ตอนที่ 876 ปลูกต้นกล้า

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 876 ปลูกต้นกล้า

ฟู่เสี่ยวกวนและคณะเดินทางต่อเรื่อย ๆ จนถึงโม่โจว

นาข้าวมีการทดน้ำเข้ามาและเริ่มลงต้นกล้าแล้ว เกษตรกรจำนวนมากกำลังวุ่นอยู่ในนา คณะเดินทางของฟู่เสี่ยวกวนมีจำนวนเพียงมิกี่คนจึงมิเป็นจุดสนใจสักเท่าใดนัก

ที่แห่งนี้คือหมู่บ้านหลี่มีจำนวนประชากรอยู่ 50,000 คน แน่นอนว่าล้วนเป็นผู้เช่าที่ดินของเขาทั้งสิ้น

ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปตามคันนาด้วยความปีติยินดีราวกับได้หวนไปยังภูเขาซีซานอีกครา

เขาเดินมายังนาแปลงหนึ่ง จากนั้นก็จ้องมองผู้คนที่กำลังปักต้นกล้า ชาวนาวัยกลางคนผู้หนึ่งที่อยู่กลางแปลงนารู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก เนื่องจากมิเคยเห็นหน้าคุณชายท่านนี้มาก่อนและเห็นได้ชัดว่ามิใช่คนในหมู่บ้านหลี่

อาภรณ์ที่อีกฝ่ายสวมใส่ก็ดูธรรมดา ทว่าผิวพรรณผ่องใสบ่งบอกว่ามิใช่ลูกหลานชาวนาอย่างแน่นอน ท่าทางดูดีมีความรู้ ท่าทีเหมือนนักเรียนจากสำนักศึกษาเสียมากกว่า

“ท่านลุง ต้นกล้านี้อย่าปล่อยมันโตจนสูงเกินไป เพราะมันจะล้มได้โดยง่าย”

หลี่ต้าชะงักเล็กน้อย ไอหยา…คุณชายท่านนี้รู้เรื่องต้นกล้าล้มด้วยหรือ ?

เขาจึงฉีกยิ้มให้พลางเอ่ยว่า “น้องชาย วันพรุ่งนี้ต้นกล้าเหล่านี้จะถูกส่งไปปักในผืนนาแล้วล่ะ ท่านรู้เรื่องการเกษตรด้วยหรือ ? ”

“พอรู้บ้างเล็กน้อย… ท่านลุง ข้าได้ยินมาว่าผืนนาแห่งนี้ล้วนเป็นสถานที่เพาะเลี้ยงต้นกล้า มีผู้มาแนะนำวิธีดูแลให้แก่พวกท่านแล้วหรือยัง ? ”

“มีสิ ! หมู่บ้านหวังเจียชุนที่อยู่ข้าง ๆ ชาวบ้านมีความรู้เรื่องเหล่านี้ดียิ่งนัก อีกทั้งหัวหน้าหมู่บ้านของพวกเขาก็เป็นถึงช่างเทคนิคคนแรก เขามีนามว่าหวางเอ้อและเมื่อสองวันก่อนก็ได้เดินทางมาอธิบายอย่างละเอียดที่หมู่บ้านหลี่”

หลี่ต้ายืดตัวตรง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก จ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชาย ท่านรู้หรือไม่ว่าช่างเทคนิคผู้นี้คือผู้ที่องค์จักรพรรดิเลือกสรรมาด้วยพระองค์เอง หวางเอ้อเอ่ยว่าเมื่อคราที่อยู่ภูเขาซีซาน องค์จักรพรรดิยังเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินอยู่ พระองค์เก่งกาจมากยิ่งนัก เพราะทรงใช้พืชเป็นหมันตัวผู้อันใดสักอย่างนี่แหละ… ชื่อเรียกอาจจะแปลกไปบ้าง มิทราบว่าองค์จักรพรรดิคิดชื่อนั้นออกมาได้เยี่ยงไรกันนะ”

