[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 52 เมื่อกลยุทธกลายเป็นเรื่องจริง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ก่อนวันตรุษจีนหนึ่งวัน สถานที่ราชการเริ่มหยุด ฮ่องเต้เริ่มกักตัวอยู่แต่ในวัง ความบันเทิงในกิจกรรมยามว่างของราษฎรได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ในอดีตจะมีเฉพาะวันที่สิบห้าของเดือนจันทรคติแรกเท่านั้นที่จะอนุญาตให้เดินทางตอนกลางคืนในเมืองฉางอันได้ ปีนี้ได้เริ่มตั้งแต่เดือนแรกของปีแล้ว ทั้งหมดเป็นเวลาหนึ่งเดือน เหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าแทบจะบ้าคลั่ง ตำหนักว่านหมินจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่สิบห้าของเดือนจันทรคติแรก หลี่ซื่อหมินได้จัดหาผู้อาวุโสหนึ่งร้อยคนในฉางอันเพื่อมาชมการร้องเพลงและเต้นรำที่ตำหนักว่านหมิน แน่นอนว่าจะต้องมีอายุเจ็ดสิบปีขึ้นไป 

 

 

หลังจากผ่านวันส่งท้ายปีเก่าก็จะมีการแจกอั่งเปาให้แก่สาวๆ ในบ้าน ตี๋เหรินเจี๋ยสวมเสื้อกันหนาวตัวใหม่ที่แม่ของเขาทำขึ้นเป็นพิเศษจากมณฑลเสฉวนและยังมีเสื้อขนสัตว์ เขาถือกระดูกหยอกล้อสุนัขในบ้านอย่างไร้เดียงสา ซือซือนั่งเงียบๆ เป็นเพื่อนพ่อตัวเองที่เป็นพระภิกษุจนรุ่งสาง พระภิกษุรูปอื่นได้กลับวัดของตัวเองไปหมดแล้ว มีเพียงเจวี๋ยหย่วนที่อยู่เป็นเพื่อนเต้าซิ่น เตรียมจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันตรุษจีนเพื่อที่จะพยายามเป็นครั้งสุดท้าย หากความพยายามไม่สำเร็จก็คงไม่มีวิธีที่จะเลี่ยงภาษีวัดได้แล้ว เสี่ยวอู่สภาพจิตใจไม่ค่อยดี คนในตระกูลอู่แทบจะลืมการมีอยู่ของนางไปแล้ว แม่ของนางก็ไม่มีจดหมายมาหานางสักฉบับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะส่งของมาให้ 

 

 

อวิ๋นเยี่ยให้อั่งเปาแล้วพูดบางอย่างกับสาวน้อย “หากภูเขาไม่มาหาเรา เราก็ไปหาภูเขา เรื่องอะไรจะปล่อยให้คนอื่นมามีอิทธิพลต่ออารมณ์ของเจ้า” 

 

 

เสี่ยวอู่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็กลับไปที่ห้องของตัวเองแล้วนำเงินเหรียญที่เก็บสะสมไว้มารวบรวมใส่กระเป๋าใบเล็ก เตรียมตัวไปตอนที่เถ้าแก่เชิญคนตระกูลอวิ๋นไปร้านอาหารใจกลางแม่น้ำ 

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น อยู่ในบ้านกับหนิวจิ้นต๋า จำลองแผนการโจมตีเกาจู้ลี่ของต้าถังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อหนิวจิ้นต๋าล้มเหลวอีกครั้งก็ถอนหายใจยาวแล้วโยนธงเล็กลงบนโต๊ะไม่พูดอะไรอีก 

 

 

ตอนแรกเริ่มจำลองสถานการณ์มีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น ต่อมาได้มีหลี่เฉิงเฉียนมาเพิ่มจึงได้กลายเป็นสามคน เฉิงเหย่าจินถือโอกาสหลังจากที่ไปเยี่ยมอาจารย์หยวนจางในวันตรุษจีนเดินทางมาหาพวกเขาด้วย ในห้องจึงได้กลายเป็นสี่คน 

 

 

