บทที่ 1295 ตัดขาดอารามจิ้งซิน

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

แม่ชีมี่หลินรู้ดีว่าตราบใดที่เฉิงเม่ยเฟิงก้าวเท้าออกไป นางจะไม่ใช่ศิษย์ของอารามจิ้งซินอีกต่อไป
  หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์กฏระเบียบ หรือสิ่งที่อารามจิ้งซินเคยสั่งสอนนางมา จะไม่มีผลอะไรกับเฉิงเม่ยเฟิงอีกเลย!
  แต่ชายชราผู้นี้เป็นฝีมือที่แข็งแกร่งมากแม่ชีมี่หลินจำต้องทำตามคำสั่งของเขาแม้กระทั่งยอมเรียกชื่อจริงของเฉิงเม่ยเฟิง ซึ่งเป็นข้อห้ามของอารามจิ้งซิน เช่นนี้แล้วจะไม่ให้นางซึ่งเป็นศิษย์อารามจิ้งซินรู้สึกเสียหน้าได้อย่างไรกัน
  อารามจิ้งซินต้องเสียหน้าถึงสองครั้งสองคราเช่นนี้ความโกรธแค้นจึงบังเกิดขึ้นในจิตใจของเหล่าแม่ชี และอารามจิ้งซินจะต้องหาหนทางล้างแค้นคืนให้จงได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งปานใดก็ตาม!   อีกฝ่ายบีบบังคับให้แม่ชีมี่หลินต้องเรียกชื่อจริงของเฉิงเม่ยเฟิงออกมาเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าต้องการให้นางประกาศให้เฉิงเม่ยเฟิงขาดจากการเป็นศิษย์อารามจิ้งซินนั่นเอง
  แน่นอนว่าเวลานี้แม่ชีมี่หลินยังไม่รู้ตัวว่านับตั้งแต่คืนวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป จะไม่มีอารามจิ้งซินอยู่ในโลกยุทธภพอีกต่อไปแล้ว เพราะหากนางรู้นางคงไม่ต้องเสียเวลาครุ่นคิดเรื่องแก้แค้นอะไรอีก
  แม่ชีมี่หลินจ้องมองเฉิงเม่ยเฟิงที่ก้าวเดินออกจากกลุ่มของศิษย์อารามจิ้งซินอย่างช้าๆและค่อยๆเดินตรงมาหาตนทีละก้าว ในใจก็นึกหวาดหวั่น และนึกถึงครั้งที่เฉิงเม่ยเฟิงเพิ่งจะมาถึงอารามจิ้งซินในวันแรก
  ในเวลานั้นต่อหน้าและสายตาของทุกคน เฉิงเม่ยเฟิงเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าของแม่ชีมี่หลิน จากนั้นจึงยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกไป
  “ซือไท่โปรดคืนศิลาก้อนนั้นให้ข้าด้วย!”
  แม่ชีมี่หลินสูดลมหายใจลึกนางจ้องมองเฉิงเม่ยเฟิงที่ยื่นมือออกมาด้านหน้า จากนั้นจึงหยิบเอาศิลาเกลาใจขึ้นมาคืนให้อย่างนึกเสียดาย และอดที่จะนึกถึงเด็กหนุ่มที่เพิ่งจากไปไม่ได้
  ช่างน่าขันที่นางเชื่อว่าเด็กหนุ่มนั่นไร้วรุยทธและเก็บศิลาเกลาใจได้โดยบังเอิญ แท้ที่จริงแล้วเขาก็คือยอดฝีมือผู้สูงส่งที่นางไม่อาจมองเห็นขั้นพลังปราณของเขาต่างหากเล่า
  เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แม่ชีมี่หลินก็ถึงกับตกใจจนเหงื่อท่วมเย็นไหลท่วมตัว นางอดที่จะมองเหลียวมองไปทางป่าลึกไกลๆไม่ได้ และได้แต่ขนลุกไปทั่วทั้งตัวเมื่อคิดว่า หากเมื่อครู่แม่ชีมี่ยู่ลงมือจริงๆ นางคงต้องถูกสังหารตายภายในชั่วพริบตาเป็นแน่!
