได้ในทันทีว่าจิตใจของท่านพี่มิเคยปล่อยวางเลย

สิ่งที่พวกนางมิทราบก็คือฟู่เสี่ยวกวนมิได้เกลียดชังราชวงศ์หยู หากเขาเกลียดชังอย่างแท้จริง เขาอาศัยเพียงทองคำกองเท่าภูเขาที่อยู่ในมือ อาศัยทหารดาบเทวะจำนวน 300,000 นาย เพียงเท่านี้ก็สามารถเข้าโจมตีราชวงศ์หยูได้แล้ว

แต่เขามิได้ทำเยี่ยงนั้น เหตุผลคือเขามิยินยอมให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบ เพราะนั่นจะเป็นการสร้างความเจ็บปวดให้แก่ราษฎรของราชวงศ์หยู

เขาหลงรักผืนปฐพีนั้น และผู้คนที่อยู่บนผืนปฐพีนั้นอย่างสุดซึ้ง

ดังนั้นเขาจึงใช้อีกวิธีหนึ่ง วิธีการนี้อ่อนโยนและจำเป็นต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน

“มิมีความจำเป็นต้องโจมตีราชวงศ์หยู เพราะอย่างมากสุดก็แค่ขู่ขวัญหยูเวิ่นเต้าเล็กน้อย จงอย่าลืมว่าข้าเองก็เติบใหญ่ที่ราชวงศ์หยูเช่นกัน ไปเถิด…เนื้อย่างสุกได้ที่แล้ว”

……

……

ณ จวนเยี่ยนเมืองจินหลิงแห่งราชวงศ์หยู

แสงไฟในห้องหนังสือของเยี่ยนเป่ยซียังคงส่องสว่าง สายลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดออกทำให้เปลวเทียนสั่นวูบไหวเล็กน้อย

“ท่านพ่อ การเป็นขุนนางช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ข้าอยากยื่นหนังสือลาออกต่อฝ่าบาทขอรับ” เยี่ยนฮ่าวชูเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนเป่ยซีอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เอ่ยต่ออีกว่า “ความหมายของเสี่ยวโหลวคือ…หากต้องการจากไป เสี่ยวกวนจะส่งโจวถงถงรุดหน้ามารับพวกเราไปยังราชวงศ์อู๋ มิทราบว่าท่านพ่อคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”

เยี่ยนเป่ยซีวางถ้วยชาในมือลง ครุ่นคิดชั่วครู่ พลางหันหน้าไปทางเยี่ยนซือเต้าช้า ๆ “เจ้าก็คิดเยี่ยงนี้หรือ ? ”

เยี่ยนซือเต้านิ่งเงียบไปหลายอึดใจ “ข้าและน้องรองแตกต่างกัน บัดนี้ชิงอีเป็นจักรพรรดินีของราชวงศ์หยู ด้านซีเหวินก็ขึ้นเป็นจือโจวของหลินเจียงแล้ว ต่อให้ข้าลาออกจากตำแหน่ง…ก็เกรงว่าจะมิเหมาะสมที่จะเดินทางจากจินหลิงไป”

เยี่ยนเป่ยซีพยักหน้าเล็กน้อย จ้องมองไปทางเยี่ยนฮ่าวชู “รอก่อนเถิด”

“รออันใดเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

“รอการตัดสินใจของต่งคังผิง”

สีหน้าของเยี่ยนฮ่าวชูเริ่มสับสน เพราะมิทราบว่าการลาออกของตนเกี่ยวข้องอันใดกับการตัดสินใจของต่งคังผิงกัน

“เขาคือเสนาบดีกรมคลัง อย่ามองว่าอำนาจของเขาโดนฉางฮวนกวาดไปจนหมดสิ้นแล้ว เขาทำงานอยู่ในกรมคลังมานานหลายปี เขาย่อมมีวิญญาณจิ้งจอกเฒ่าหลบซ่อนอยู่ในร่างอย่างเงียบ ๆ ”

“ที่พ่อบอกให้พวกเจ้ารั้งรอไปก่อน คือพ่อยังมองมิออกว่าเป้าหมายที่ต่งคังผิงยังอดทนและแบกรับไว้คือเรื่องอันใด เอ่ยกันตามจริง เขาสามารถไปจากราชวงศ์หยูได้ง่ายยิ่งกว่าพวกเจ้าเสียอีก แต่พวกเจ้าลองนึกดูเถิดว่าเมื่อถึงเวลาเข้าประชุมเขาก็เข้า เรื่องที่ควรทำเขาก็ทำไปตามนั้น หรือเมื่อฮ่องเต้เรียกเขาเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษร อย่างมากสุดเขาก็แค่มิแสดงท่าทีอันใดออกมา…”

