ตอนที่ 1341 ภูมิใจ โดย Ink Stone_Fantasy
“ทางขวา สี่นาฬิกา…สองตัว!” เสียงเตือนของเพื่อนกับเสียงยิงของปืนดังผสมกันฟังดูขาดๆ หายๆ “ระวังหอก!”
กู๊ดหักคันบังคับไปทางซ้าย เครื่องบินหมุนตัวและเอียงไปทางด้านล่างอย่างรวดเร็ว
“ฟ้าว!”
เสียงหวีดของหอกกระดูกดังผ่านหัวไป หอกเล่มหนึ่งแทงทะลุปีกเครื่องบินจนเป็นรูขนาดเท่ากำปั้น
เขาเร่งความเร็วต่อโดยไม่มองศัตรู ทำให้เครื่องบินบินต่อไปด้วยความเร็วสูงสุด
นี่คือวิธีการรบที่องค์หญิงทิลลีสรุปออกมาจากประสบการณ์ในการสู้รบกับปีศาจก่อนหน้านี้ อสูรสยองจะมีความคล่องตัวอย่างที่เครื่องบินไม่อาจเทียบได้หากบินด้วยความเร็วต่ำ พวกมันสามารถหยุดค้างอยู่กลางอากาศ แล้วก็สามารถเลี้ยวกลับหรือบินกลับตัวได้ในพื้นที่เล็กๆ ทำให้กลยุทธ์การบินเพื่อสลัดการไล่ตามอย่างที่ฝึกซ้อมมานั้นไม่อาจใช้ได้ ขณะเดียวกันเพื่อนนักบินที่เป็นมือยิงที่นั่งอยู่ด้านหลังก็แทบจะไม่สามารถวิเคราะห์เส้นทางการบินของเป้าหมายได้ ทั้งสองข้อนี้ไม่เป็นผลดีต่ออัศวินอากาศหากต้องสู้กันแบบพัวพัน
แต่ขณะเดียวกัน อสูรสยองก็มีจุดอ่อนที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน นั่นคือวิธีการโจมตีเพียงหนึ่งเดียวของมันมาจากการปาหอกของปีศาจที่ขี่อยู่ข้างหลังมัน ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการบินกับการไต่ระดับก็ไม่อาจสู้เฮฟเว่นเฟลมได้ หินเวทมนตร์ขว้างปาที่ใช้ได้ติดต่อกันอย่างมากแค่สองครั้งก็ต้องอยู่ในระยะใกล้ถึงจะสามารถแสดงอานุภาพได้
ด้วยเหตุนี้ในตอนที่ถูกศัตรูล็อกเป้า วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือศัตรูก็คือใช้ส่วนท้องของเครื่องบินเผชิญหน้ากับศัตรู ขณะเดียวกันก็รีบทิ้งระยะห่างระหว่างศัตรู จากนั้นค่อยบินไต่ระดับขึ้นไปใหม่ แล้วใช้ปืนซึ่งมีความได้เปรียบในเรื่องระยะการโจมตีสังหารศัตรู ตรงที่นั่งทั้งสองที่บนเครื่องบินล้วนแต่ติดตั้งแผ่นป้องกันเอาไว้ ซึ่งสามารถช่วยป้องกันไม่ให้หอกกระดูกแทงทะลุมาถูกนักบินได้ ส่วนตัวเครื่องบินที่ดูแล้วเหมือนเป็นเป้าอันบอบบาง แต่ขอเพียงหอกกระดูกไม่แทงถูกโครงสร้างหลัก มันก็แทบไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรต่อตัวเครื่องบินเลย
ตอนนี้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดระหว่างเฮฟเว่นเฟลมกับเครื่องบินฝึกซ้อมก็คือการใส่ตัวควบคุมการหมุนของปีกเข้าไปในคันบังคับหลัก นักบินใช้แค่มือเดียวก็สามารถคุมการก้มเงยและทิศทางของเครื่องบินได้อย่างง่ายดาย
ทันทีที่บินด้วยความเร็วเต็มที่ ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่สิบวินาทีก็สามารถสลัดศัตรูได้แล้ว ในระหว่างนี้ปีศาจคุ้มคลั่งปาหอกได้อย่างมากก็แค่สองครั้ง การจะปาหอกให้ถูกเครื่องบินที่บินด้วยความเร็วสูงนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ซึ่งการรบจริงสองครั้งก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าวิธีการรบแบบนี้นั้นได้ผล จนถึงตอนนี้อัศวินอากาศเสียเครื่องบินไปหลายลำแล้ว แต่ยังไม่มีใครที่ตายอยู่ในสนามรบแม้แต่คนเดียว
