GGS:บทที่ 977 การรักษาระดับโลก

 

ข่าวเรื่องการักษของซูจิ้งในตอนนี้ไม่เพียงจะวนเวียนส่งต่อกันแค่ในประเทศเท่านี้ ในตอนนี้เรื่องของเขาได้ถูกส่งต่อออกไปยังทั่วทั้งโลกเรียบร้อยแล้ว

 

ในอเมริกา ณ สถาบันวิจัยด้านการแพทย์แห่งนี้ เหล่านักวิจัยของที่นั่นกำลังคุ้มคลั่งในทันทีที่เห็นข่าว

“ใช้เวลาสามวันในการรักษาอาการกระจกตาเสื่อม แถมยังฟื้นฟูการมองเห็นจนอยู่ในระดับ 5.3 เป็นไปได้ยังไง”

“ที่เป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าคือเรื่องสามารถเพิ่มความสูงให้ผู้ใหญ่คนหนึ่งถึง 15 เซนติเมตรในเจ็ดวันนั่นต่างหาก”

“การแพทย์จีนไม่มีทางรักษาได้ถึงระดับนี้แน่นอน ข่าวลวงแน่ๆ”

“แต่ประชาชนชาวจีนมีทั้งรูปและวิดีโอเป็นหลักฐานเลยนะ ฉันเองก็ได้ดูแล้ว ไม่ว่ามองยังไงก็ของจริงชัดๆ”

“ไปรวบรวมข้อมูลแล้วเรียกทุกคนมาประชุมกันในอีกครึ่งชั่วโมงซะ”

 

ญี่ปุ่น ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีเทคโนโลยีการแพทย์ก้าวล้ำที่สุดในเอเชียนั้น ตอนนี้ วงการแพทย์ทั่วทั้งประเทศกำลังลุกเป็นไฟ

“ประเทศจีนสามารถหาวิธีรักษาโรคที่ยากเย็นเช่นนี้ก่อนพวกเราได้ยังไงกัน”

“ถึงแม้การรักษาโรคกระจกตาเสื่อมระยะสุดท้ายจะไม่ได้ยากเย็นนัก แต่ที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือความเร็วในการรักษา แถมระยะการมองเห็นยังดีกว่าเดิมในระดับ 5.3 นี่มันจะเกินไปแล้ว แถมอาการของเด็กนั่นมีรอยแผลลึกเข้าดวงตาแบบนี้ไม่มีทางจะรักษาด้วยการผ่าตัดได้อย่างแน่นอน”

 

“ทำให้ผู้ใหญ่คนหนึ่งสามารถสูงต่อไปได้อีก 15 เซนติเมตรนี่สิที่ไม่มีทางมากกว่า หากเป็นความจริงล่ะก็ชาวจีนสมควรจะมีค่าเฉลี่ยความสูงของประเทศสูงขึ้นแล้วสิ

ไม่ ไม่ เราจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ไป ไปหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ โดยเฉพาะเรื่องความสูงนี่จงไปรวบรวมข้อมูลมาให้มากที่สุด”

 

เกาหลีใต้ ฝรั่งเศษ เยอรมันนี อิตาลี และประเทศอื่นๆที่ได้ชื่อว่ามีการแพทย์ที่ก้าวล้ำต่างก็ตกตะลึงกับข่าวของซูจิ้ง

“หมอหวัง ข่าวการรักษาผู้ป่วยคนนั้นเป็นความจริง หมอซูจิ้งเป็นหมอเทวดาจริงๆ” ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองจีน คนไข้ของหวังกังหยุนที่เข้ามารักษาอาการต้อหินได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น

“เป็นข่าวจริง เป็นผมเองที่ไปดูแคลนเขาก่อนโดยไม่ได้ไปเห็นกับตาตัวเอง” หวังกังหยุนกล่าวออกมาด้วยท่าทีละอายใจ

 

“ผมไม่รับการรักษาจากคุณแล้วนะ ผมจะไปขอให้เขาช่วยผมแทน” ชายวัยกลางคนได้พูดออกมา

“อย่าเพิ่งตัดสินใจไปสิครับ คุณหลี่ ตอนนี้คุณยังไม่สะดวกที่จะเดินไปรอบๆเพราะอาการของคุณ อีกอย่างค่าใช้จ่ายในการรักษาของเขานั้นแพงมาก

