สิ้นเสียงคำสั่งของอู่โหว องครักษ์ประจำจวนก็เคลื่อนตัว
หวงฝู่อี้เซวียนนิ่งไม่ขยับ กระตุกมุมปาก ปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยาม
ความเดือดพล่านในตัวอู่โหวรุนแรงกว่าเดิม ตะโกนอย่างไร้สติว่า “ลุย จัดการเสียให้สิ้นซาก หากทำพวกเขาบาดเจ็บได้ ตบรางวัลหนึ่งพันตำลึง”
เมื่อได้ยินว่ามีรางวัล องครักษ์ประจำจวนก็มีกำลังขึ้นมาทันที พวกเขาเข้าจู่โจมด้วยความรวดเร็วกว่าเดิม
หวงฝู่อี้เซวียนจ้องไปที่อู่โหว แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้น ทำสัญญาณมือ
เงาคนจำนวนมากมายกระโดดออกมาจากมุมมืด แล้วจู่โจมไปที่องครักษ์ประจำจวนทันที เพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่า ก็ล้มองครักษ์ประจำจวนได้
อู่โหวตกใจ แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนครอบครององครักษ์ลับที่สามารถสู้หนึ่งต่อสิบได้ องครักษ์ประจำจวนของตนก็เป็นเพียงเศษขยะต่อหน้าพวกเขา เมื่อคิดถึงตรงนี้ ก็ปรากฎสายตาเสียใจขึ้นมา เขาหลับตาครู่หนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจ เมื่อครู่นี้ตนเห็นเพียงคนจากอ๋องฉีและบ้านตระกูลเมิ่งที่ควบม้าเร็วมา คิดว่าคนเยอะกว่าแล้วจะสามารถโจมตีพวกเขาจนขวัญหนีดีฝ่อได้ และจะไม่กล้ามาหาเรื่องจวนอู่โหวของพวกเขาอีก แต่กลับลืมองครักษ์ลับไปเสีย บัดนี้ อยากจะกลับใจก็ไม่ทันแล้ว ในเมื่อออกคำสั่งไปแล้วอู่โหวและนายน้อยทั้งสองคนยืนมององครักษ์ประจำจวนล้มลงต่อหน้าต่อตาตัวเอง กลับไม่สามารถช่วยอะไรได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากหวงฝู่อี้เซวียนหรือองครักษ์ลับเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว พวกเขาไม่ฆ่าชีวิตใคร แต่ทุกกระบวนท่านั้นก็ทำเอาพวกเขาล้มพิการ
เสียงร้องคร่ำครวญดังไปทั่วทั้งหน้าประตูจวน
เสียงเหล่านั้นทำเอาคนที่ได้ยินรู้สึกขาอ่อนและใจสั่นไปหมด
เกิดการเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตเช่นนี้ ข่าวจึงแพร่สะพัดไปถึงหวงฝู่ซวิ่นอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินว่าหลิวเทาแห่งจวนอู่โหวจงใจทำให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ตกลงในทะเลสาบ ก็แอบด่าในใจ ไอ้งั่งเอ้ย
ทุกคนรู้ดีว่าเสด็จลุงรักเด็กสองคนนี้ดั่งแก้วตาดวงใจ นึกถึงตอนนั้นที่มือของเขาแค่แตะโดนแก้มพวกนางเบาๆ ก็ถูกเสด็จอาของเขาแกล้งอย่างทรหด แต่ตอนนี้ หลิวเทากลับกล้าถึงกับทำร้ายเย่ว์เอ๋อร์ตกน้ำ ไม่ต่างอะไรจากการกรีดมีดลงบนหัวใจของเสด็จอาเลย นี่มันหาที่ตายกันชัดๆ เรื่องนี้เขาจะไม่เข้าไปยุ่งแน่ หากทำอะไรให้เสด็จอาไม่พอใจ เขาคงลำบากแน่ แม้ตัวเขาจะเป็นถึงฮ่องเต้ แต่กับเสด็จอานั้นเขายังคงให้ความเคารพและเกรงกลัวมาก
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วสั่งว่า “สั่งผู้บังคับบัญชาปัญจทิศของเมืองหลวง ห้ามใครเข้าใกล้ ปล่อยให้พวกเขาสู้กันจนกว่าจะสาสมแก่ใจ”
