บทที่ 646 เต่าแก่ที่มีรอยยิ้มบางเหมือนโมนาลิซ่า + บทที่ 647 ตัดสิทธิ์ โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 646 เต่าแก่ที่มีรอยยิ้มบางเหมือนโมนาลิซ่า
เหมยเหมยวาดภาพได้เหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอกของหร่วนหวาไฉ่อยู่สามส่วน อีกเจ็ดส่วนที่เหมือนคือสีหน้าท่าทาง เป็นเพราะหร่วนหวาไฉ่มีรูปร่างอวบท้วม และค่อนข้างเตี้ย ความยาวช่วงลำคอก็ไม่ได้ยาวนัก ภาพรวมทั้งตัวดูอิ่มเอิบวิธีการวาดของเหมยเหมยดูเกินคาดกว่าแต่ก่อนไปมาก เธอวาดช่วงตัวของหร่วนหวาไฉ่ให้ดูกลมเล็กน้อย ทำไมมองดีๆกลับมีลักษณะคล้ายกับเต่าแก่ที่ยิ้มบางเหมือนโมนาลิซ่า เขาไม่คิดว่ามันเป็นการละเมิดแต่อย่างใด แต่กลับดูตลกมากกว่า
ผู้อำนวยการจูเหลือบมองหร่วนหวาไฉ่ที่พยายามรักษารอยยิ้มอยู่แค่แวบเดียว จากนั้นมองภาพวาดในมือ ตรงมุมปากหยักยิ้มเพิ่มขึ้น มองเห็นการวาดของเหมยเหมยสูงขึ้นไปอีกขั้น
เขาวางภาพวาดของเหมยเหมยลง หยิบภาพวาดของโอหยางซานซานขึ้นมาดู แต่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่อาจารย์หรือนักวาดมือชีพ แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้นำที่ดูแลในแผนกนี้ ซึ่งถือว่าเขามีความสามารถในการมองงานศิลปะพอสมควร
โอหยางซานซานวาดหร่วนหวาไฉ่อย่าพูดถึงสีหน้าท่าทางเลย แม้แต่รูปลักษณ์ก็เปลี่ยนไปหมด โหงวเฮ้งหรือรูปใบหน้ามีเค้าโครงที่พร่ามัวมาก ไหนจะเค้าโครงภาพวาดอีก จริงๆฝีมือการวาดเป็นเพียงนักวาดระดับต้นที่พึ่งเข้าวงการ ซึ่งไม่อาจเปรียบเทียบกับภาพวาดของเหมยเหมยได้เลย
ของผู้อำนวยการจูเริ่มขมวดคิ้วแน่นขึ้น หร่วนหวาไฉ่ช่างกล้ายิ่งนัก ฝีมือแค่นี้ยังกล้าที่จะใช้เส้นสายตัดสินให้รางวัลที่สอง ?
คิดว่าทุกคนตาบอดและโง่หรือไง ?
คนอื่นๆที่ใช้เส้นสายภายในตัดสิน อย่างไรเสียก็มีพื้นฐานความสามารถทั้งนั้น แท้จริงแล้วผู้เข้าแข่งขันที่มีศักยภาพต่ำมักจะรู้ตัวเองดี และไม่คิดจะเข้ามาปะปนในวงการนี้
แต่โอหยางซานซานก็ดี ไม่ต่างอะไรกับมูลวัวเน่าเลย ทั้งยังกล้าจะหน้าหนาถึงขั้นให้หร่วนหวาไฉ่ตัดสินรางวัลที่สอง ?
ไม่แปลกที่ไม่อาจผ่านตาเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจ้าวได้จนเกิดความวุ่นวาย !
เจ้าหญิงน้อยพูดถูก ลงแข่งในสนามเดียวกับคนอย่างโอหยางซานซาน ขายขี้หน้านัก !