หลังจากที่หลี่จีไปเยี่ยมหลี่กังเสร็จก็มาแวะที่ตระกูลอวิ๋น สุดท้ายก็ไม่ได้กลับบ้านมาแล้วสองวัน แล้วยังส่งม้าเร็วไปเชิญหลี่จิ้งมาด้วย ในที่สุดเมื่อในห้องไม่สามารถยัดคนเข้าไปได้แล้ว หลี่ซื่อหมินที่อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ก็ได้ควบม้าเร็วมาด้วย 

 

 

ตรงหน้าอวิ๋นเยี่ยมีโต๊ะทรายจำลองภูมิประเทศของเหลียวตงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ กำแพงเมืองแน่นหนา แล้วยังมีกำแพงเมืองที่สร้างจากฝูอวี๋ลงไปสู่มหาสมุทร 

 

 

เมื่อสายตาของหลี่ซื่อหมินเหลือบไปเห็นเมืองเหลียวตงที่คุ้นเคย ลงไปถึงเมืองไป๋เหยียน เมืองฝูอวี๋ เมืองซิน เมืองไก้โหมว เมืองอันซื่อ เมืองอูกู่ และเมืองเปยซาก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ ชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ใครอนุญาตให้เจ้าเปลี่ยนแปลงแผนที่เช่นนี้ กำแพงใหญ่นี้มาจากไหน เมืองอันซื่อสูงถึงแปดฟุตตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดเมืองฝูอวี๋มีแม่น้ำล้อมรอบ ภูเขาและป่าไม้ทางตอนเหนือของเมืองไก้โหมวอยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้นกับเมืองซิน เมืองอูกู่ตกเป็นของเกาจู้ลี่หรือ ตอนออกรบเหตุใดชาวไป่จี้จึงได้ช่วยปกป้องเมืองเกาจู้ลี่ แล้วยังตัดทหารกองหลังของเราอีกด้วย น่าขันสิ้นดี!” 

 

 

“กราบทูลฝ่าบาท ตอนนี้กระหม่อมคือเกาเจี้ยอู่ฮ่องเต้แห่งเกาจู้ลี่ ต้าถังไม่เป็นมิตรกับเกาจู้ลี่ของเราแม้แต่น้อย ดังนั้นเราจึงได้ทำการป้องกันไว้บ้างเล็กน้อย โดยทั่วไปแล้วกำแพงเมืองจะต้องสูง สระน้ำต้องลึกและมั่นคง ไม่ว่าท่านจะโจมตีอย่างไร เราก็แค่ปกป้องเมืองไว้ให้ดี หากไม่มีกำแพงใหญ่ ข้าก็จะถอยขึ้นภูเขา ท่านก็ค่อยๆ โจมตีทีละน้อย หากมีเมืองที่ท่านไม่ได้ยึด เช่นนั้นก็รอข้าตัดเส้นทางเสบียงอาหารของท่านได้เลย ชาวซินหลัวมีไป่จี้คอยหนุนหลัง ข้ายังต้องการติดต่อกับชาวเซวียเหยียนถัว พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจเรื่องการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน พวกคนดุร้ายในอาณาจักรปั๋วไห่เหล่านั้นดูแล้วก็คงจะไม่เป็นมิตรกับต้าถัง แล้วยังมีคนป่าเถื่อนที่อยู่ในป่าเหล่านั้น พวกเขาเป็นเครื่องมือของข้า แม้ว่าจะต่อสู้ตัวต่อตัวกับท่านไม่ได้ แต่ก็พอที่จะใช้เล่ห์กลได้อยู่บ้าง ฝ่าบาทท่านดูสิว่ากระหม่อมมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นฮ่องเต้เกาจู้ลี่หรือไม่” 

 

 

หลี่ซื่อหมินที่ทั้งหวาดกลัวและกริ้วโกรธได้ตบท้ายทอยของอวิ๋นเยี่ยอย่างแรง พูดด้วยความโมโหว่า “เจ้ามีข้อมูลเช่นนี้เหตุใดจึงไม่รายงานเรา รู้หรือไม่ว่านี่คือเรื่องใหญ่ของทางทหาร ไม่ใช่เรื่องเล็กที่เจ้าจะเอามาเล่นได้ตามใจชอบ” 

 

 

“ฝ่าบาท เดิมทีนี่เป็นสิ่งที่กระหม่อมทำเพื่อคลายความเบื่อหน่ายให้ท่านลุงหนิวจึงได้คิดปัญหาขึ้นมา เขาจะได้ไม่เบื่อมากเกินไป เหตุใดต้องรายงานท่านด้วย” อวิ๋นเยี่ยถามหลี่ซื่อหมินด้วยความน้อยใจ 