  “คิดไม่ถึงว่าอารามจิ้งซินกลับเลี้ยงงูเห่าไว้ข้างกายน่าขันยิ่งนัก พวกเราต่างเฝ้าหวังว่าจะมีศิษย์ที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับสำนักได้…”
  แม่ชีมี่หลินได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นใจในขณะที่ยื่นศิลาเกลาใจคืนให้กับเฉิงเม่ยเฟิง
  เฉิงเม่ยเฟิงรับมาแต่ไม่พูดอะไรกับแม่ชีมี่หลินอีกแม้แต่คำเดียวนางก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าราวสามสี่ก้าว จากนั้นจึงหยุดชะงักแล้วค่อยๆหันกลับมาช้าๆ
  เฉิงเม่ยเฟิงจ้องมองไปทางเหล่าศิษย์อารามจิ้งซินจากนั้นจึงชักระบี่ออกมาถือไว้ในมือ ก่อนจะปักลงไปที่พื้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคน
  “ข้า..เฉิงเม่ยเฟิง! ขอประกาศต่อหน้าเหล่าชาวยุทธทั้งหลาย นับจากนี้ไปข้ากับอารามจิ้งซินไม่มีสิ่งใดข้องเกี่ยวกันอีก!”
  จากนั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็ดึงกระบี่ขึ้นมาพร้อมโยนทิ้งไปทางด้านข้างอย่างไม่แยแสแล้วจึงยกมือขึ้นชี้หน้าแม่ชีมี่ยู่ผู้บีบบังคับให้นางต้องกลืนโอสถไร้ใจ..
  “มี่ยู่..นังโจรเฒ่า! เจ้าใช้คนในครอบครัวของข้ามาบีบบังคับให้ข้าต้องกลืนโอสถไร้ใจ บีบบังคับให้ข้าต้องลืมคนที่ข้ารัก เพื่อให้ข้ากับเขาไม่สามารถพบกันได้อีกจนชั่วชีวิตความแค้นครั้งนี้ ข้าจะต้องสะสางด้วยการฆ่าเจ้าทิ้งเท่านั้น!”
  ดวงตาของเฉิงเม่ยเฟิงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและดุดันต่อหน้าเหล่าชาวยุทธเช่นนี้ มีเพียงสองประโยคที่นางต้องการจะพูด ประโยคแรกคือประกาศตัดขาดกับอารามจิ้งซิน และสองคือการประกาศที่จะสังหารแม่ชีมี่ยู่!
  “ห๊ะ!ที่แท้ความจริงเป็นเช่นนี้เองหรอกรึ?”
  “อารามจิ้งซินเห็นหญิงสาวผู้นี้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศจึงใช้วิธีบีบบังคับอย่างไร้เมตตาถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงกับบังคับให้นางกลืนโอสถไร้ใจ…”
  “เฮ้อ..อารามจิ้งซินทำเช่นนี้ นับว่าเกินไปจริงๆ! เช่นนี้ยังกล้าอ้างตัวว่าเป็นฝ่ายธรรมะได้อย่างไร..”
  “อามิตตาพุทธ..”
  “สวรรค์เมตตา..สมควรยิ่งแล้ว!”   เพียงแค่คำประกาศสองประโยคของเฉิงเม่ยเฟิงก็ทำให้เหล่าชาวยุทธกว่าหกร้อยคนเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้อย่างกระจ่างแจ้ง
  เย่ซิงเฉินที่ยืนอยู่ข้างหลิงหยุนเมื่อได้เห็นอุปนิสัยที่เด็ดเดี่ยวดุดันของเฉิงเม่ยเฟิง นางถึงกับหันไปกระซิบกับหลิงหยุน
  “เจ้าอ้วน..นางอายุเท่าไหร่กันแน่”
  “ปีนี้ก็น่าจะยี่สิบเอ็ดแล้ว!”
  เหตุการณ์ในเวลานี้ทำให้หลิงหยุนอดนึกถึงเมื่อครั้งที่เขาบุกไปช่วยเฉิงเม่ยเฟิงที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิงไม่ได้ ครั้งนั้นเฉิงเม่ยเฟิงต้องเผชิญหน้ากับอำนาจของตระกูลซันอย่างโดดเดี่ยว และในครั้งนั้นนางถึงกับประกาศตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับเฉิงเทียนผู้เป็นพ่อ!
  การประกาศตัดขาดจากอารามจิ้งซินจึงไม่อาจเทียบอะไรได้เลย!
  “เช่นนั้นต่อไปข้าก็ต้องเรียกนางว่าพี่เม่ยเฟิง!”
  แววตาของเย่ซิงเฉินเป็นประกายขึ้นมาทันทีในใจได้แต่คิดว่าเฉิงเม่ยเฟิงช่างมีคุณค่าเหมาะสมกับหลิงหยุนยิ่งนัก!
  ทางด้านศิษย์อารามจิ้งซินเวลานี้ทุกคนต่างก็ต้องเผชิญกับคำพูด และสายตาเย้ยหยันของเหล่าชาวยุทธ ใบหน้าของเหล่าแม่ชีต่างก็แดงก่ำด้วยความอับอาย
  ช่างน่าอับอายและอัปยศอดสูยิ่งนัก!