“เอาเป็นว่าพระองค์ได้ผลิตต้นข้าวเหล่านี้ขึ้นมา บัดนี้มีชื่อเรียกว่าฟู่ลิ่วต้าย อ้อ…เดิมทีควรเรียกว่าฟู่อู่ต้ายเพราะในปีนี้เพิ่งเป็นปีที่ห้าเท่านั้น แต่ฝ่าบาทคงทรงงานหนักจนจำผิดไป เช่นนั้นก็เรียกว่าฟู่ลิ่วต้ายเถิด”

“เมื่อปีกลายได้ทดลองทำการเพาะปลูกในที่แห่งนี้ ได้รับผลผลิตมากถึงเจ็ดร้อยกว่าชั่งต่อหนึ่งหมู่ ! มองดูแล้วท่านคงเป็นคุณชายจากตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ท่านมิรู้หรอกว่าการที่ 1 หมู่สามารถผลิตข้าวได้ถึง 700 ชั่งหมายถึงสิ่งใด แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านหลี่ของพวกเราล้วนพากันตกตะลึงจนแทบมิอยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ! ”

“ก่อนหน้านี้พวกเราอาศัยอยู่ในที่ราบสือจ้าง ที่แห่งนั้นนับว่าอุดมสมบูรณ์เลยล่ะ แต่พื้นที่ 1 หมู่สามารถให้ผลผลิตได้มากที่สุดสามร้อยกว่าชั่งเท่านั้น หมายความว่าบัดนี้ผลผลิตเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าตัว ท่านคิดว่าเรื่องนี้น่าตกใจหรือไม่เล่า ? ดังนั้นหัวหน้าหมู่บ้านของเราจึงเอ่ยไว้ว่า เมล็ดพันธ์เหล่านี้ล้วนถูกอาบด้วยแสงแห่งเทพเจ้า ฮ่า ๆ ”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกยินดียิ่ง ส่วนต่งชูหลานที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ได้หัวเราะออกมา เนื่องจากกลั้นขำมิไหวอีกต่อไปแล้ว ชาววัยกลางคนจึงเอ่ยถามว่า “มีอันใดหรือ ? พวกท่านมิเชื่อหรือเยี่ยงไรกัน ? หากมิเชื่อก็สามารถไปเอ่ยถามคนอื่น ๆ ได้เพราะข้า หลี่ต้า มิได้เอ่ยเท็จ”

ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นลูบจมูกเป็นการแก้เขิน ข้ามีแสงแห่งเทพเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

“เมื่อครู่ท่านเอ่ยว่าที่ราบสือจ้างอุดมสมบูรณ์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ใช่แล้ว… น่าเสียดายยิ่งนัก เมื่อสองปีก่อนพวกข้าประสบอุทกภัยอย่างหนัก จึงทำให้บ้านเรือน สวน ไร่นาของเราพังทลายจนสิ้น”

“มีการสร้างเขื่อนขึ้นมาใหม่แล้วมิใช่หรือ ? บัดนี้น่าจะดีขึ้นแล้ว”

“อืม…สร้างใหม่แล้ว” หลี่ต้าเหลี่ยวซ้ายแลขวา จากนั้นก็กระซิบกระซาบกับฟู่เสี่ยวกวนว่า “ในครานั้นองค์จักรพรรดิอู๋ได้เสด็จมาด้วยพระองค์เอง พระองค์ได้ประหารเหล่าขุนนางไปกว่าสามสิบชีวิต จากนั้นก็รับสั่งให้สร้างเขื่อนขึ้นมาใหม่แล้วให้พวกเราทั้งหมดอพยพออกมา แต่ข้าได้ยินมาจากพี่น้องที่ยังอยู่สถานที่แห่งนั้นว่า… เขื่อนใหม่ที่สร้างขึ้นมาใช้เงินในการก่อสร้างมากถึง 30 ล้านตำลึง ! แต่แท้จริงการสร้างเขื่อนใช้เงินเพียงแค่ 10 ล้านตำลึงก็เพียงพอแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน “จักรพรรดิอู๋ประหารขุนนางไปกว่าสามสิบคน แล้วเหตุใดยังมีคนกล้าทุจริตอยู่อีกเล่า ? ”

