ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 12 สมควรโมโหจนตาย

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะออกมา ถามว่า “วันนี้เจ้าก็หลงเชื่อไปหรือ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกะพริบตาแล้วกะพริบตาอีก ทันใดนั้นก็ตาเป็นประกายหัวเราะ “วันนี้ถูกคนสารเลวของจวนอู่โหวทำให้โกรธจนขึ้นสมอง จนไม่เข้าใจความหมายแท้จริงของเจ้า ยังตกใจกลัวจนเหงื่อซึมอยู่เลย” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “วันนี้ที่ข้าตำหนิพวกเขา ไม่ใช่เพราะพวกเขาไปช่วยเหลือ แต่เพราะกลัวว่าพวกเขาจะเลยเถิดคิดกระทำการอื่นเพราะเรื่องนี้ ต่อไปไม่ว่าใครในจวนใดทำให้สองสาวนั่นเดือดร้อน พวกเขาจะไปหาเรื่องเขาอย่างไม่คิดไตร่ตรองให้ดี สักแต่วางอำนาจรังแกคนอื่น” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือไปลูบศีรษะนาง พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเส้าเอ๋อร์พวกเขาจะเข้าใจความหมายของเจ้าหรือเปล่า” 

 

 

น้ำเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวเต็มไปด้วยความได้ใจอย่างเปิดเผย “คนบ้านตระกูลเมิ่งของเราฉลาดหลักแหลมเป็นเลิศ ตอนที่ข้าตำหนิติเตียนพวกเขา ก็เข้าใจกันแล้วล่ะ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหน้าชา  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มส่ายศีรษะอย่างทำอะไรไม่ได้ “เอาเถอะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบเข้านอนกันเถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลับตาลง ขยับตัวเพื่อได้ท่าที่สบายที่สุดในอ้อมกอดเขา แล้วหลับไป  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มมองนางด้วยความรักใคร่เอ็นดูอยู่นาน แล้วจึงหลับตาลง  

 

 

วันต่อมา เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นเช้าไปห้องของลูกสาวทั้งสองคน เมื่อเห็นสีหน้าแดงฝาดของหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่กลับมาเป็นปกติแล้ว ก็วางใจลง ยิ้มพูดว่า “เมื่อวานท่านปู่ของเจ้าไปต่อสู้กับคนจวนอู่โหวเพื่อเอาคืนให้เจ้ามาจนได้รับบาดเจ็บ หากเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ก็รีบไปดูหน่อยเถอะ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยินดังนั้น ก็เด้งตัวขึ้น ใส่เสื้อผ้าเสร็จอย่างรวดเร็ว วิ่งไปที่เรือนของพระชายาฉีด้วยขาที่แทบจะอ่อนแรง นางบุกเข้าไปในห้องทันที จนทำเอาอ๋องฉีและพระชายาฉีตกใจสะดุ้งโหยง  

 

 

“ท่านปู่ แม่ข้าบอกว่าท่านบาดเจ็บ ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ” ไม่ทันรอให้ทั้งสองคนถาม หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ชิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ พูดจบก็วิ่งไปหาอ๋องฉี เขย่งเท้ายื่นมือออกไปลูบรอยบวมแดงที่ยังหลงเหลืออยู่เล็กน้อยบนแก้มของอ๋องฉีเบาๆ  

 

 

อ๋องฉีรู้สึกใจชื้นอย่างบอกไม่ถูก ยิ้มพูดว่า “ปู่ไม่เป็นอะไร เดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” 

 

 

พระชายาฉีก็ซาบซึ้งใจ พูดตามว่า “ใช่แล้ว ท่านปู่ของเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วนะ” 

 

 

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ท่านบอกข้ามาว่าใครบังอาจต่อยท่าน รอแม่อนุญาตให้ข้าออกไปข้างนอกก่อน ข้าจะเอาคืนแทนท่าน” 

 

 

“น่าจะไม่ได้แล้วล่ะ” อ๋องฉีพูดอย่างสนุกสนาน  

 

 

“ทำไมเจ้าคะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์เบิกตาโตถามอย่างไม่เข้าใจ  

 

 

อ๋องฉีลากเสียงยาว “เพราะว่า…” พูดถึงตรงนี้ ก็เว้นจังหวะ มองสายตาของหวงฝู่เย่าเย่ว์ แล้วยิ้มพูดว่า “เขาถูกปู่เอาคืนจนแพ้ราบคาบไปแล้วไงล่ะ” 

 

 