ผู้อำนวยการจูวางภาพวาดทั้งสองแผ่นลงบนโต๊ะ เพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนเดินเข้ามาดู เป็นการประหยัดเวลา และเพื่อแสดงออกถึงกฎเกณฑ์ที่ยุติธรรม เขาจึงยกอำนาจกรรมการตัดสินให้กับผู้เข้าแข่งขันทุกคน
“เห็นด้วยที่จะให้โอหยางซานซานเข้าร่วมแข่งขันยกมือ!” ผู้อำนวยการจูถามขึ้นเสียงดัง
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต่างยืนนิ่งเงียบ ในสายตามีแต่ความเหยียดหยาม ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะยกมือ
หวงอวี้เหลียนสองแม่ลูกไม่อาจเชื่อได้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าคนยกมือแม้แต่คนเดียวก็ไม่มี มันเกินไปแล้วจริงๆ !
“เห็นด้วยที่จะให้จ้าวเหมยเข้าร่วมแข่งขันยกมือ!” ผู้อำนวยการจูถามขึ้นอีก
ทุกคนเงียบไปราวสามวินาที มีคนหนึ่งที่ยกมือขึ้นเป็นคนแรก ตามด้วยคนอื่นๆที่เริ่มยกตาม ทยอยยกขึ้นเป็นระเบียบ ราวกับเสาที่วางเรียงรายกัน !
แม้ว่าพวกเขาจะริษยาที่ฐานะของเหมยเหมยคือลูกสาวของท่านรองผู้ว่า แต่พวกเขาไม่ได้ตาบอด ภาพวาดของเหมยเหมยพวกเขาก็ดูมาแล้ว ระดับฝีมืออยู่ตรงจุดไหน ซึ่งคนละระดับกับโอหยางซานซาน !
บ่งชี้ได้ว่าแม้ลูกสาวของรองผู้ว่าจะใช้เส้นสาย แต่ก็เป็นเส้นสายที่ได้มาด้วยความสามารถที่แท้จริง !
ทำให้คนที่มีความสามารถต่างยอมรับจากใจจริง !
สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้ ผู้อำนวยการจูเองก็พอจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรก เขาพูดขึ้นเสียงดัง “การแข่งขันของเราเป็นการแข่งที่มีความยุติธรรมและเปิดเผย ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้เข้าแข่งขันทุกคน ต่อไปนี้ผมขอประกาศ ตัดสิทธิ์ในการแข่งขันของโอหยางซานซานในครั้งนี้ !”
ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้การรักษาภาพพจน์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขา ส่วนเรื่องที่จะผิดใจกับผู้อำนวยการโอหยางหรือไม่ เขาไม่อาจคิดไตร่ตรองได้ !
จะว่าไปคนที่ต่อกรกับตระกูลโอหยางคือตระกูลจ้าว เขาไม่ใช่คนโง่ที่ต้องปล่อยทิ้งตระกูลจ้าวอย่างไม่แยแส แล้วไปประจบสอพลอกับตระกูลโอหยาง !
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต่างส่งเสียงร้องโห่ด้วยความปิติ พวกเขานึกไม่ถึงว่าผู้อำนวยการจูจะตัดสิทธิ์การแข่งขันของโอหยางซานซาน และนั่นทำให้พวกเขารู้สึกขอบคุณและเคารพต่อผู้อำนวยการจูมากขึ้น รู้สึกว่าผู้นำคนนี้มีความยุติธรรมเสียยิ่งกว่าหร่วนหวาไฉ่ !
แต่พวกเขากลับไม่รู้เลย คนที่สามารถเข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่สูงได้นั้น จะมีสักกี่คนที่จะมีความเป็นธรรมเที่ยงตรงโดยไม่เห็นแก่ตัวหรือลำเอียง ?
……………………………………………………….
บทที่ 647 ตัดสิทธิ์
ปฏิกิริยาของผู้เข้าแข่งทำให้ผู้อำนวยการจูเกิดความพึงพอใจ เขากลับเกิดความรู้สึกพอใจที่เหมยเหมยก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น หากว่าทุกอย่างราบรื่นไปเสียหมด จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเขาได้หรือ !