ตอนที่เขารักษาเด็กที่มีอาการจอกระจกตาเสื่อมนั่นเขาคิดค่าใช้จ่ายไปห้าล้านหยวนเลยนะ แถมตอนที่รักษาชายอีกคนเรื่องความสูง เขาคิดเงินค่ารักษาตั้งสิบล้านหยวน” หมออีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยได้พูดออกมาพยายามไม่ให้คุณหลี่ผู้นี้ด่วนตัดสินใจไป

 

“ฉันไม่สนว่าจะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่เพื่อจะรักษาดวงตาของฉันได้เร็วที่สุด ฉันเสียเวลาในการรักษาที่นี่ไปตั้งมากมาย เสียเงินไปก็น่าจะพอๆกับที่หมอซูรักษาเด็กคนนั้นแล้วแต่ฉันก็ยังไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิด

ที่สำคัญที่สุดคือการฟื้นคืนการมองเห็นให้ได้ระดับ 5.3 นั่น พวกคุณบอกผมหน่อยสิว่าพวกคุณทำได้รึเปล่า” ชายวัยกลางคนพูดออกมาอย่างเหลืออด

“หมอหวังคะ เราก็รู้ว่าพวกคุณนั้นทั้งดูแลและใช้ยารักษาที่ดีที่สุดในการรักษาสามีของฉัน แต่ที่เราต้องการนั้นคือการรักษาที่ดีที่สุดจริงๆน่ะ” หญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆเตียงได้พูดออกมา

หวังกังหยุนและหมอที่อยู่ใกล้เคียง เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำได้เพียงแต่เงียบไปเท่านั้น ไม่ใช่ว่าการรักษาของพวกเขานั้นไม่มีคุณภาพหรือไม่ได้หรอก แต่เมื่อเทียบกับการรักษาของซูจิ้งแล้ววิธีการรักษาของพวกเขานั้นยังถือว่าห่างกันหมื่นลี้เลยก็ว่าได้เมื่อเทียบกับของซูจิ้ง

 

ชายวัยกลางคนนั้นไม่ได้พูดอะไรกับหมอรอบตัวเขาอีกต่อไป เขาได้โทรไปยังโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนและอธิบายสถานการณ์ของเขา

จนในที่สุด เขาได้คุยกับประธานของโรงพยาบาลแห่งนี้ร่วมกับหวังกังหยุนและได้ผลสรุปคือซูจิ้งจะเข้ามาที่นี่เพื่อรักษาเขาเป็นกรณีพิเศษ

และแน่นอนว่าโรงพยาบาลแห่งนี้จะไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับค่ารักษาของซูจิ้งได้เลยแม้แต่น้อย เหตุผมที่ประธานของโรงพยาบาลแห่งนี้ยินยอมนั่นก็เพราะว่าคนไข้คนนี้เป็นคนรวย นี่ทำให้พวกเขาไม่อยากจะมีปัญหาด้วย อีกอย่าง เขาเองก็อยากรู้ว่าซูจิ้งจะรักษาชายคนนี้ยังไงกัน

 

หลังจากผ่านไปได้สักพัก รถเปอเช่คันหนึ่งได้มาจอดที่หน้าประตูโรงพยาบาล ซูจิ้งได้ก้าวลงมาจากรถและเดินเข้าโรงพยาบาลด้วยท่าทีสบายๆ

ทันใดนั้นเอง ราวกับดวงดาวที่ได้รับแสงจันทร์เข้ามาจนตัวมันนั้นได้เปล่งประกาย ทุกสายตาได้จับจ้องเขากันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นหมอ นางพยาบาล หรือแม้แต่คนไข้ต่างก็จ้องมองกันเป็นตาเดียว ถึงขนาดที่ว่ามีนางพยาบาลสาวๆหลายคนที่อยู่ๆก็ดีใจจนเป็นลมล้มพับไปก็มี

“พระเจ้า ซูจิ้งมาที่โรงพยาบาลของพวกเราได้ยังไงกัน”

“ฉันได้ยินมาว่าคนไข้คนหนึ่งไม่พอใจการรักษาของโรงพยาบาลเราจึงได้ขอร้องให้เขามารักษาแทนน่ะ”

“เขาช่างหล่อเหลาเสียจริงๆ”

“ทั้งรูปร่างหน้าตา ทั้งความสามารถ เฮ้อออออออ ฉันเทียบไม่ได้เลย”

“ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นหมอเทวดาจริงๆเลยนี่นา”