ขันทีผู้ดูแลวังตกใจ เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดล้อเล่น ก็รีบหลบหน้าลง ขันทีขานรับแล้วถอยลงไป เขารู้ดีว่าครั้งนี้จวนอู่โหวคงเกิดการเสียหายครั้งใหญ่ เมื่อครั้นเจ้าเมือง ตีเมืองน้อยใหญ่จนได้รับชัยชนะพร้อมกับบิดาของอู่โหว อู่โหวก็เสียสละตนทำเพื่อวังหลวงมากมาย จวนอู่โหวจึงได้รับการดูแลอย่างดี ไม่เคยขาดตกบกพร่องเลย แต่ลูกหลานของจวนอู่โหวกลับนำเอาบารมีที่มีนี้มาเป็นยันต์ป้องกันตัว วางตนข่มท่าน โดยเฉพาะเมื่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองบัลลังก์เป็นเวลาหลายปี คนจวนอู่โหวก็ไม่เคยทำคุณประโยชน์อันใดเลย หากฮ่องเต้ปัจจุบันไม่ถือโอกาสนี้สั่งสอนพวกเขาก็คงแปลก
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ เขาก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น คนของผู้บังคับบัญชาของแต่ละหัวเมืองนั้นทำงานรวดเร็วมาก หากเขาแจ้งช้าไป จนทำให้ฮ่องเต้ต้องเดือดร้อน เขาคงต้องแบกรับผลที่ตามมา
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม องครักษ์ของจวนอู่โหวก็เหลือเพียงไม่กี่นาย คนส่วนใหญ่ล้มลงร้องโอดครวญอยู่บนพื้น
อู่โหวเจ็บปวดใจ องครักษ์ประจำจวนเหล่านี้เขาใช้ความพยายามและใช้เวลาอยู่นานเพื่อหล่อเลี้ยงพวกเขามา องครักษ์ลับกลับใช้เวลาอันน้อยนิดก็กำราบพวกเขาได้แล้ว เขาโกรธจนเลือดลมตีขึ้น ก้อนเลือดที่กลั้นไว้ในลำคอก็เก็บไว้ไม่อยู่อีกต่อไป เขาอ้าปาก แล้วเลือดก็พุ่งออกมา
“ท่านพ่อ!”
นายน้อยอู่โหวที่จ้องหวงฝู่อวี้และไม่กล้าขยับตัวก็ร้องเรียกขึ้นมาอย่างโหยหวน แล้วก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้านายท่านอู่โหวด้วยความรวดเร็ว ประคองลำตัวของเขาที่ชักกระตุก น้ำเสียงร้อนรนแฝงไปด้วยความกังวล “ท่านพ่อ อดทนไว้นะขอรับ”
เมื่อเสียงร้องของเขาดังขึ้น หัวใจของเขาก็สั่นรุนแรงขึ้น มองดูลูกชายตน แล้วดูหวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอย่างสงบ ไม่ลนลาน มั่นคงดั่งขุนเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าใครอยู่เหนือกว่า
นายน้อยอู่โหวยังคงไม่รู้เรื่อง และยังคงถามไถ่อย่างร้อนรน
อู่โหวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด จึงผลักเขาออกไป ในขณะที่เขากำลังตกตะลึงอยู่นั้น อู่โหวก็วิ่งยกดาบชี้ไปทางหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนตั้งรับไว้ก่อนแล้ว เขาเบี่ยงตัวหลบ แล้วยื่นมือไปบีบคอของอู่โหวด้วยความเร็วปานสายฟ้าผ่า พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “นายท่านอู่โหว ท่านชรามากแล้ว”
อู่โหวเบิกตาอย่างไม่น่าเชื่อ จ้องเขม็งไปที่หวงฝู่อี้เซวียน คิดอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าเพียงแค่ท่วงท่าเดียวก็สามารถสกัดตนไว้ได้
“ท่านพ่อ!”