เครื่องยนต์ส่งเสียงคำรามดังลั่น กู๊ดเร่งความเร็วบินออกไปหลายร้อยเมตรในพริบตา ในเวลานี้ต่อให้ปีศาจคุ้มคลั่งคิดจะปาหอกใส่เขา มันก็ไม่มีโอกาสที่จะปาถูกเขาได้
ทว่าหลังจากที่เขาดึงหัวเครื่องบินขึ้นมา เขากลับไม่ได้วนกลับไปหาปีศาจสองตัวที่กำลังเล็งเป้ามาที่ตัวเอง หากแต่เพ่งความสนใจไปที่เพื่อนอัศวินอากาศอีกลำที่กำลังถูกปีศาจไล่ตามอยู่
ส่วนศัตรูที่อยู่ด้านหลังเขา เขายังมีไฮน์ที่กำลังรอจัดการพวกมันอยู่
เขาใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบของความสูงและทัศนวิสัยไล่โจมตีศัตรูที่ตามไล่ล่าเพื่อนของตน ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้เพื่อนที่อยู่อีกลำหนึ่งคอยป้องกันด้านท้ายของตัวเอง นี่คือกฎการสู้รบข้อที่สองของอัศวินอากาศ
หลังบินขึ้นลงไปสองครั้ง กู๊ดก็สังหารศัตรูตัวที่สี่ของตนได้สำเร็จ
อัศวินอากาศเริ่มค่อยๆ เป็นฝ่ายได้เปรียบ
ในเวลานี้ไลต์นิ่งกับเมซี่เองก็เข้ามาในสนามรบ ปีศาจทั้งหมดต่างตกใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร บนท้องฟ้าพลันมีอสูรสยองขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมาตัวหนึ่ง มันดูแล้วดุร้ายอย่างมาก แต่เป้าหมายการโจมตีของมันกลับเป็นพวกเดียวกันเอง อสูรสยองแสดงออกถึงความหวาดกลัวอย่างชัดเจน ถึงแม้ปีศาจคุ้มคลั่งจะกระตุกเชือกอย่างโกรธแค้น แต่การเคลื่อนไหวของพวกมันก็ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้
ความวุ่นวายนี้ยิ่งทำให้ปีศาจเสียเปรียบมากยิ่งขึ้น ไลต์นิ่งบินไปมาบนสนามรบราวกับภูติ การบินด้วยความเร็วเสียงในระยะสั้นๆ ทำให้เหล่าปีศาจไม่อาจตอบโต้ได้ ในขณะที่พวกมันยกหอกขึ้นมา ปืนลูกโม่ของไลต์นิ่งก็ไปจ่ออยู่ที่หัวของพวกมันแล้ว
ทุกๆ หนึ่งนาทีจะมีอสูรสยองถูกยิงร่วงลงไปด้านล่าง บนท้องฟ้าเหมือนมี ‘ฝนปีศาจ’ ตกลงมา
ฟาร์รีน่าที่อยู่ด้านล่างย่อมต้องเห็นภาพอสูรยักษ์ตกลงมาบนพื้น
เธอเห็นสัตว์ประหลาดสองปีกที่ทั่วทั้งร่างมีเลือดไหลออกมาตกลงมาบนพื้นหิมะที่อยู่ไม่ไกลจากถนน แรงกระแทกอย่างรุนแรงทำให้มันกลิ้งอยู่หลายรอบกว่าจะหยุดลง ส่วนปีกและขาของมันก็กระเด็นกระจัดกระจายไปทั่วราวกับผ้าขี้ริ้ว
บนฟ้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
กองทัพที่หนึ่งเตรียมรับมือศัตรูที่อยู่บนฟ้าเอาไว้ตั้งแต่แรกจริงๆ ด้วย แต่ตอนแรกเธอคิดถึงแต่ว่าพวกเขาจะใช้อาวุธปืนมาจัดการกับปีศาจพวกนี้ ทว่าจนถึงตอนนี้เธอยังไม่ได้ยินเสียงปืนดังมาจากท้ายรถเลย กลับกลายเป็นบนท้องฟ้าที่มีเสียงดังแปลกๆ ราวกับว่าบนนั้นกำลังมีการต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่
แต่ปัญหาคือ…บนฟ้าเนี่ยนะ?
ฟาร์รีน่าสะกดความอยากรู้เอาไว้ไม่อยู่ เธอฉวยโอกาสตอนที่รถวิ่งอยู่บนทางตรงชะโงกหน้าออกไปมองบนท้องฟ้าที่อยู่ด้านหลัง
และสิ่งที่เธอมองเห็นทำให้เลือดทั้งตัวของเธอพลันเดือดพล่านขึ้นมา!