  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์น้าทั้งเจ็ดคนที่กำลังช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับแม่ชีมี่ยู่อยู่เมื่อได้ยินเฉิงเม่ยเฟิงประกาศตัดขาดกับอารามจิ้งซิน พวกนางยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของเฉิงเม่ยเฟิง พวกนางก็ถึงกับทิ้งร่างของแม่ชีมี่ยู่ไว้ที่พื้นทันที จากนั้นจึงหนีไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว!
  แม่ชีหลี่สุ่ยนึกเสียใจอย่างมากนางจึงระเบิดคำพูดออกมาทันที “โอ้ อาจารย์น้ามี่ยู่ เหตุใดท่านจึงได้ทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้!”
  “หลี่สุ่ยเจ้าอย่าได้ไปเรียกนางว่าอาจารย์น้าอีก คนชั่วช้าเช่นนี้ไม่สมควรเป็นศิษย์อารามจิ้งซินอีกต่อไป!”   “เอาล่ะพวกเราไปกันได้แล้ว ปล่อยให้นางเผชิญผลกรรมที่ก่อไว้แต่เพียงผู้เดียว!”
  หลังจากที่ได้ฟังคำประกาศของเฉิงเม่ยเฟิงแม่ชีมี่หลินจึงได้เข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง และได้ประกาศต่อหน้าเหล่าศิษย์อารามจิ้งซินเช่นนั้น
  การกระทำที่ชั่วช้าของแม่ชีมี่ยู่ในครั้งนั้นได้นำหายนะอย่างใหญ่หลวงมาสู่อารามจิ้งซิน และทำให้อารามจิ้งซินต้องถูกเหล่าชาวยุทธภพเหยียดหยาม
  แม่ชีมี่ยู่ที่เพิงฟื้นขึ้นมาจากการดูแลของเหล่าแม่ชีคนอื่นๆเมื่อได้ฟังเฉิงเม่ยเฟิงประกาศออกไปเช่นนั้น นางก็ถึงกับนั่งนิ่งด้วยความตกตะลึง และเวลานี้ไม่มีผู้ใดสนใจว่านางจะอยู่หรือตายอีกเลย
  “พี่เม่ยเฟิง!”
  ในที่สุดตี้เสี่ยวอู๋ก็สามารถดำเนินการประมูลต่อได้เสียทีเขาไม่สนใจความโกลาหลวุ่นวายรอบตัว แต่กระโดดเข้าไปหาเฉิงเม่ยเฟิงทันที  “เสี่ยวอู๋!เดี๋ยวนี้เจ้าเก่งถึงเพียงนี้เชียวรึ นับว่าไม่เสียแรงที่ฝึกฝนสินะ!” เฉิงเม่ยเฟิงเอ่ยออกมาด้วยความยินดี
  “อืมม…”
  ตี้เสี่ยวอู๋ยกมือขึ้นเกาศรีษะอย่างเก้อเขินเขายิ้มให้เฉิงเม่ยเฟิงพร้อมกับกล่าวต่อว่า “พี่เม่ยเฟิง เร็วเข้า มาช่วยข้าพิสูจน์อานุภาพของโอสถทั้งสองชนิดนี้ก่อน!”
  จากนั้นทั้งคู่จึงเดินเข้าไปกลางลานประมูลตี้เสี่ยวอู่จัดการเปิดขวดหยกทั้งสองออกมา แล้วเทโอสถโฉมสะคราญและโอสถเยาว์วัยลงในมือของเฉิงเม่ยเฟิงทันที
  “ทุกท่านจับตาดูอานุภาพของโอสถทั้งสองนี้ให้ดี!”
  ตี้เสี่ยวอู๋ประกาศเสียงดังจากนั้นจึงหันไปบอกกับเฉิงเม่ยเฟิงว่า “พี่เม่ยเฟิง ท่านกลืนโอสถเม็ดสีม่วงนี้ก่อน!”
  ในเวลานี้หากตี้เสี่ยวอู๋ให้นางกลืนยาพิษ นางก็จะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย นางจึงกลืนโอสถเยาว์วัยเข้าไปทันที
  เพียงแค่ครึ่งนาทีเหล่าชาวยุทธโดยเฉพาะผู้หญิง ต่างก็พากันกลั้นหายใจ และใบหน้าบ่งบอกถึงอาการที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง!
  นั่นเพราะเวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงได้ดูเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด..