 

 

สีหน้าของหลี่ซื่อหมินดีขึ้นเล็กน้อย ขอเพียงแค่ไม่ใช่เรื่องจริงก็พอ เขาคิดว่านี่เป็นข่าวจากกลุ่มคนทำกิจการของตระกูลอวิ๋นที่อยู่ในเกาจู้ลี่ เมื่อครู่รู้สึกไม่เข้าใจว่าเหตุใดหน่วยกรองข่าวจึงไม่ได้รายงาน ดังนั้นจึงได้เสียการควบคุมอารมณ์ 

 

 

หลี่จิ้งถอนหายใจแล้วพูดกับฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาทการคาดเดานี้อาจจะเป็นจริงได้ การรายงานของทหารชายแดนในเดือนเก้าได้บอกว่าเมืองฝูอวี๋มีวัสดุสำหรับสร้างป้อมปราการเป็นจำนวนมาก และชาวเกาจู้ลี่ก็ขึ้นชื่อว่านักตัดฟืน รวบรวมท่อนซุงไว้นับไม่ถ้วน แล้วยังได้ยินมาอีกว่านักโทษทั้งหมดในเกาจู้ลี่ถูกส่งไปที่เหลียวตง เรื่องที่พูดมาได้รับการยืนยันแล้ว เกรงว่าเกาจู้ลี่กำลังเตรียมสร้างเมืองจริงๆ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นกำแพงใหญ่อย่างที่อวิ๋นเยี่ยคาดเดาไว้” 

 

 

รูม่านตาของหลี่ซื่อหมินหดลงเล็กน้อย ถามอวิ๋นเยี่ยอย่างจริงจังว่า “แผนที่ภูมิประเทศนี้เจ้าคิดขึ้นมามั่วๆ จริงๆ หรือ” 

 

 

“ใช่แล้วฝ่าบาท ไม่เพียงแค่ข้า ยังมีชิงเชวี่ย กงซูมู่ ไฮปาเทีย และหงเฉิง เดิมทีเป็นกลยุทธสงครามที่กระหม่อมสร้างขึ้นมา เพื่อในภายภาคหน้าจะเป็นช่องทางให้สำนักศึกษาได้คิดกลยุทธนอกหลักสูตร” 

 

 

หลี่ซื่อหมินรีบกำชับต้วนหงทันที “รีบพาคนที่อวิ๋นเยี่ยพูดถึงมาหาเราที เรามีเรื่องต้องการจะถาม” 

 

 

ต้วนหงรับคำสั่งแล้วรีบจากไปทันที ไม่นานก็พาหงเฉิงที่กำลังดื่มเหล้าอยู่ในบ้านตระกูลอวิ๋นมา หงเฉิงมองหลี่ซื่อหมินด้วยความมึนเมา เหล้าที่ดื่มได้กลายเป็นเหงื่อเย็นไหลออกมาจากกระดูกสันหลัง 

 

 

หลี่ซื่อหมินถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “หงเฉิง บอกเรามาซิว่าเจ้าทำในส่วนไหนของภูมิประเทศจำลองนี้” 

 

 

เมื่อได้ยินฮ่องเต้ถามถึงเรื่องนี้ หงเฉิงก็โล่งใจในทันที ชี้ไปที่เมืองไก้โหมวและเมืองซินแล้วบอกฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นคนสร้างสองเมืองนี้” 

 

 

“เหตุใดเจ้าจึงตัดป่าผืนนั้นทางด้านนอกเมืองไก้โหมวออก แล้วทำไมต้องสร้างเมืองซินขึ้นที่นี่” 

 

 

“กระหม่อมเคยเป็นผู้นำกองทัพ เคยคุ้มกันเมือง ย่อมรู้ได้ว่าไม่ควรมีป่าใกล้เมือง หากศัตรูต้องการโจมตี ป่าผืนนั้นจะเป็นทั้งที่ซ่อนของทหารและต้นไม้ในป่าผืนนั้นก็จะถูกโค่นทำอาวุธโจมตีได้ เหตุใดกระหม่อมจึงจะต้องเหลือป่าผืนนี้ไว้ ข้อดีของพื้นที่ในการสร้างเมืองซินนี้คืออันตรายจากภูเขาสองลูกและคูน้ำ หากมีการสร้างเมือง ถนนใหญ่ก็จะถูกตัดขาดทันที เมืองส่วนใหญ่ในต้าถังของเราเป็นเช่นนี้ อย่างเช่นจำพวกเมืองหันกู่กวน หากกระหม่อมต้องการคุ้มกันพื้นที่แห่งนี้แน่นอนว่าต้องสร้างเมืองขึ้นมา” 