นายน้อยอู่โหวร้องตกใจอีกครั้ง แต่ก็ไม่กล้าขึ้นไป ได้แต่ร้องตะโกนไปที่กลุ่มคนที่กำลังสู้กันอย่างวุ่นวาย “หยุด ข้าบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้”
หลังจากกลุ่มคนเหล่านั้นแยกออกจากกัน คนจวนอู่โหวเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็ตกใจจนใจเต้นรัว จากนั้นก็ถูกล้อมไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว
ฉู่เหยานำกองกำลังไปข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน ทุกคนตามหลังไปติดๆ
สายตาสงบราบเรียบของหวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่อู่โหว ปากยิ้ม แต่ตาไม่ได้ยิ้มด้วย สั่งหวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ย “เฮ่าเอ๋อร์ รุ่ยเอ๋อร์ รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอย่างไร”
หลังจากเขาพูดจบ หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยก็กระโจนขึ้นไปหาหลิวเทาพร้อมกัน
หลิวเทาไม่คิดว่าทั้งสองจะเข้ามาหาตน จึงเดินถอยหลังไปสองสามก้าว หวังจะหลบการโจมตีของทั้งสองคน
หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยตามไม่ปล่อย
หลิวเทาสู้ไม่ไหว ถูกสองคนจับตัวไว้ พวกเขาจับแขนของเขาไว้คนละข้าง แล้วออกแรงโยนไปชนกำแพงสูงของจวนอู่โหว
คนจวนอู่โหวไม่ทันตั้งตัว มองหลิวเทาที่ถูกจับโยนเข้าใส่กำแพงแล้วร่วงลงบนพื้นด้วยสองตา จากนั้นเลือดก็พุ่งออกมา ลำตัวอ่อนไปทั้งร่าง แล้วจึงหมดสติไป
หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยมือ อู่โหวล้มลงกองกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
คนจวนอู่โหวตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ยืนอึ้งมองดูเหตุการณ์เบื้องหน้า ผ่านไปนานกว่าจะตั้งสติได้ ในขณะที่ตกใจอยู่นั้น ก็แบ่งคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปประคองหลิวเทา อีกหลุ่มประคองนายท่านอู่โหว
“นี่คือผลของการทำร้ายลูกสาวข้า หากวันหน้ากล้าทำอะไรนางอีก ข้าจะเอาชีวิตเขา!” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทุกคำทุกประโยคปักลงในใจของคนจวนอู่โหว ทำให้พวกเขาจำไปจนวันตาย
พูดจบ ก็ไม่เหลียวแลคนจวนอู่โหวอีก หันไปสั่ง “ถอนกำลัง”
โจวอันขานรับ โบกมือ องครักษ์ลับทั้งสิบนายก็ถอยกลับไปอย่างเป็นระเบียบ
หวงฝู่อี้เซวียนนำทุกคนกลับไปหาอ๋องฉี
อ๋องฉีเหลือบมองคนจวนอู่โหวที่บ้านแตกสาแหรกขาด ก็หันหลังขึ้นม้าไป ทุกคนตามหลัง ออกจากหน้าประตูจวนอู่โหวอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ทุกคนกลับถึงจวนอ๋อง ลงจากม้า อ๋องฉีเดินนำหน้าเข้าไปในจวน เมื่อเดินเข้าไปถึง ก็ไอออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ แล้วเลือดก็ไหลออกมาทางมุมปาก
หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามเขาอย่างใกล้ชิด เห็นดังนั้นก็ไม่พูดไม่จา หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้อ๋องฉีเงียบๆ
อ๋องฉีรับมา เช็ดมุมปากเป็นพิธี พูดว่า “ตาเฒ่าหลิวยงนี่ฝีมือไม่ธรรมดาเลย”
พูดจบก็พูดต่อว่า “ข้าเหนื่อย จะกลับไปพักผ่อน เจ้าไปจัดแจงพวกเขาหน่อย แล้วก็ถ้าเย่ว์เอ๋อร์ตื่นแล้ว ส่งคนมาบอกข้าด้วย”
หวงฝู่อี้เซวียนขานรับ
อ๋องฉีเดินตรงไปที่เรือนของตนเองทันที