สายตาหวงฝู่เย่าเย่ว์ส่องเป็นประกาย มองอ๋องฉีด้วยสายตาเคารพชื่นชม แล้วยิ้มออกมา  

 

 

เมื่อเห็นหลานสาวกลับมาร่าเริงสดใสอีกครั้ง ความกังวลใจของอ๋องฉีและพระชายาฉีก็คลายลง 

 

 

หลังจากทานข้าวเช้าแล้ว หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เฮ่า และหวงฝู่รุ่ยก็ไปกั๋วจื่อเจี้ยนตามปกติ ส่วนหวงฝู่เย่าเย่ว์พักอยู่บ้าน ทำเอาอ่องฉีและพระชายาฉีดีใจยกใหญ่ พวกเขาให้หวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่เรือนของตน และฟังนางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในกั๋วจื่อเจี้ยนอย่างสนุกสนาน  

 

 

ขณะที่ฟังอย่างออกรสอยู่นั้น เสียงรายงานของพ่อบ้านก็ดังขึ้นจากในลานบ้าน “ท่านอ๋อง มีคนจากวังมาหาขอรับ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์หยุดพูด  

 

 

อ๋องฉีนั่งยืดอกขึ้น ถามอย่างสง่าผ่าเผยว่า “มีเรื่องอันใด” 

 

 

เสียงเล็กแหลมดังขึ้นจากลานบ้านว่า “รายงานท่านอ๋องขอรับ วันนี้หลังจากฮ่องเต้ทรงออกว่าราชกิจแล้ว อู่โหวก็ไปร้องไห้โวยวายที่ตำหนักหยางซินด้วยเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยบาดแผล บอกว่าท่านและซื่อจื่อนำกองกำลังไปบุกรุกจนเกือบจะทำให้จวนอู่โหวสิ้นสลาย ฮ่องเต้จึงส่งข้าน้อยมาเชิญท่านเข้าวังขอรับ” 

 

 

“รู้แล้ว เจ้ากลับไปทูลฮ่องเต้ว่าข้าจะรีบไป” 

 

 

ขันทีขานรับ พ่อบ้านส่งเขาออกจากเรือนไป 

 

 

อ๋องฉีลุกขึ้น จัดระเบียบเสื้อที่ตนใส่อยู่ ครั้นกำลังจะก้าวออกไป ก็ถูกพระชายาฉีห้ามไว้ “ฮ่องเต้ให้ท่านเข้าวัง แสดงว่าเป็นงานราษฎร์งานหลวง ท่านไปเปลี่ยนเป็นชุดราชสำนักเถิดเพคะ” 

 

 

“มิต้อง คนชั้นสูงต่ำในวังมีใครไม่รู้หรือว่าข้าวางมือจากงานราชสำนักมานานแล้ว” 

 

 

พระชายาฉีไม่ได้ห้ามเขาต่อ ยิ้มพูดกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่า “พูดมาตั้งนาน เหนื่อยแล้วสินะ มา มานั่งพักผ่อนบนตั่งสิ” 

 

 

อ๋องฉีมาถึงตำหนักหยางซิน อู่โหวนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ฮ่องเต้จัดไว้ให้ กำลังร้องไห้พลางเล่าความเป็นมาเป็นไป เมื่อเห็นอ๋องฉีที่มีพลังงานเต็มเปี่ยมเดินเข้ามา ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็ร้องไห้พูดต่อว่า “ฮ่องเต้ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่กระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

จัดการงานราษฎร์งานหลวงมาตลอดทั้งเช้า เพิ่งจะเสร็จจากงานราชกิจ ก็ถูกอู่โหวดักรอในตำหนักหยางซินร้องไห้โวยวาย หวงฝู่ซวิ่นทนแล้วทนอีก หักห้ามตนไม่ให้หยิบของข้างกายโยนเข้าใส่หน้าของอู่โหว ไอ้คนหน้าด้าน เรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดเขารู้หมดแล้ว แต่เขากลับหน้าด้านร้องไห้ใส่ความ บิดเบือนความจริง ทำเอาหวงฝู่ซวิ่นปวดหัวไปหมด  

 

 

อ๋องฉีโค้งลำตัวลง คารวะหวงฝู่ซวิ่น 

 

 

ลำตัวหวงฝู่ซวิ่นพลันแข็งทื่อ รีบยื่นมือไป ทำทีประคองเขา “เสด็จอาอายุมากแล้ว ต่อไปเข้าเฝ้าเรามิต้องคารวะเช่นนี้หรอก” 