“เฮ้อ…น้องชายเอ๋ย ท่านยังอ่อนต่อโลกมากนัก เหตุใดพวกเขาจะมิกล้าทุจริตเล่า ? พวกเขากินกันเป็นทอด ๆ ได้ยินมาว่าแม้แต่กรมโยธาธิการ เอ่อ…กรมโยธาธิการในเมืองกวนหยุนก็มีผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่เช่นกัน ท่านอย่าได้แตกตื่นไปเชียว เพราะเรื่องนี้ถือว่าธรรมดามากยิ่งนัก องค์จักรพรรดิของเราเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ได้เพียง 1 ปี อีกทั้งยังเยาว์วัยนัก ถ้าขุนนางเหล่านั้นต้องการหลอกลวงพระองค์ก็คงมิใช่เรื่องยากอันใด”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มเย็นยะเยือกขึ้นมา ขันทีเจี่ยรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันใด หากนี่คือความจริงก็เกรงว่าจะมีคนตายมิน้อย

“ท่านเอ่ยได้ถูกต้อง จักรพรรดิทรงอยู่แต่ในพระราชวัง จะรับรู้ถึงความลำบากของราษฎรได้เยี่ยงไร จะทรงรู้ได้เยี่ยงไรว่าขุนนางเหล่านั้นโกงกินอยู่”

“น้องชาย ท่านเอ่ยเยี่ยงนี้ก็มิถูก เพราะจักรพรรดิของเรารับรู้ถึงความยากลำบากของราษฎรอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นเซียงจูอวี๋ห้าวก็คงมิถือกำเนิดขึ้นหรอก ในหมู่บ้านของพวกเราแต่ละครอบครัวล้วนเลี้ยงหมูเอาไว้ ได้ยินมาว่าการตอนหมูก็เป็นความคิดขององค์จักรพรรดิเช่นกัน อีกอย่างฝ่าบาทยังสร้างสำนักศึกษาขึ้นมาอีกด้วย ที่หมู่บ้านหลี่ก็มีสำนักศึกษาใหม่เช่นกัน มันทั้งกว้างขวางและสว่างไสว ที่สำคัญคือมิต้องเสียเงินเลยสักอีแปะเดียว…”

“ท่านลองคิดดูเถิด ว่าในประวัติศาสตร์มีจักรพรรดิพระองค์ใดทำได้เยี่ยงนี้บ้าง ? ”

“หัวหน้าหมู่บ้านของข้าเอ่ยว่าเมื่อน้ำใสเกินไปก็ไร้ปลา หมายความว่ามีข้าราชการจำนวนมาก แต่จักรพรรดิมีดวงเนตรเพียงคู่เดียว สิ่งที่พระองค์ต้องการเห็นคือสถานการณ์โดยรวมของแคว้น จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมองมิเห็นปลาและกุ้งตัวเล็กที่ทำให้เกิดความเสียหาย เฮ้อ…ข้าก็เพียงเอ่ยออกมาเท่านั้น ท่านฟังผ่าน ๆ หูไปเถิด”

ฟู่เสี่ยวกวนก้มล้างมือในคันนา “ขอบคุณท่านลุงมากยิ่งนัก ได้ฟังคำสั่งสอนของผู้มากประสบการณ์ย่อมมีประโยชน์กว่าการอ่านตำราสิบปีเสียด้วยซ้ำ ข้าได้ความรู้เพิ่มขึ้นมามิน้อย ข้าขอตัวก่อน…ยามที่นำต้นกล้าลงดินก็จงระวังว่าปลูกให้ห่างกันสักหน่อยด้วยล่ะ”

เมื่อเอ่ยจบฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หันหลังเดินจากไป สีหน้าปีติยินดีของเขาซีดเซียวขึ้นมิน้อย บัดนี้ราวกับถูกเมฆหมอกปกคลุมไปทั่วทั้งใบหน้า

