มืออ๋องฉียังไม่ทันสัมผัสไข่ต้ม หวงฝู่อวี้ก็ยื่นมือออกมาจากอีกข้าง หยิบไข่ขึ้นมา ปอกไข่เสร็จด้วยความรวดเร็ว ยื่นให้อ๋องฉีอย่างเอาใจ “เสด็จพ่อ นี่ขอรับ” อ๋องฉีเหลือบมองเขา รับไข่ต้มไว้แล้วนำไข่มาวนบนใบหน้า แม้จะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น “เสด็จพ่อ ข้าไปหาเจี๋ยเอ๋อร์ก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวยาต้มเสร็จแล้วข้าจะส่งคนยกมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร เพราะคิดแค้นในใจที่นางข่มขู่ตนถึงสองครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจ ยิ้มแล้วเดินออกไป
อ๋องฉีเงยหน้ามองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจความหมายของสายตาคู่นั้นดี เขารู้ว่าแค้นนี้ถูกจดลงในบัญชีของเขาอีกแล้ว เขาร่ำไห้ในใจ รีบเดินตามออกไป โดยไม่ได้คารวะกล่าวลา “โยวเอ๋อร์ รอข้าด้วย ข้าจะไปกับเจ้า”
อ๋องฉีเลิกจ้องเขา แล้วร้อง หึ อย่างเย็นชา
หวงฝู่อวี้ได้ยินทุกอย่าง ในใจกลัวจนสั่นระรัว เขาหดตัวม้วนเก็บตัวเองแอบข้างหลังอ๋องฉี พยายามทำให้เหมือนตนเป็นอากาศธาตุ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ไปแล้ว เขาจะให้เสด็จพ่อเอาความโกรธมาลงที่ตนเองไม่ได้
หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากเรือนของอ๋องฉีแล้ว พวกเขาก็ไปห้องหนังสือก่อน เพื่อเขียนรายการยาและสั่งให้โจวอันไปซื้อยา จากนั้นก็มาที่เรือนรับรอง
เวลาเพียงไม่นานนี้ เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว พวกเขานึกเสียใจที่เมื่อครู่นี้ตนไม่ได้ออกมาสู้กับคนจวนอู่โหว
ส่วนเมิ่งเส้าพวกเขาก็โมโหมาก บ่นอุบอิบว่าต่อไปหากเจอหลิวเทาอีกกี่ครั้งก็จะต่อยเขากี่ครั้ง ต่อยจนกว่าเขาจะไม่กล้าออกจากจวนอู่โหวอีก
เป็นจังหวะเดียวกับที่เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา
รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวสดใสกว่าเดิม สดใสจนเมิ่งเส้าและคนอื่นเห็นแล้วขนลุก พวกเขาขานเรียกอย่างตะกุกตะกักว่า “ท่าน…อา”
“คุณชายตระกูลเมิ่งทั้งหลาย ปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ แม้แต่จวนอู่โหวก็ไม่อยู่ในสายตาแล้ว ข้าชื่นชมยิ่งนัก” เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองทุกคนในห้อง เน้นเสียงหนักไปที่คำว่า ‘เมิ่ง’
ครั้งนี้ไม่เพียงเมิ่งเส้าสี่คนที่สั่นตัวเทา แม้แต่เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเองก็ใจสั่นระรัว หัวใจเต้นเร็วจนลุกพรวดขึ้นมา มองรอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วกลืนน้ำลายลงไปสองสามอึก ขานเรียกเสียงเบาอย่างระมัดระวัง “พี่”
หวงฝู่อี้เซวียนลูบจมูกตนเองเบาๆ ไม่กล้าพูดอะไร เดินไปนั่งที่นั่งประธาน
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดมองทุกคนรอบหนึ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วไปนั่งบนที่นั่งของตน
เมิ่งเจี๋ยและคนอื่นๆ ใจเต้นรัวเร็วกว่าฝีเท้าของนาง
ในฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ในห้องมีน้ำแข็งวางอยู่เต็มไปหมด จึงทำให้ห้องเย็นสบาย แต่บัดนี้ทุกคนกลับรู้สึกร้อนวูบวาบ ทำเอาเหงื่อซึมออกมาบนหน้าผากพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่ปล่อยพวกเขา หลังจากนั่งลงแล้วก็ยิ้มแล้วถามขึ้นว่า “คุณชายตระกูลเมิ่งทั้งหลาย พวกเจ้ายังมีแผนอะไรอีก ไหนลองว่ามาให้ข้าฟังบ้างซิ”
ไม่มีใครกล้าพูด แม้แต่หายใจยังไม่กล้า ในเรือนรับรองเงียบจนได้ยินเสียงเข็มตกลงพื้น