เขาให้กลุ่มสตาฟนำผู้เข้าแข่งขันเข้าไปยังสนามแข่ง สถานการณ์กลับมาเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกครั้ง พวกนักข่าวถ่ายเก็บภาพเหตุการณ์ไว้ นั่นยิ่งทำให้ผู้อำนวยการจูพอใจมากขึ้น
โอหยางซานซานไม่อาจรับได้กับผลลัพธ์เช่นนี้ เธอเอาแต่ร้องไห้โหวกเหวกโวยวายจะเข้าร่วมแข่งขันเสียให้ได้ ไม่ว่าหวงอวี้เหลียนจะเกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่เป็นผล
“ผู้อำนวยการจู คุณจัดการแบบนี้จะเป็นการสุกเอาเผากินไปหรือเปล่า? ซานซานของฉันเป็นถึงรองชนะเลิศจากเมืองหลวง เธอมีสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขัน คุณแค่ใช้การประเมินของเด็กพวกนี้มาตัดสิทธิ์การแข่งขันของซานซาน แบบนี้ถือว่าคุณกำลังบกพร่องต่อหน้าที่ !”
หวงอวี้เหลียนพูดออกมาอย่างไร้ความเกรงใจ เธอไม่พอใจต่อการปฏิบัติที่เที่ยงธรรมของผู้อำนวยการจู อยู่ต่อหน้ายังต้องแสร้งทำตัวเป็นดั่งเปาชิงเทียน[1] ใครต่างก็รู้ดี !
ผู้อำนวยการจูไม่อยากพูดไร้สาระกับผู้หญิงคนนี้ จึงนำภาพวาดทั้งสองที่วางอยู่บนโต๊ะยกขึ้นให้หวงอวี้เหลียนดู และหัวเราะเยาะ “นี่คือภาพวาดของลูกสาวคุณ ส่วนนี่คือภาพวาดของจ้าวเหมย หากว่าคุณหญิงโอหยางไม่เข้าใจพวกภาพวาด สามารถให้เลขาหร่วนอธิบายให้ได้ ตอนนี้ผมมีเรื่องด่วนที่ต้องทำ ขอตัวก่อนครับ !”
เขาส่งยิ้มให้อย่างมีมารยาท จากนั้นปลีกตัวออกไปยังสนามแข่ง ตัวเขาเป็นถึงผู้ดูแลหลักของการแข่งขันในครั้งนี้ เขาจะไม่อยู่ในสนามแข่งได้อย่างไร ?
หร่วนหวาไฉ่เดินเข้ามาด้วยความประหลาดใจ พลันที่สายตาของเขาได้เห็นภาพวาดของเหมยเหมยก็ต้องตกตะลึงนิ่งงัน
ภาพวาดของเจ้าหญิงน้อยแห่งตระกูลจ้าวทำไมถึงได้มีลักษณะเช่นนี้ ?
ครูของเธอเป็นใครกัน ?
หร่วนหวาไฉ่ที่เกิดความสงสัยขึ้นภายในใจ จึงไม่ได้สนใจจะรับมือกับหวงอวี้เหลียนนัก เขาแค่รับคำมาไม่กี่ประโยค และหาข้ออ้างที่ต้องเข้าร่วมการแข่งขันขอปลีกตัวออกมา
บริเวณสนามในตอนนี้มีแต่ความเงียบเชียบ มีเพียงแค่ครูผู้นำทีมและผู้ปกครองบางท่านที่รออยู่ด้านนอก พวกเขามีแต่ท่าทีตื่นเต้น ไม่มีอารมณ์มาให้ความสนใจต่อหวงอวี้เหลียนสองแม่ลูก
แสงแดดที่หลบซ่อนนานเป็นเวลาครึ่งค่อนช่วงเช้า ในที่สุดก็โผล่พ้นเมฆหนาออกมา ทอประกายสาดแสงไปทั่วทุกพื้นที่ เช่นเดียวกันที่สาดส่องไปบนตัวของหวงอวี้เหลียนสองแม่ลูก
“เหม็นจัง กลิ่นเหม็นมาจากไหน ?”