“พระเจ้า…”
เธอบ่นพึมพำขึ้นมา
ด้านล่างชั้นเมฆมีลำแสงสีเงินสว่างขึ้นมาเหมือนกับแสงแดดยามเช้าที่ส่องทะลุชั้นเมฆลงมา ส่วนแหล่งกำเนิดแสงที่ว่านั้นมาจากนกยักษ์สีเทารูปร่างพิเศษฝูงหนึ่ง — ความรู้สึกที่เธอสัมผัสได้มันไม่เหมือนกับโครงกระดูกในหมอกแดงพวกนั้น ฟาร์รีน่ารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านกยักษ์ที่สู้กับปีศาจพวกนั้นคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา
ซ้ายขวาเท่ากัน ทั่วทั้งร่างสมดุล เป็นเหลี่ยมเป็นมุม เผยให้เห็นถึงความงามของอาวุธสงคราม แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้ ฟาร์รีน่าถึงได้รู้สึกตกตะลึง
ตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่มนุษย์สามารถขึ้นไปบินอยู่บนท้องฟ้าอันเป็นดินแดนของพระเจ้าได้เหมือนกับนก?
‘พวกเรา’…ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?
เธออดนึกถึงข่าวที่เธอเคยเห็นในเกรย์คาสเซิลรายสัปดาห์ไม่ได้ ตรงตำแหน่งพาดหัวข่าวที่ดูสะดุดตามีภาพสีขาวดำอยู่ภาพหนึ่ง เครื่องจักรขนาดใหญ่ที่อยู่ในภาพนั้นเหมือนกับนกเหล็กที่อยู่บนฟ้าพวกนี้
งั้นเหรอ ที่แท้พวกมันก็คือเฮฟเว่นเฟลม
ตอนนี้ในหนังสือพิมพ์ใช้คำว่า ‘ภาพประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ’ ซึ่งเธอไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรนัก เพราะคำพูดที่อวยตัวเองแบบนี้เธอเคยเห็นมาเยอะแยะมากมายแล้ว แต่ตอนนี้ฟาร์รีน่าพบว่าต่อให้คำพูดเหล่านั้นมันจะโอ้อวดมากกว่านี้อีกสิบเท่า มันก็ไม่สามารถนิยามความรู้สึกของเธอในเวลานี้ได้
ทอดถอนใจ เสียใจ น่าหัวเราะ ตื่นเต้น…แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความภาคภูมิใจ
เธอภาคภูมิใจ
ที่ตัวเองเป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน
ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่หลบอยู่ในห้องของโจไม่ออกไปไหน ตัวเองพลาดอะไรไปบ้าง…
ร่างกายของฟาร์รีน่าสั่นขึ้นมาเล็กน้อย มือของเธอจับพวงมาลัยเอาไว้แน่น
ถึงแม้จะพลาดอะไรไปหลายอย่าง แต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็หันกลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ?”
…..
ซิลเวียมองเห็นอย่างชัดเจน ปีศาจที่ไล่ตามโจมตีอยู่บนท้องฟ้าเริ่มจะพ่ายแพ้แล้ว ภายใต้การโจมตีสลับไปสลับมาของอัศวินอากาศ ไลต์นิ่งและเมซี่ คู่ต่อสู้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง มีอสูรสยองหลายตัวที่ถอยหนีไปโดยไม่ฟังคำสั่งของปีศาจคุ้มคลั่งที่ขี่มันอยู่ ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ส่งผลต่ออสูรสยองตัวอื่นๆ ด้วย เพียงแต่ในระยะห่างเท่านี้ พวกมันไม่สามารถหลบนี้การไล่ฆ่าของไลต์นิ่งได้
ส่วนปีศาจที่พุ่งโจมตีใส่ขบวนรถบรรทุกก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ปีศาจคุ้มคลั่งสิบกว่าตัวทำตามประสบการณ์ที่ผ่านมา พวกมันกระโดดลงจากหลังของอสูรสยองในตอนที่บินผ่านขบวนรถ โดยหวังจะใช้วิธีนี้ในการหลบความได้เปรียบในเรื่องระยะห่างของปืนกล แต่สิ่งที่พวกมันต้องเผชิญกลับเป็นแม่มดอาญาสิทธิ์ที่เหนือกว่าอมนุษย์ ขณะเดียวกันในมือแม่มดเหล่านี้ยังถือปืนลูกซอง 40 มม.เอาไว้ด้วย
จุดจบของพวกมันแทบจะเรียกได้ว่าน่าอนาถ
ในตอนที่มองเห็นเหล่าแม่มดฉีกศัตรูเป็นชิ้นๆ ด้วยรอยยิ้มที่ดูบ้าคลั่ง แม้แต่ซิลเวียเองก็ยังไม่ทนดูไม่ได้
ในเวลานี้ พวกเธอคว้าชัยชนะในศึกนี้ได้เป็นที่แน่นอนแล้ว
………………………………………………………………………….