“บัดนี้นโยบายแห่งชาติของเสี่ยวกวนก็เป็นที่ชัดเจนแล้ว ราชวงศ์หยูกำลังแอบเรียนรู้ สิ่งที่พ่อกังวลคือพวกเขาต้องการวาดเสือเป็นตัว แต่พ่อกลัวว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นสุนัขนี่สิ เรียนไปเรียนมาสุดท้ายก็ล้มลงจนเหลือเพียงความว่างเปล่า หากเป็นเยี่ยงนั้น… ก็สามารถอธิบายถึงเหตุผลที่ต่งคังผิงมิเคลื่อนไหวได้ เพราะเขากำลังรอ…รอวันที่ท้องพระโรงจะพังทลายลงมาเอง”

เยี่ยนซือเต้าตื่นตกใจขึ้นมาทันใด “หรือนี่ก็เป็นกลอุบายของเสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นขอรับ ? ”

“มิอาจสรุปได้ เพราะบัดนี้พ่อยังมองมิออก ทว่าตามสติปัญญาของเสี่ยวกวน หากเขาต้องการวางอุบายใส่ราชวงศ์หยู หมากกระดานนี้ต้องถูกวางไว้ใหญ่โตเป็นแน่ และหากมีเมฆหมอกปกคลุมก็เกรงว่ายากที่จะมองออก”

“เขาจะวางอุบายใส่ราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

เยี่ยนเป่ยซีส่ายศีรษะอีกครา “พ่อก็มิทราบเช่นกัน สรุปแล้วยามที่อยู่ในท้องพระโรง หากได้รับการบีบคั้นจากฝ่าบาทก็จงเรียนรู้จากต่งคังผิงเสีย จงต้มชาหนึ่งกาอย่างเฉยเมย วางตัวเยือกเย็นเสียเถิด จำเอาไว้ว่าจงติดต่อกับเสี่ยวโหลวให้น้อยที่สุด ส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับนโยบายของราชวงศ์อู๋ หากฝ่าบาทมิตรัสถามก็อย่าพยายามเอ่ยถึง”

“หลายวันก่อนพ่อไปนั่งเล่นที่จวนต่ง ได้เห็นภาพอักษรที่ค่อนข้างน่าสนใจในจวนต่งหนึ่งภาพ”

“มองผ่านม่านครึ่งผืนเห็นไผ่เขียว มีเพียงหัวใจของข้าที่บริสุทธิ์ดุจสายน้ำ

ความมั่งคั่งเปรียบดั่งฝัน ทุกสิ่งล้วนเป็นภาพมายา มิว่าเยี่ยงไรใต้หล้าก็ยังไร้ความปรานี”

เยี่ยนเป่ยซีลุกขึ้นยืนช้า ๆ เดินไปทางหน้าต่าง สายลมแผ่วเบาพัดเส้นผมสีดอกเลาปลิวไสว เขาถอนหายใจยาวหนึ่งครา “นี่คือสิ่งที่เสี่ยวกวนเขียนเอาไว้ ช่างสมเหตุสมผลมากยิ่งนัก”

เขาหันหน้ามาทางบุตรชายทั้งสอง ใบหน้าเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้งว่า “พวกเจ้าจงจำเอาไว้ว่าเศรษฐีใหม่ทั้งสามตระกูลที่มาจากราชวงศ์อู๋ อย่าได้ลอบไปมาหาสู่กับพวกเขาเป็นอันขาด ! ”

เยี่ยนซือเต้าและเยี่ยนฮ่าวชูก้มหน้าหลบ เพราะยามอยู่ที่ราชวงศ์อู๋ทั้งสามตระกูลโดนฟู่เสี่ยวกวนไล่ต้อนจนหมดหนทาง สุดท้ายจึงต้องมาขอพึ่งพิงราชวงศ์หยู

ตระกูลเฉินขโมยวิธีกลั่นเกลือขาวมาจากนาเกลือมู่หยาง ในตอนนี้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเป็นอย่างมาก สองวันก่อนหน้านั้นฝ่าบาทเรียกเฉินฉือหัวหน้าตระกูลเฉินและบุตรชายคนโตเฉินหลินเชินไปเข้าเฝ้า พระองค์ทรงพระราชทานตำแหน่งจิ้นซื่อให้เฉินหลินเชินทั้งยังตกรางวัลให้เป็นฉาวซ่านต้าฟูขั้นห้าอีกด้วย เหมือนกับปีนั้นที่อดีตฮ่องเต้ทรงกระทำต่อฟู่เสี่ยวกวนมิผิดเพี้ยน

นี่ย่อมมีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่แน่นอน… ฝ่าบาทประสงค์จะใช้เกลือขาวของตระกูลเฉินโต้กลับนั่นเอง