หวงฝู่อี้เซวียนส่งสายตาให้หวงฝู่อวี้ หวงฝู่อวี้เดินตามอ๋องฉีไป
“รุ่ยเอ๋อร์ พาพวกท่านอาของเจ้าไปเรือนรับรอง” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง
หวงฝู่รุ่ยขานรับ พาเมิ่งเจี๋ยและคนอื่นๆ ไปเรือนรับรอง
หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาที่ห้องของตน หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังไม่ตื่น
พระชายาฉีนั่งอยู่บนหัวเตียงเฝ้านาง
เจียงจิ่นและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนตั่งด้วยความกังวล
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามา ทั้งสองก็ลุกขึ้นพร้อมกัน
หวงฝู่อี้เซวียนเดินตรงไปข้างหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์ เห็นนางหลับตา สีหน้าแดงระเรื่อ ก็หันหน้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว ถามเสียงเบาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ตกใจไปน่ะ มีไข้สูง ไม่หายในเร็ววันหรอก ต้องนอนพักสองสามวัน”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เจี๋ยเอ๋อร์พอได้ยินเรื่องของเย่ว์เอ๋อร์ จึงรีบพากันมาหา ข้าให้พวกเขาไปรอที่เรือนรับรอง เจ้าไปหาพวกเขาหน่อยเถอะ”
เมืองหลวงใหญ่แค่นี้เอง เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างไม่ได้คิดมาก
“เสด็จแม่ ท่านดูแลเย่ว์เอ๋อร์ให้หน่อยนะขอรับ ข้าขอไปหาพวกเขาด้วย” หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับพระชายาฉี
พระชายาฉีพยักหน้า พยายามพูดด้วยเสียงเบาที่สุดว่า “ไปเถอะ มีข้าและจิ่นเอ๋อร์ช่วยดูแลอยู่”
ทั้งสองเดินออกจากเรือนไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเดินมุ่งไปทางเรือนรับรอง หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เจ้าไปดูกับข้าหน่อยเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจชะงักครู่หนึ่ง แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ นางเม้มปาก เดินไปกับหวงฝู่อี้เซวียนจนถึงเรือนของอ๋องฉี
หลังจากบ่าวรับใช้รายงานแล้ว ทั้งสองก็เดินเข้าไป
สีหน้าอ๋องฉีบวมแดง นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ หวงฝู่อวี้ยืนอยู่ข้างหนึ่ง
อ๋องฉีเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ก็รู้เจตนาของทั้งสอง พูดว่า “แค่บาดเจ็บภายนอก ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องตกใจไป”
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าไปสั่งคนต้มไข่มาหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง
หวงฝู่อวี้ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เขาหันหลังเดินออกไปสั่งบ่าวรับใช้
“เสด็จพ่อ ยื่นมือออกมาหน่อยเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นคราบเลือดบริเวณมุมปากของอ๋องฉี เมิ่งเชี่ยนโยวก็พอจะเดาอะไรได้ จึงพูดกับอ๋องฉี
อ๋องฉีมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์มาตลอดชีวิต แต่รอบนี้กลับได้รับบาดเจ็บ เขารู้สึกเสียหน้า จึงปกปิดต่อไป ได้ยินดังนั้นก็ไม่ขยับ พูดว่า “ถูกฝ่ามือของไอ้เฒ่าหลิวยงเข้า ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“เสด็จพ่ออยากให้ข้าไปเรียกเสด็จแม่มาหรือเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเนิบช้า แต่กลับข่มขู่เขาอย่างโจ่งแจ้ง