 

 

ฮ่องเต้คิดเสียเองว่าตนพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ แต่ไม่คิดว่ากลับถูกอ๋องฉีจ้องกลับ หวงฝู่ซวิ่นชะงัก เสียวสันหลังวาบ ไม่รู้ว่าตนพูดอะไรไม่เข้าหูอ๋องฉีอีก  

 

 

อู่โหวก้มหน้า จับแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลอยู่ ไม่ได้มองทั้งสองคน เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เสียงระมัดระวังของหวงฝู่ซวิ่นก็ดังขึ้น “ยกเก้าอี้ให้เสด็จอา” 

 

 

นางกำนัลขานรับ นำเก้าอี้มาอย่างรวดเร็ว วางลงที่ฝั่งตรงข้ามที่เยื้องจากอู่โหว  

 

 

อ๋องฉีเดินไปแล้วนั่งลง  

 

 

อู่โหวหรี่ตา ไม่ได้พูดอะไร  

 

 

หวงฝู่ซวิ่นเอ่ยปาก พูดอย่างน่าเกรงขามว่า “เสด็จอา อู่โหวฟ้องร้องว่าท่านและซื่อจื่อเกือบจะทำให้จวนอู่โหวสูญสิ้น จริงเท็จอย่างไร” 

 

 

แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ตอนที่พูดก็มองอ๋องฉีไปด้วย และยังส่งสายตาให้สัญญาณแก่เขาว่าอย่ายอมรับ  

 

 

ไม่คิดว่าอ๋องฉีกลับพยักหน้า ยอมรับตามนั้น “ทูลฮ่องเต้ เป็นเรื่องจริงพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หวงฝู่ซวิ่นชะงัก  

 

 

สีหน้าอู่โหวแสดงความดีใจ  

 

 

แต่ว่า สีหน้าดีใจบนใบหน้าเขายังไม่ทันเผยได้อย่างเต็มที่ เสียงของอ๋องฉีก็ดังขึ้นอีก “แต่ว่านั่นเป็นเพราะอู่โหวหาเรื่องใส่ตัวเองพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เจ้า…” อู่โหวโกรธจนชี้ไปที่อ๋องฉี พูดอะไรไม่ออก  

 

 

หวงฝู่ซวิ่นชะงัก  

 

 

อ๋องฉีกลับพูดต่อราวกับว่าไม่เห็นสีหน้าท่าทางของทั้งสองคน “ฮ่องเต้น่าจะได้ยินมาแล้ว เป็นเพราะหลานชายและหลานสาวตัวแสบของอู่โหวลงไม้ลงมือกับเย่ว์เอ๋อร์ก่อน ข้าโกรธมาก จึงไปเจรจาที่จวนอู่โหว แต่ไม่คิดว่าทุกคนในจวนอู่โหวกลับออกมาหมด คิดจะรุมหมาหมู่ สุดท้ายกลับต้องเสียเหล่าฮูหยินไป และทหารมากมายล้มพิการ ไม่คิดว่าวันนี้กล้ามาหาท่านร้องทุกข์อย่างหน้าไม่อาย” 

 

 

อู่โหวโกรธจนเลือดที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดแทบจะกระอักออกมาหมด ชี้มือไม้ที่สั่นเทาไปที่อ๋องฉี ปากสั่นอยู่นาน ไม่มีคำพูดใดๆ สักคำออกมา  

 

 

เมื่อเห็นสภาพของเขา หวงฝู่ซวิ่นก็รู้สึกสะใจนัก พูดในใจว่า สมน้ำหน้า ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเจ้าเด็กน้อยสองคนนั้นเป็นหัวแก้วหัวแหวนของเสด็จอา แม้แต่ข้าเองยังไม่กล้าไปแตะต้องเลย แต่เจ้ากลับปล่อยให้หลานชายหลานสาวของเจ้ากระทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ เสด็จอาไม่ทำให้จวนอู่โหวของเจ้าสูญสิ้นเสีย ก็ถือว่าบุญเก่าที่บรรพบุรุษเจ้าสั่งสมไว้นั้นมีมากหนักหนาแล้ว 

 

 

ผ่านไปนาน อู่โหวสูดหายใจเข้าลึก พ่นคำหยาบออกมาอย่างไม่สนภาพลักษณ์อีก “หวงฝู่จิ้ง เจ้ามันพูดจาเหลวไหล จวนอู่โหวของเราวางอำนาจข่มท่านรึ จวนอ๋องฉีของเจ้ามากกว่าที่เรียกคนมาช่วยเหลือมากมาย” 