“ทางนี้ครับคุณหมอซู” หวังกังหยุนและหมอคนอื่นๆต่างก็เข้ามาเพื่อพบซูจิ้ง เมื่อพวกเขาได้มองซูจิ้งต่างก็อดไม่ได้ที่จะมองตั้งแต่หัวจรดเท้า

นั่นก็เพราะไม่ว่าจะมองยังไงก็ยากที่จะเชื่อว่าคนหนุ่มเช่นนี้จะมีทักษะการแพทย์ราวกับฟ้าประทานแบบนั้น

“โฮ่…สวัสดีครับหมอหวัง” ซูจิ้งกล่าวทักทายและแสยะยิ้มออกมาในทันทีที่เห็นหน้าหวังกังหยุน

 

“คุณหมอซู ผมต้องขอโทษคุณจริงๆในเรื่องความเห็นของผม เป็นผมผิดเองที่ตัดสินคุณเพียงเพราะการรับข้อมูลมาคิดเองเออเองฝ่ายเดียวแล้วทึกทักไปเองว่าการรักษาของคุณนั้นเป็นไปไม่ได้

การให้สัมภาษณ์ของผมนั้นได้สร้างปัญหาให้คุณอย่างมากมายเลยจริงๆ ผมต้องขอโทษจริงๆครับ” หวังกังหยุนพูดออกมาพร้อมกับโค้งคำนับขอโทษ

ถึงเขาจะเป็นที่นับหน้าถือตาในวงการแพทย์ขนาดไหนแต่เรื่องในครั้งนี้นั้น ชื่อเสียงของเขาไม่สามารถช่วยได้เลยแม้แต่น้อย

ซูจิ้งไม่ได้หยุดยั้งหวังกังหยุนจากการโค้งคำนับขอโทษแต่อย่างใด พลางนึกถึงว่าอีกฝ่ายนั้นมีอายุอานามมากกว่าเขามากนักและเป็นเรื่องปกติสำหรับวงการนี้

 

หมอแต่ละคนจะมีความรู้และมุมมองของตัวเองในการรักษาและวินิจฉัยโรคตามสิ่งที่ตัวเองได้ประสบโดยไม่สนใจสิ่งที่คนอื่นมี

แต่กับชายตรงหน้าเขาในตอนนี้กับละทิ้งธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆและชื่อเสียงที่เขามียอมขอโทษด้วยใจจริง นี่ทำให้เขานับประทับใจในหมอคนนี้ไม่น้อยเลย

หลังจากได้เห็นท่าทีอันจริงใจของหวังกังหยุนแล้ว ซูจิ้งไม่ได้ถือโทษเขาอีกต่อไป เขาได้เปลี่ยนรอยยิ้มของตัวเองเป็นยิ้มละไมอย่างเป็นกันเองก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลยครับ หมอหวังเองก็เพียงแค่วินิจฉัยตามความรู้ทางการแพทย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์การรักษาเท่านั้นนี่ครับ

อีกอย่างผมรู้ว่าที่คุณพูดออกมาก็เพียงเพราะหวังดีกับสาธารณชนและสิ่งที่คุณพูดออกมานั้นได้วินิจฉัยตามเทคนิคการแพทย์ในยุคปัจจุบันล้วนๆ ไม่มีความรู้สึกเกลียดชังอาฆาตเป็นการส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย

หากไม่ใช่คนแบบหมอหวังที่คอยให้ความรู้กับประชาชนแล้วล่ะก็ ผมคิดว่าต้องมีผู้บริสุทธ์หลายคนที่ต้องตกเป็นเหยื่อจากหมอปลอมจริงๆเป็นแน่

เอาเป็นว่าเรื่องที่แล้วก็แล้วกันไปดีกว่าครับ เราอยู่มาถือโทษโกรธกันจะดีกว่า”

 

หวังกังหยุนที่ตอนแรกนึกว่าซูจิ้งจะโกรธจนเข้ามาทุบตีซึ่งต่อให้เรื่องเลยเถิดเป็นแบบนั้นเขาก็จะไม่ว่าเลยสักนิด แต่เขาไม่คิดเลยว่าซูจิ้งนั้นกลับยกโทษให้อย่างง่ายดาย นี่ทำให้เขานั้นต้องรู้สำนึกจดจำไปอีกนาน

ในฐานะผู้อาวุโสแล้ว การด่วนตัดสินใจแบบนี้จนทำให้ชื่อเสียงของคนๆหนึ่งเสียหายยับโดยไม่ได้ตรวจสอบให้ถี่ถ้วน

เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ไม่มีท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อย นี่ทำให้ซูจิ้งสามารถชนะใจหวังกังหยุนได้มากพอดูเลยทีเดียว