  “ทุกท่านเห็นกับตาตัวเองแล้วใช่หรือไม่เป็นเพราะโอสถเม็ดนี้ พี่เม่ยเฟิงของข้าจึงดูราวกับเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี ทั้งที่นางอายุยี่สิบเอ็ดแล้ว”
  ตี้เสี่ยวอู๋พยายามที่ชี้ให้ทุกคนเห็นสรรพคุณของโอสถเยาว์วัยไปด้วยแต่ในเมื่อทุกคนได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว จึงไม่มีใครสนใจฟังตี้เสี่ยวอู๋อีก
  เพราะความจริงก็ได้ปรากฏชัดเจนแล้วว่าภายในเวลาเพียงแค่ครึ่งนาที เฉิงเม่ยเฟิงกลับมีใบหน้าที่เด็กลงอย่างน่าเหลือเชื่อ!
  และนั่นเท่ากับเป็นการยืนยันว่าคำพูดของตี้เสี่ยวอู๋นั้นเป็นความจริง!
  จากนั้นทุกคนจึงคะยั้นคะยอให้เฉิงเม่ยเฟิงกลืนโอสถอีกหนึ่งเม็ดที่เหลือ และผลจากการกลืนโอสถโฉมสะคราญก็ยิ่งเด่นชัด นางเปลี่ยนเป็นหญิงสาวที่งดงามขึ้นกว่าเดิมมาก ริ้วรอยบนใบหน้ากลับอันตธานหายไปจนสิ้น ใบหน้าของนางนวลเนียนโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางค์ใดๆ นี่ต่างหากจึงจะเรียกว่าสวยดั่งนางฟ้านางสวรรค์!
  “นี่มัน…”
  “ช่างเป็นโอสถที่ล้ำค่ามากจริงๆ!”
  “ราคาประมูลเริ่มต้นที่เท่าไหร่”
  “เร็วเข้า..ประกาศราคามา พวกเราอยากจะรีบประมูลแล้ว!”
  หลังจากที่ทุกคนหายตกใจเหล่าผู้ฝึกยุทธ์หญิงต่างก็ร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวาย และไม่อาจทนรอต่อไปได้อีก
  ตี้เสี่ยวอู๋ยกมือขึ้นทำท่าทางให้ทุกคนอยู่ในความสงบพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า“เอาล่ะๆ เพื่อให้ทุกคนมั่นใจ ข้าต้องการพิสูจน์ให้ทุกท่านเห็นอีกครั้ง!”
  “ท่านน้าฉินขอเชิญออกมาตรงกลางนี้ด้วย!” ตี้เสี่ยวอู๋ร้องเรียกฉินตงเฉี่วยให้ออกมา
  “หลิงหยุนนี่แผนการของเจ้าใช่หรือไม่ ข้าต้องจัดการกับเจ้าแน่!”
  ฉินตงเฉี่วยรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นแผนการของหลิงหยุนเพราะเมื่อครั้งที่อยู่ปักกิ่งนั้น เขาคะยั้นคะยอให้นางกลืนโอสถทั้งสองหลายต่อหลายครั้ง แต่นางก็ยืนกรานปฏิเสธ
  แต่ตอนนี้หลิงหยุนกลับใช้นางให้ไปเป็นผู้พิสูจน์โอสถให้กับตี้เสี่ยวอู๋และในสถานการณ์เช่นนี้นางก็ไม่อาจปฏิเสธได้อีก..
  ‘เอาน่าช้าเร็วข้าต้องกินโอสถนี่อยู่ดี’ ฉินตงเฉี่วยปลอบใจตัวเองขณะที่กระโดดออกไป
  เวลานี้สิ่งที่ทำให้ฉินตงเฉี่วยตกใจที่สุดนั้นก็คือการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวของเฉิงเม่ยเฟิงเมื่อครู่จิตใจที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ทำให้นางอดที่จะนับถือไม่ได้!   หากเปรียบเทียบกับเด็กสาวทั้งสองอย่างเย่ซิงเฉินและเฉิงเม่ยเฟิงแล้วตัวนางเองยังไม่ได้ทำอะไรเพื่อหลิงหยุนเลย นี่เพียงแค่เขาต้องการที่ขายโอสถทั้งสอง นางยังจะไม่ช่วยเขาอีกหรือ
  “มอบโอสถให้ข้า!”
  ทันทีที่ไปถึงฉินตงเฉี่วยก็สั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋เทโอสถให้กับนางเวลานี้นางอายุยี่สิบแปดปีแล้ว โอสถจึงมีผลให้นางอายุน้อยลงจากเดิมนับสิบปีทีเดียว!
  เวลานี้ทุกคนในบริเวณนั้นต่างก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน!
  ทุกคนต่างอยู่ในอาการตกตะลึง!
  โอสถที่มีอานุภาพทำให้อายุลดลงเช่นนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่ต้องการ