เมื่อหลี่ต้ามองตามหลังฟู่เสี่ยวกวนไปจึงรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก เนื่องจากหวางเอ้อมักเอ่ยบ่อย ๆ ว่าเมื่อยามที่นำต้นกล้าลงดิน ให้เว้นระยะห่างกันสักหน่อย

เมื่อเดินมาถึงถนน ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ขึ้นไปบนรถม้าทันที แต่เขากลับหันไปเอ่ยกับขันทีเจี่ยว่า “จงเรียกโจวถงถงมายังหมู่บ้านหวังเจียชุน”

“น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีเจี่ยปล่อยนกพิราบสื่อสารออกไปหนึ่งตัว จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “ทูลฝ่าบาท อย่าทรงเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้เลย ที่ชาวนาผู้นั้นเอ่ยมาก็มีเหตุผล เพราะบัดนี้การจัดการขุนนางก็ใสสะอาดขึ้นมากแล้ว พวกหนอนแมลงที่ทำลายต้นพืชก็ให้โจวถงถงไปจัดการเป็นพอพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมา “ข้าเข้าใจในเหตุผลนี้ดี แต่นั่นคือเขื่อน ! เขื่อนมีความสำคัญต่อชีวิตผู้คน ! ที่ราบสือจ้างเป็นพื้นที่เหมาะสมแก่การเพาะปลูก หากสามารถแก้ไขปัญหาได้ก็จะเอ่ยได้ว่าในน้ำมีปลาในนามีข้าว ผู้คนจะมิอดอยากอีกต่อไป”

“ในตอนที่เกิดเหตุการณ์เขื่อนแตกของอู่หยวนโจวมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นกว่าสามแสนคน ชาวบ้านนับล้านไร้ที่อยู่อาศัย ราษฎรถึงได้อพยพมามากมายเยี่ยงนี้”

“ข้าได้อ่านบันทึกของเขตทั้งหมดตามแนวแม่น้ำต้าหลิงแล้ว พบว่าแม่น้ำต้าหลิงจะเอ่อล้นปีแล้วปีเล่า สาเหตุมาจากต้นน้ำมีขนาดกว้างทว่าปลายน้ำแคบลง เมื่อมีฝนตกหนักก็จะเกิดน้ำท่วมได้อย่างง่ายดาย”

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา “นี่คือเรื่องสำคัญ รอให้พวกเราเสร็จธุระจากหกรัฐแห่งเป่ยเซียวเสียก่อนเถิด จากนั้นก็เดินทางไปยังแม่น้ำต้าหลิงสักหน่อย”

“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ไปกันเถิด ไปยังหมู่บ้านหวังเจียชุน ข้ามิได้พบกับหวางเอ้อเนิ่นนานแล้ว”

เมื่อเขาขึ้นไปนั่งบนรถม้าเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาที่รถม้าทั้งสามคันจะออกเดินทางอีกครา

ด้านในรถม้า ต่งชูหลานลอกเปลือกองุ่นออก จากนั้นก็ป้อนเข้าปากของฟู่เสี่ยวกวน นางยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยว่า “เมื่อเดินทางไปถึงหมู่บ้านหวังเจียชุน ข้าจะไปปลูกต้นกล้ากับท่าน”

ฟู่เสี่ยวกวนจัดการกับอารมณ์ของตนเองชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าปลูกเป็นหรือเยี่ยงไรกัน ? ”

“ฮึ ! ท่านดูถูกผู้ใดกัน ? ในตอนนั้นที่ท่านมิส่งข่าวคราวมา ข้าได้อาศัยอยู่ที่ภูเขาซีซานและเคยปลูกต้นกล้าอยู่บ้าง”

“ฮึฮึ…” ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างมีเลศนัย “เยี่ยงนั้น…ราตรีนี้พวกเรามาปลูกต้นกล้ากันดีหรือไม่ ? ”

ต่งชูหลานตกตะลึงขึ้นมาทันใด นางอายจนหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ใบหน้านวลผ่องเงยหน้าขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวน เฮอะ…บัดนี้เจ้ามีผืนนาสิบผืนแล้ว !

จะให้มีเพิ่มอีกมิได้แล้ว !