หวงฝู่อี้เซวียนแกล้งไอกระแอม เพื่อช่วยทุกคนคลายสถานการณ์ลง “คือว่า โยวเอ๋อร์ ข้าเป็นคนให้คนเรียกเจี๋ยอ๋อร์พวกเขาไปน่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองเขา แล้วยิ้มถามขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนสะดุ้งตกใจ จนเขาทำตัวไม่ถูก แต่ก็ฝืนพยักหน้าตอบกลับ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้าตาม “เป็นความคิดของซื่อจื่อนี่เอง มิน่าล่ะ คุณชายตระกูลเมิ่งถึงอวดดีได้เพียงนี้”
ทั้งน้ำเสียง คำเรียกขาน และสายตาเช่นนี้ ไม่เพียงเมิ่งเจี๋ยพวกเขาเท่านั้น แม้แต่หวงฝู่อี้เซวียนเองก็เริ่มมีเหงื่อซึมออกมาทางหน้าผาก
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปที่เมิ่งเจี๋ย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกถึงความเย็นยะเยือก “คุณชายทุกท่าน หักด้ามพล้าด้วยหัวเข่า รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ”
ทุกคนไม่กล้าพูดอะไร ก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม
หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ไม่กล้าช่วยพวกเขาพูด ได้แต่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ
ทั้งห้องเงียบสนิทอีกครั้ง
ผ่านไปนาน นานจนเสื้อเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั่วทั้งแผ่นหลัง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเพิ่งเอ่ยปากพูด “เรื่องวันนี้พอแค่นี้ หากต่อไปพวกเจ้ากล้าหาเรื่องจวนอู่โหวก็รอดูว่าข้าจะลงโทษพวกเจ้าอย่างไร”
ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก ความตึงเครียดค่อยผ่อนคลายลง เมิ่งเจี๋ยเงยหน้า รับประกันแทนทุกคนว่า “วางใจเถอะขอรับ พี่โยวเอ๋อร์ เรื่องวันนี้ต่อไปเราจะไม่พูดถึงอีกขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วจึงให้พวกเขานั่งลง นางกวาดตามองทุกคน ถามว่า “บาดเจ็บหรือไม่”
ทุกคนส่ายศีรษะพร้อมกัน “ไม่มีขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปทางเมิ่งเจี๋ย พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งครัดว่า “หลังจากกลับไปแล้ว ห้ามบอกท่านพ่อท่านแม่”
เมิ่งเจี๋ยเกาหัวแกรก ไม่กล้าตบตกลง “พี่โยวเอ๋อร์ เรื่องใหญ่อย่างวันนี้ คงรู้กันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว พี่ใหญ่ พี่รองก็น่าจะรู้เรื่องแล้ว คงปิดบังท่านพ่อท่านแม่ไว้ไม่ได้หรอกขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องตำหนิเขาแวบหนึ่ง
เมิ่งเจี๋ยไม่กล้าพูดต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะพูดต่อ เสียงรายงานของพ่อบ้านดังขึ้น “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย คุณชายใหญ่และคุณชายรองบ้านตระกูลเมิ่งมาแล้วขอรับ”
“รีบให้พี่ใหญ่ พี่รองเข้ามา” หวงฝู่อี้เซวียนพูดพลางลุกขึ้นยืน
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นยืนตาม
เมิ่งเจี๋ยและทุกคนก็ลุกขึ้นเช่นกัน
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีเดินเข้ามาในเรือนรับรองด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ถามเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นทันทีว่า “ข้าได้ยินว่าเย่ว์เอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ เกิดอะไรขึ้น”
“ตกใจจนขวัญหายเล็กน้อยเจ้าค่ะ ไม่เป็นอะไรมาก พี่ใหญ่ พี่รองนั่งลงก่อนเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
ทุกคนนั่งลง