 

 

“เคยมีใครชี้แนวทางให้เจ้าทำเช่นนี้หรือไม่” 

 

 

หงเฉิงพูดด้วยความประหลาดใจว่า “อวิ๋นเยี่ยและเว่ยอ๋องไม่เข้าใจเรื่องการทหาร กงซูมู่ก็เพียงแค่รับหน้าที่ในการออกแบบเมือง ไฮปาเทียรับผิดชอบเฉพาะมาตราส่วน ส่วนเรื่องการวางแผนด้านการทหารแน่นอนว่าเป็นส่วนของกระหม่อม เริ่มแรกไม่ได้เป็นรูปแบบนี้ สุดท้ายหลังจากที่พวกเราเล่นกันมาหลายครั้ง ก็กลายเป็นรูปแบบในปัจจุบันนี้ ช่องโหว่ที่พอจะคิดออกก็ได้เต็มเติมไปหมดแล้ว” 

 

 

หลี่ซื่อหมินหลับตาลง เดินไปที่โต๊ะทรายอีกครั้งแล้วถามหลี่จิ้งว่า “หากนำกองทัพทหารที่มีศักยภาพสักหนึ่งแสนคนจะสามารถยึดเหลียวตงได้หรือไม่” 

 

 

“ฝ่าบาทเองก็เป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่ากองทัพหนึ่งแสนคนเพียงพอที่จะยึดดินแดนได้แต่ไม่พอโจมตีเมือง การยึดครองเหลียวตง หากมีกองทัพไม่ถึงห้าแสนก็ไม่สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายได้พะย่ะค่ะ” 

 

 

หลี่จิ้งได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองจนเสร็จสิ้น จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ทุกประโยคและทุกคำพูดของเขาดูเหมือนจะเป็นคำที่ได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบมาแล้ว 

 

 

“เราไม่สามารถจัดหาเสบียงอาหารสำหรับกองทัพทหารห้าแสนคนได้ ทหารหนึ่งแสนคนถือว่าเต็มขีดจำกัดแล้ว” จั่งซุนอู่จี้ที่ไม่ได้อยู่ในชุดทางการพูดอย่างจริงใจต่อหน้าหลี่ซื่อหมิน 

 

 

“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเราคงต้องถามฮ่องเต้เกาจู้ลี่ผู้นี้เสียแล้ว เจ้าบอกเราทีว่ากองทัพทหารหนึ่งแสนคนจะสามารถบุกโจมตีเมืองที่เข้มแข็งเหล่านี้ได้อย่างไร” 

 

 

หลี่ซื่อหมินหันไปถามอวิ๋นเยี่ย มองอวิ๋นเยี่ยด้วยใบหน้านิ่ง ทำเอาเขารู้สึกร้อนรน หากหลี่ซื่อหมินแสดงท่าทางเช่นนี้ ตัวเองก็จะรู้สึกถึงอันตราย หากคิดหาวิธีไม่ได้จะต้องโชคร้ายอย่างแน่นอน แต่ว่าเรื่องเกี่ยวกับเกาจู้ลี่นั้นอวิ๋นเยี่ยได้เตรียมตัวรับมือตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว ตอนนี้เหล่าชุยได้เข้าไปเป็นขุนนางในเกาจู้ลี่ เพราะว่าแซ่ชุย ดังนั้นจึงได้ถือว่าตัวเองเป็นคนเกาจู้ลี่มาโดยตลอด สิ่งนี้นำความสะดวกสบายมาสู่กิจการของตระกูลอวิ๋น 

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่ากองทัพทหารหนึ่งแสนคนนั้นเพียงพอแล้ว ขอเพียงแค่กองทัพของท่านกล้าหาญพอ ที่เหลือก็ไม่ใช่ปัญหา” อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะพูดจบ ฉินฉยง เฉิงเหย่าจิน หนิวจินต๋าก็พูดขึ้นเกือบจะพร้อมกันว่า “อวิ๋นเยี่ยระวังคำพูดด้วย” 