อ๋องฉีตัวเกร็ง จ้องหวงฝู่อี้เซวียนด้วยสายตาโมโห สายตาคู่นั้นกำลังติเตียนเขาที่ตบแต่งเมียเช่นนี้เข้าบ้าน ความหมายโดยนัยที่ไม่ต้องพูดก็รู้ได้
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจความหมายของสายตาคู่นั้น ก็พลันอยากหัวเราะขึ้นมา มุมปากเผยอออกเล็กน้อย แต่ก็รีบหุบกลับมา แกล้งไอกระแอมขึ้น แล้วช่วยอ๋องฉีแก้ต่างว่า “เสด็จพ่อ โยวเอ๋อร์เป็นห่วงท่านน่ะขอรับ ท่านยื่นมือมาให้นางตรวจชีพจรหน่อยเถอะขอรับ”
อ๋องฉีจ้องไปที่เขาอีกครั้ง แล้วยื่นมือออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่เต็มใจนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง นิ้วมือแตะไปที่ชีพจรของเขา ใช้เวลาอยู่นาน นางขมวดคิ้ว แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ปล่อยมือออก พูดว่า “ไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวข้าจะเขียนรายการยาให้คนไปซื้อมาต้ม ท่านทานลงไปแล้วก็จะหายดีเจ้าค่ะ”
อ๋องฉีเก็บมือกลับไป พูดปฏิเสธว่า “ดื่มยาขมทำไม แค่นอนพักดีๆ สักงีบ พรุ่งนี้ก็หายแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดข่มขู่อีกครั้ง “อย่างนั้นข้าขอไปขอคำแนะนำจากเสด็จแม่หน่อยนะเจ้าคะ หากเสด็จแม่เห็นด้วยที่ท่านไม่ต้องทานยา ลูกก็จะไม่เขียนรายการยาให้เจ้าค่ะ”
อ๋องฉีโกรธจนตาจ้องเขม็งและพ่นลมออกมา แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ สิบกว่าปีมานี้ เขาและพระชายาฉีเป็นคู่ที่รักใคร่ปรองดองกัน ได้หยอกเล่นกับลูกหลาน ครอบครัวมีความสุข เขาไม่อยากถูกพระชายาฉีไล่ออกจากเรือนไปนอนในห้องหนังสืออันหนาวเหน็บเพียงคนเดียวเพราะเรื่องเช่นนี้หรอก
เขาจึงยอมจำนนอย่างว่าง่าย แต่ก็มีเงื่อนไขว่า “ห้ามบอกเสด็จแม่เด็ดขาดว่าข้าบาดเจ็บภายใน บอกแค่ว่าเพื่อให้แผลบนใบหน้าข้าหายเร็วขึ้น”
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะเบาๆ ถามว่า “เสด็จพ่อ ท่านคิดว่าเสด็จแม่จะเชื่อหรือขอรับ”
อ๋องฉีกลับตอบไม่แยแสอย่างเด็กน้อยว่า “ข้าไม่สน เรื่องนี้พวกเจ้าไปคิดหาวิธีเอง หากเสด็จแม่ของเจ้ารู้เข้า ดูซิว่าข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร”
แค่นึกถึงภาพที่เขาถือไม้วิ่งไล่ตัวเอง หวงฝู่อี้เซวียนก็พลันยิ้มไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นทุกอย่าง เม้มปากแอบยิ้ม
บ่าวรับใช้นำไข่ที่ต้มเสร็จมาให้อย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวปอกเปลือกออกหนึ่งฟอง วางบนแก้มตนเอง สาธิตให้ดู พูดกับอ๋องฉีว่า “เสด็จพ่อ ท่านนำไข่ต้มสุกมาวนบนใบหน้าเช่นนี้นะเจ้าคะ เมื่อเสด็จแม่มา อาการบวมแดงบนใบหน้าของท่านจะดีขึ้นมากเจ้าค่ะ”
“วิธีนี้…ช่วยได้จริงๆ หรือ” อ๋องฉีสงสัย ถามอย่าไม่เชื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า น้ำเสียงแฝงไปด้วยอาการกลั้นขำ “อย่างน้อยเสด็จแม่ก็จะไม่ตกใจเมื่อเห็นท่านเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงที่เยาะเย้ยอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ทำเอาอ๋องฉีโกรธจนอยากจะเอาไข่ปาใส่หน้านาง เสียดายที่นางเป็นลูกสะใภ้ ไม่ใช่ลูกชาย จะตบตีด่าว่าก็ไม่ได้
อ๋องฉีจ้องไข่ต้มที่อยู่ในถ้วยอย่างดุร้ายราวกับเป็นศัตรูตัวฉกาจอยู่พักใหญ่ จึงค่อยๆ ยื่นมือออกไป