 

“แล้วผู้ป่วยต้อหินที่จะให้ผมรักษาล่ะครับ” ซูจิ้งถามตัดบทออกมา

“ข้างบนน่ะ” หวังกังหยุนได้เดินนำซูจิ้งขึ้นบันไดไปจนเข้าไปพบกับผู้ป่วยที่มีอาการต้อหิน ชายวัยกลางคนที่ได้เห็นซูจิ้งแสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัดในทันทีที่ได้เห็นซูจิ้ง

สิ่งแรกที่เขาถามออกมานั่นก็คือเรื่องของค่ารักษา นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็เป็นคนตรงๆเช่นเดียวกัน และเขาเองก็มีเหตุผลที่ต้องหายให้เร็วที่สุด ตราบใดที่เขาสามารถหายได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะต้องจ่ายเงินค่ารักษาแพงขนาดไหนเขาก็ยอม

 

โดยทั่วไปแล้วมนุษย์ทุกคนจะมีความคิดคล้ายๆกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนที่สุขภาพดีก็จะหาเงินให้ได้มากที่สุดโดยไม่ใส่ใจเรื่องของสุขภาพจนป่วยไข้ขึ้นมา

และเมื่อพวกเขาป่วย หากไม่ใช่เงิน พวกเขาก็จะไม่ได้รับการรักษาที่ดีพอ หลายๆคนก็มีเงินมากเกินพอแต่หาคนรักษาให้ไม่ได้ คนประเภทนี้จะเห็นคนแบบซูจิ้งเป็นที่พึ่งและเป็นพระผู้ช่วยอย่างหมดหัวใจ

 

ซูจิ้งได้ทำการอ่านประวัติการรักษาของชายวัยกลางคนผู้นี้ก่อนที่จะถามอาการเพิ่มเติมจากหวังกังหยุน หลังจากนั้นเขาได้ทำการตรวจสอบอาการของผู้ป่วยคนนี้ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งทำการนวดที่ดวงตาและสุดท้ายจึงให้ยากินไป

“กินยานี้วันละสามครั้ง” ซูจิ้งพูดออกมา

“ได้ค่ะ” หญิงวัยกลางคนได้รับยาที่ซูจิ้งยื่นมาให้ราวกับว่าเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่า

“แค่นี้เหรอ” หวังกังหยุนและหมอคนอื่นๆต่างก็ถามออกมาด้วยท่าทีสับสน

“ใช่แล้วครับ อ้อ แล้วก็ผมจะต้องรักษาต่อเนื่องเป็นเวลาสามวันนะ ผมจะกลับมาอีกทีวันพรุ่งนี้” ซูจิ้งพูดออกมาก่อนที่จะจากไปราวกับใบไม้ที่ถูกสายลมพัดพาปล่อยทิ้งให้บรรดาหมอๆที่อยู่ในห้องมองหน้ากันไปมา

เขานั้นทำเพียงแค่นวดธรรมดาและนำยาออกมาให้ นี่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ นี่เขาตั้งใจจะรักษาอาการต้อหินจริงๆรึเปล่า

 

อย่างไรก็ตาม หนึ่งวันให้หลัง ผลการรักษาที่ออกมานั้นแทบจะทำให้พวกเขาตกใจจนล้มหงายขาชี้ฟ้า สองวันผ่านไปยิ่งทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ตกตะลึงกันจนพูดไม่ออก

 

นั่นก็เพราะคนไข้ที่มีอาการต้อหินคนนี้ คนที่หวังกังหยุนได้ใช้เวลาทุ่มเทรักษามานานับแรมเดือนกลับหายดีเป็นปลิดทิ้ง ที่สำคัญที่สุดคือระยะการมองเห็นของเขายังดีถึงขั้น 5.3 อีกด้วย

“เป็น…ไป…ได้..ยังไงกัน…” หวังกังหยุนทั้งที่ได้เห็นผลการรักษาของซูจิ้งอยู่ตรงหน้าก็ทำได้เพียงแสดงใบหน้าอันโง่งมออกมา เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้น

เมื่อข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไปจนทั่วโรงพยาบาล ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ยกซูจิ้งเป็นหมอเทวดาประจำใจของพวกเขาไปแล้ว

และแน่นอนว่าข่าวนี้ได้หลุดไปสู่โลกภายนอกจนก่อให้เกิดคลื่นกระเพื่อมในวงการแพทย์อีกครั้ง