ทุกคนเริ่มทยอยปิดจมูก มองไปทั่วทุกทิศทางเพื่อตามกลิ่นเหม็น จมูกของจ้าวเสวียกงไวเป็นที่สุด แค่ครู่เดียวก็สังเกตได้ว่ากลิ่นมาจากตัวของหวงอวี้เหลียน แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่รู้ตัว แต่ยังคงทำท่าทีสง่าดั่งผู้รากมากดี
จ้าวเสวียกงยิ้มเยาะอย่างชั่วร้าย และไม่ได้เตือนหวงอวี้เหลียนถึงกลิ่นเหม็นบนตัวเธอ ให้ยัยผู้หญิงคนนี้พากลิ่นเหม็นออกไปข้างนอกให้ขายขี้หน้าถึงจะดี !
เมื่อถึงเวลานั้นอยาก รู้ว่าเธอจะเสแสร้งยังไง !
ผู้เข้าแข่งขันจำนวนกว่าพันคนถูกแบ่งให้เข้าห้องเรียนไปในจำนวนไม่กี่ห้อง ไม่มีหัวข้อหรือขอบเขตที่จำกัด แต่ให้ผู้เข้าแข่งขันวาดตามความชอบและความสามารถของตน อยากวาดอะไรก็วาด สุดท้ายให้กรรมการลงคะแนนเลือกผู้ที่โดดเด่นที่สุดออกมาเป็นผู้ชนะ
เหมยเหมยแค่คิดไตร่ตรองเพียงครู่เดียวก็รู้ว่าจะวาดอะไร เธอตั้งใจจะวาดฉิวฉิว ในป่าสนร่วงโรยโปรยปรายเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง เห็นถึงความอ้างว้างวังเวง ทำให้เรารู้สึกถึงฤดูหนาวที่มีแต่ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
ราวกับกระรอกสีขาวตัวหนึ่งที่ร่วงหล่นมาจากบนฟ้า มันหมอบตามหาเมล็ดสนอยู่บนพื้นดิน สองเท้าหน้าของมันจับยึดเมล็ดสนลูกใหญ่ไว้ มันไม่ได้รีบร้อนที่จะกัดกินเสบียง แต่มันหันหน้ากลับมา ดวงตาดำกลมตื่นตกใจมองสอดส่องไปทั่วทุกทิศ คงจะเป็นการระแวดระวังต่อศัตรู !
ภาพวาดของเหมยเหมยได้รับคำชี้แนะมาจากภาพวาดของคุณตาเหยียนตานชิง เหยียนซินหย่าได้นำเอาภาพวาดของเหยียนตานชิงกลับมาไม่กี่ภาพเพื่อเรียนรู้ หนึ่งในภาพวาดนั้นคือภาพกระรอก เพียงแต่ภาพที่ท่านอาจารย์เหยียนวาดเป็นฝูงกระรอก ส่วนเหมยเหมยเลือกวาดง่ายๆเพียงหนึ่งตัว
หร่วนหวาไฉ่ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย เขาเดินเข้ามายังสนามแข่งของเหมยเหมย เขาเอามือไขว้หลังไว้แสร้งทำเป็นเหมือนสอดส่องดูลาดเลา จากนั้นค่อยๆเข้ามายืนอยู่ข้างๆเหมยเหมย หร่วนหวาไฉ่ที่ได้เห็นภาพวาดกระรอกที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ เขามีสีหน้าท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
……………………………………………………….
[1] ในภาษาจีนฮกเกี้ยนเรียก เปาบุ้นจิ้น หมายถึงผู้ที่ทำให้ฟ้าสว่าง จากการช่วยเหลือสามัยชนคนธรรมดาให้รอดพ้นจากการฉ้อราษฏ์บังหลวง