 

 

หลี่ซื่อหมินยิ้มอย่างพอใจ โบกมือให้แม่ทัพเก่าทั้งสามคนที่กังวลจนแทบบ้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ให้เขาพูดไปเถิด วันนี้พวกเรามาหาลือเรื่องกลยุทธกัน ไม่ต้องจริงจังเกินไป มีอะไรก็พูดมาได้ เราจะไม่ลงโทษ อวิ๋นเยี่ย แม่ทัพหลี่บอกว่าจำเป็นต้องมีทหารอย่างน้อยห้าแสนคน เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าหนึ่งแสนคนก็เพียงพอแล้ว หากเจ้ามีเหตุผลเราจะขอโทษเจ้าที่ตบท้ายทอยเจ้าไปเมื่อครู่ดีหรือไม่” 

 

 

“เมื่อครู่ท่านตีกระหม่อมเจ็บมาก!” อวิ๋นเยี่ยลูบท้ายทอยตัวเองแล้วต่อรอง จะโดนตีฟรีๆ ไม่ได้ 

 

 

“เจ้าชอบกระจกสีเงินในห้องหนังสือของเรามาตลอดไม่ใช่หรือ สิ่งนั้นไม่ได้ทำมาจากเงินแต่อย่างใด ว่ากันว่าขัดจากหินที่มาจากต่างแดน ในตอนนี้มีเพียงบานเดียว เราจะมอบมันให้แก่เจ้าเป็นของขวัญไถ่โทษดีหรือไม่” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าอย่างพอใจ วันนี้หลี่ซื่อหมินได้ลดทิฐิลงเป็นอย่างมาก หากตัวเองเห็นว่าดีก็จะยอมรับ หันไปมองพวกหนิวจิ้นต๋าสามคน ยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ที่ท่านกังวลนั้นความจริงแล้วท่านกังวลในคำว่า ‘เมืองที่เข้มแข็ง’ หากเมืองในเกาจู้ลี่เหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลอวิ๋น ฝ่าบาทต้องการอยากจะได้เมืองแบบไหนก็สามารถบอกมาได้เลย” 

 

 

“เกาจู้ลี่ได้ซื้อปูนจำนวนมากจากเหลียวตง เจ้ามีวิธีการรับมือหรือไม่” หลี่ซื่อหมินถามอวิ๋นเยี่ยด้วยความไม่สบายใจ 

 

 

“พวกเขามีปูนได้อย่างไร ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของกรมอุตสาหกรรม การที่ราษฎรจะมีไว้ครอบครองนั้นเป็นไปได้ยาก พวกเขาจะมีได้อย่างไร” อวิ๋นเยี่ยยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว 

 

 

“เงียบปาก นี่คือสิ่งที่ไท่ซั่งหวงมอบเป็นรางวัลให้แก่เกาเจี้ยนอู่เพื่อสร้างวัง ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมาพูดจาหมิ่นประมาทได้” ตัวหลี่ซื่อหมินเองก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่กลับไม่อนุญาตให้อวิ๋นเยี่ยบ่น คิดๆ ดูแล้วจะไม่ให้ไม่สบายใจได้อย่างไร หลี่หยวนได้รับสมบัติของเกาจู้ลี่มามากมาย แต่ได้ยินมาว่าฮ่องเต้เกาลี่ต้องการเพียงแค่วัสดุเล็กๆ น้อยๆ ในการสร้างวัง จากนั้นก็ลงพู่กันเห็นด้วยทันที เขาให้หลี่ซื่อหมินให้คนเอาปูนไปส่ง หลี่ซื่อหมินกริ้วจนปวดฟันไปหมดแต่ก็ทำได้เพียงตอบตกลงต่อหน้าทูตของเมืองต่างๆ 

 

 

“เสด็จพ่อ ปูนที่เกาเจี้ยนอู่ใช้นั้นลูกเป็นคนจัดสรร ท่านไม่ต้องกังวลว่าวังของพวกเขาจะแข็งแรง” หลี่ไท่เดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน บังเอิญได้ยินอวิ๋นเยี่ยคุยกับเสด็จพ่อเรื่องปูนพอดี จึงได้พูดแทรกไป