เมิ่งฉีพูดอย่างไม่รีรอ “ข้าได้ยินมาว่า คนจวนอู่โหวจงใจชนเรือให้เย่ว์เอ๋อร์ตกลงทะเลสาบใช่ไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร เมิ่งเซิ่งเอ่ยปากพูดก่อน “ใช่ขอรับ”
เมิ่งเสียนได้ยินดังนั้นก็หันไปทางพวกเขา ถามว่า “ข้าได้ยินว่าวันนี้พวกเจ้าก็ไปจวนอู่โหวเหมือนกัน ได้ต่อสู้กันไหม”
เมิ่งเส้าพยักหน้า “สู้ขอรับ”
“แพ้ราบคาบเลยไหม” เมิ่งเสียนถามต่อ ส่วนเรื่องที่หมายถึงใคร เมิ่งเส้าพวกเขารู้ดีแก่ใจ
เมิ่งเส้าเกาหัวแกรก เหลือบมองเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วตอบอย่างระมัดระวังว่า “ท่านอาเขยไม่ได้ให้พวกเราจัดการขอรับ เฮ่าเอ๋อร์และรุ่ยเอ๋อร์จับเขาโยนใส่กำแพงขอรับ”
เมิ่งเสียนแสดงอาการไม่พอใจ ร้อง ฮึ เสียงดัง
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “พี่ใหญ่ คนก็หมดสติไม่ฟื้นแล้ว พี่ยังต้องการอะไรอีกหรือเจ้าคะ”
เมิ่งเสียนก็ไม่ได้ต้องการอะไร แค่รู้สึกความโกรธในใจไม่ถูกระบายออกมา จนอึดอัดไปหมด
เมิ่งฉีก็เช่นกัน พูดอย่างโมโหว่า “ลงมือเบาไปหน่อย รู้สึกโดนเอาเปรียบ” เมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์เป็นเด็กที่พวกเขารักและเอ็นดูมาแต่เล็ก ไม่แม้แต่จะยอมให้นางหกล้มสักครั้ง แต่บัดนี้กลับถูกรังแกจนแทบจะไม่มีชีวิตรอด จึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธจนเดือดพล่าน จะอดกลั้นอย่างไรก็อดกลั้นไว้ไม่อยู่
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนจวนอ๋องหรือคนบ้านตนเอง ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์ พวกเขาก็ไร้สติ ไร้ความนึกคิด คิดอะไรไม่ได้อีกเลย
หวงฝู่อี้เซวียนพูดขึ้นอย่างมีแผนการด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เรื่องนี้จะไม่จบเช่นนี้แน่นอน ข้าจะทำให้จวนอู่โหวไม่กล้าอวดดีในเมืองหลวงอีกต่อไป”
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีได้ยินดังนั้นก็ถามขึ้นพร้อมกันว่า “ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเราหรือไม่” เรื่องอื่นอาจจะยาก แต่ด้วยการพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้คนที่บ้านตระกูลเมิ่งก่อร่างสร้างขึ้นมา เรื่องการทำลายการค้าขายของจวนอู่โหวนั้นก็ไม่เป็นปัญหาเลย
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายศีรษะ “ขอบคุณพี่ใหญ่ พี่รองขอรับ พวกท่านไม่ต้องออกโรงหรอก ข้ามีวิธีของข้าเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
ชิงหลวนเข้ามารายงาน “นายหญิง ท่านหญิงตื่นแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเส้าพวกเขาลุกขึ้นทันที และมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตั้งตารอ
“ไปเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
พูดจบ ทุกคนก็พุ่งอตัวออกจากเรือนรับรองอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็ลุกขึ้นยืน พูดว่า “เราก็ไปดูเย่ว์เอ๋อร์กันเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น เดินนำทุกคนมาถึงห้องของตนเอง
เมิ่งเส้าและคนอื่นๆ ล้อมเตียงหวงฝู่เย่าเย่ว์ ไถ่ถามไม่หยุด บ้างถามว่านางรู้สึกอย่างไรบ้าง บ้างก็ถามว่านางอยากกินอะไร พระชายาฉีออกจากบริเวณหัวเตียง ยืนอยู่ข้างหนึ่ง ยิ้มมองเมิ่งเส้าและคนอื่นๆ ทั้งสี่คน
หลังจากหลับไปอีกตื่นหนึ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็รู้สึกดีขึ้นมาก ยิ้มพูดกับทุกคนว่า “พี่ ข้าไม่เป็นอะไร พรุ่งนี้ก็ไปเล่นกับพวกพี่ได้แล้วล่ะ”
ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ก็ได้ยินประโยคนี้ของนางพอดี จึงยิ้มพูดว่า “เกรงว่าพรุ่งนี้จะยังไม่ได้ จากสภาพร่างกายตอนนี้ อย่างไรก็ต้องนอนพักบนเตียงสักสิบวันหรือครึ่งเดือน”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ร้องโอดครวญจนหน้าบู้บี้ “ท่านแม่เจ้าขา ข้าจะขึ้นราเอานะเจ้าคะ”
ทุกคนหัวเราะนาง
เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอะไร เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีจึงวางใจ
หวงฝู่เย่าเย่ว์เห็นพวกเขา ตาก็พลันลุกเป็นประกายประหนึ่งเจอผู้ช่วยชีวิตไว้ หลังจากขานเรียกทั้งสองแล้ว ก็พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ท่านลุง ข้าคิดถึงตากับยายแล้ว วันนี้ข้ากลับไปหาพวกเขาพร้อมพวกท่านได้ไหมเจ้าคะ”
เมิ่งเสียนจะไม่รู้เจตนาของนางได้อย่างไร เขายิ้มพูดว่า “ข้าไม่ได้บอกตายายของเจ้าที่เจ้าตกน้ำนะ เจ้าแน่ใจว่าจะกลับไปหาพวกเขาพร้อมข้าหรือ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่กล้า หากพวกเขาทั้งสองรู้เข้า พวกเขาต้องตกใจด้วยแน่ แม่ของตนก็คงได้ถลกหนังหัวของตนแน่ๆ เมื่อแผนของตนพัง นางก็ถอดถอนใจ เสียงถอนหายใจดังยาวเหยียด ทำปากมุ่ย แสดงสีหน้าท่าทางน่าสงสาร
ทุกคนหัวเราะนางอีกครั้ง
หลังจากมาดูแล้วเห็นว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็พูดกำชับสองสามคำ เมื่อเห็นเริ่มพลบค่ำแล้ว ก็กลับบ้านไป ก่อนจะไป เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับทั้งสองคนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าเล่าเรื่องนี้ให้เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อฟัง จะมีแต่ทำให้พวกเขากังวลใจเอาได้
เมิ่งเสียนพยักหน้า แต่ไม่กล้ารับปาก เพราะรู้ว่าเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ น่าจะยากหากจะปิดบังพวกเขาไว้
หลังจากส่งทุกคนกลับไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับห้องของตนไป ยิ้มพูดกับพระชายาฉีว่า “เสด็จแม่ วันนี้เสด็จพ่อปะทะกับนายท่านอู่โหว พลาดท่าให้เล็กน้อย ท่านกลับไปดูหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ข้าดูแลเย่ว์เอ๋อร์เอง”
พระชายาฉีเบิกตาโต ถามอย่างไม่เชื่อว่า “เสด็จพ่อของเจ้าบาดเจ็บหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบว่า “ไม่เชิงว่าบาดเจ็บ แค่ถูกต่อยเข้าตรงหน้าน่ะเจ้าค่ะ”
“ไอ้หัวเฒ่า เก่งกาจอวดดีในจวนนักหนา แต่พอไปข้างนอกกลับสู้ไม่ไหว” พระชายาฉีบ่นอุบอิบ แต่รู้สึกสงสารจับใจ นางลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์หัวเราะ หยอกพระชายาฉีว่า “ท่านย่า ข้าได้ยินที่ท่านพูดหมดแล้วนะ ข้าจะไปแอบฟ้องท่านปู่แน่”
“ไม่ต้องให้เจ้าไปบอกหรอก เดี๋ยวข้าเจอเขาก็จะพูดเช่นนี้เหมือนกัน” พระชายาฉีเดินต่อไปเรื่อยๆ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความหยอกล้อ
หวงฝู่เย่าเย่ว์สะอึก ตกใจจนอ้าปากค้างมองพระชายาฉีจนเดินลับไป
หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาแล้ว เจียงจิ่นก็ไม่ควรอยู่ในห้องอีก นางจึงกำชับหวงฝู่เย่าเย่ว์ แล้วเดินจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งนางออกไป เมื่อเห็นเงาของนางหายลับไป ก็สั่งชิงหลวนด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ส่งคนไปส่งข่าวให้สำนักคุ้มภัย บอกว่าวันนี้เจ้าจะกลับไปดึกหน่อย เดี๋ยวไปทำธุระกับข้า”
ชิงหลวนนึกขึ้นได้ทันทีว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะให้ไปทำอะไร นางดีใจจนขานรับเสียงดังใสแจ๋ว “รับทราบเจ้าค่ะ นายหญิง”