 

 

อ๋องฉีเผยรอยยิ้ม พูดอย่างวอนหาเรื่องว่า “แน่จริงเจ้าก็เรียกคนมาด้วยสิ” 

 

 

นี่มันเย้ยหยันกันเกินไปหน่อยแล้ว พูดจาถากถางจวนอู่โหวของพวกเขาที่ไม่มีใครออกมาช่วยในเวลาสำคัญ อู่โหวโกรธจนควันออกหู  

 

 

หวงฝู่ซวิ่นตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก หลายปีมานี้ เขาไม่รู้เลยว่าเสด็จอามีความสามารถยั่วยุคนเช่นนี้ด้วย  

 

 

กลัวว่าอู่โหวจะตายในตำหนักหยางซิน นำพาความโชคร้ายมาให้ตน หวงฝู่ซวิ่นตั้งสติ ไอกระแอมขึ้นหนึ่งที น้ำเสียงเมตตาพูดปลอบโยนว่า “อู่โหว ร่างกายท่านไม่ค่อยดีนัก อย่าโมโหเลยจะดีกว่า” 

 

 

อู่โหวดึงสติกลับมา ลุกขึ้น พรวด คุกเข่าต่อหน้าหวงฝู่ซวิ่นและกลับไปอยู่ในสภาพโศกเศร้าเหมือนเดิม “ฝ่าบาทต้องให้ความเป็นธรรมแก่กระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หวงฝู่ซวิ่นแสดงสีหน้าลำบากใจ “อู่โหว ต้นตอของเรื่องนี้ เราส่งคนไปตรวจสอบแล้ว เป็นเพราะหลานชายหลานสาวของท่านทำร้ายท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์ก่อน เรื่องนี้ผู้คนมากมายในทะเลสาบหยางเหอเป็นพยานให้ได้” 

 

 

“แต่จวนอ๋องของเขาก็ใช้อำนาจข่มผู้อื่นนะพ่ะย่ะค่ะ เขาไม่เพียงเรียกคนมาช่วย ยังให้องครักษ์ลับมาต่อสู้จนทำเอาองครักษ์ประจำจวนของข้าเกือบจะพิการกันหมด” พูดถึงตรงนี้ อู่โหวก็เหมือนจะร้องไห้จริงขึ้นมา องครักษ์สองร้อยนายเลยนะ ต้องใช้เวลาและความตั้งใจมากเพียงใดกว่าจะฝึกฝนมาได้ แต่ดูตอนนี้สิ พวกเขาโดนองครักษ์ลับของหวงฝู่อี้เซวียนปราบจนแทบจะไม่เหลือซากเลย  

 

 

อ๋องฉีร้อง ฮึ เบาๆ พูดว่า “ก็ว่าทำไมจวนอู่โหวถึงไม่มีลูกหลานสืบทอด ที่แท้ก็ได้วิชาอิสตรีมา ร้องไห้เป็นอย่างเดียว” 

 

 

อู่โหวลุกพรวดขึ้นมาอย่างไม่สนมารยาททันที ราวกับสุนัขที่ถูกเหยียบหาง เขาเบิกตาโพลง อ้าปากกว้าง ราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออ๋องฉีเสียให้ได้ ถามอย่างโมโหว่า “หวงฝู่จิ้ง เจ้าว่าใครเป็นสตรี ใคร!” 

 

 

อ๋องฉีไม่รู้สึกเกรงกลัวใดๆ กวาดตามองเขาอย่างไม่ลนลาน พูดอย่างเนิบช้าว่า “ก็เจ้าไง หรือว่าเจ้าหูหนวกตาลายไปหมดแล้ว ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง” 

 

 

แค่ประโยคเดียวที่ว่า หูหนวกตาลาย ก็ยุแหย่อู่โหวจนอารมณ์เขาเดือดพล่านอีกครั้ง  

 

 

อู่โหวถลกแขนเสื้อขึ้น ท่าทางจะสู้กับอ๋องฉีอย่างเอาเป็นเอาตาย “หวงฝู่จิ้ง ไป เราไปสู้กันข้างนอกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ดูซิว่าใครเป็นสตรีกันแน่” 

 

 

“มิต้องหรอก” อ๋องฉีปฏิเสธอย่างเชื่องช้า “เมื่อวานสู้กันแล้วไม่ใช่หรือ” 

 

 

เมื่อวาน? เมื่อวานตนพ่ายแพ้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ อู่โหวก็หน้ามืด เกือบจะสลบไป  

 

 

หวงฝู่ซวิ่นเริ่มเห็นใจอู่โหว เพราะว่าเขาเห็นเงาตนเองเมื่อครั้งถูกรังแก จึงรู้สึกสงสารเขาขึ้นมา เอ่ยปากพูดไกล่เกลี่ย “เอาเถอะ อู่โหว ข้าพอรู้เรื่องแล้ว เรื่องเมื่อวานนี้ ถ้าพูดให้ถูกต้อง อ๋องฉีไม่ได้ใช้อำนาจข่มขู่ผู้อื่น เพราะว่าจวนอ๋องไม่ได้ใช้องครักษ์เงาและองครักษ์ประจำจวนเลย อีกอย่างเท่าที่เรารู้ เสด็จอาและซื่อจื่อก็ไม่ได้สวมชุดราชสำนัก ไม่ได้ใช้ทหารของราชวัง เราว่านี่เป็นเรื่องของพวกเจ้าสองจวนไม่ควรให้เรามาตัดสิน พวกเจ้ากลับไปเจรจากันเองเถอะ” 

 

 

ที่หวงฝู่ซวิ่นพูดไปเมื่อครู่นี้ถือเป็นการช่วยเหลืออู่โหวจริงๆ อ๋องฉีได้ยินดังนั้นแล้ว ก็เหลือบมองเขา หวงฝู่ซวิ่นเสียวสันหลังวาบ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ  

 

 

ในเมื่ออู่โหวเคยสร้างคุณงามความดีให้แก่ราชสำนัก หากเสด็จอาทำเอาเขาโกรธจนตายต่อหน้าตนขึ้นมา ผู้คนใต้หล้าจะมองฮ่องเต้พระองค์นี้อย่างไร คงจะคิดกันว่าเขาและเสด็จอาร่วมมือกันสังหารอู่โหว เขาจึงต้องช่วยอู่โหว เพื่อหลีกเลี่ยงผลที่อาจตามมา  

 

 

อู่โหวโกรธจนแทบจะหงายหลัง อะไรคือการไม่ได้ใช้องครักษ์เงาและองครักษ์ประจำจวน ก็องครักษ์ลับข้างกายของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ใช่หรอกหรือที่เพียงคนเดียวก็สามารถกำจัดสิบคนได้ อีกอย่าง ตอนนี้คนจวนอู่โหวบ้างบาดเจ็บ บ้างก็สลบไป แม้แต่เขาเองก็ฝืนร่างกายของตนเพื่อมาร้องทุกข์ แต่ฮ่องเต้กลับตรัสว่าเป็นเรื่องระหว่างสองจวน แล้วก็จะไล่เขากลับไป ไม่มีข้อสรุปอย่างไรเลยหรือ 

 

 

อ๋องฉีเหลือบมองหวงฝู่ซวิ่นอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นยืน ยังคงโค้งลำตัวคารวะอย่างนอบน้อม “ในเมื่อฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้ กระหม่อมจะถือเสียว่าเป็นใบ้ จะไม่ตามเรื่องนี้อีก แต่กระหม่อมขอพูดไว้ตรงนี้เลยว่า ต่อไปหากมีใครกล้าลงมือกับคนจวนอ๋องของอีก กระหม่อมจะเอาเรื่องจนเขาแพ้ราบคาบแน่” 

 

 

เพียงประโยคเดียว กระชับ ได้ใจความ มีน้ำหนัก ไม่พูดจาน้ำท่วมทุ่ง ถือว่าเป็นการเตือนด้วย เมื่อพูดจบ ก็หันหลังเดินอกผายไหล่ผึ่งออกจากตำหนักหยางซินไป 

 

 

เลือดที่อู่โหวอั้นมานานก็อั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป เขาอ้าปากแล้วกระอักเลือด จากนั้นก็ล้มหงายหลังดัง ตึ้งงง 

 

 

“อู่โหว!” นางกำนัลเรียกอย่างตกใจ รีบเข้าไปพยุงเขา เพื่อไม่ให้เลือดของเขาเลอะตำหนักหยางซิน  

 

 

หวงฝู่ซวิ่นก็ตกใจสะดุ้ง รีบลุกขึ้นและสั่งทันทีว่า “เรียกหมอหลวงมา” 

 

 

อ๋องฉีกลับฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เดินออกจากวังเพื่อกลับจวนอ๋องไปโดยไม่เหลียวหลัง