หลี่ซื่อหมินมองลูกชายของเขาที่ปกติไม่ค่อยพูดนักด้วยความประหลาดใจ แล้วหันไปถามรัชทายาทว่า “เฉิงเฉียน ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้หรือไม่ บอกเรามาให้หมด”
หลี่ซื่อหมินสงสัยว่าตัวเองประเมินเด็กหนุ่มพวกนี้ต่ำเกินไปหรือไม่ หาเก้าอี้มานั่งเตรียมฟังเด็กหนุ่มเหล่านี้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาพวกเขาลงมือทำอะไรกันไปบ้าง
หลี่เฉิงเฉียนเดินออกมาจากฝูงชนมายืนอยู่หน้าหลี่ซื่อหมินแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อ ลูกกับสหายสองสามคนไม่ชอบเกาจู้ลี่ในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเตรียมการบางอย่างล่วงหน้า ตอนนี้พ่อค้าเสบียงอาหารรายใหญ่ที่สุดในเกาลี่เป็นคนของลูก ส่วนพ่อค้ายารายใหญ่ที่สุดเป็นคนของน้องสาม ส่วนพ่อค้าขนสัตว์และอัญมณีรายใหญ่คืออวิ๋นเยี่ย พ่อค้าก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในเหลียวตงอยู่ภายใต้อำนาจของชิงเชวี่ย หัวหน้ากระบวนการคือลูกศิษย์ผู้หนึ่งของตระกูลกงซู ตอนนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ที่เฉลียวฉลาดในเกาจู้ลี่ สำหรับการสร้างที่อยู่อาศัยของเหล่าเศรษฐีในเกาจู้ลี่ รวมไปถึงวังหลวง พวกเขาจะต้องไปถามความเห็นของนักปราชญ์ทรงปัญญาผู้นี้ก่อน”
หลี่ซื่อหมินถอนหายใจ คำพูดเหล่านี้ของลูกชายทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขารู้เพียงแค่ว่ารัชทายาท ชิงเชวี่ย หลี่เค่อ และอวิ๋นเยี่ยเป็นเศรษฐีในเกาจู้ลี่ เพียงแต่ว่าคาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำได้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่อวิ๋นเยี่ยนำภูมิประเทศของเหลียวตงมาเป็นของเล่น ไม่แปลกใจเลยที่ชิงเชวี่ยทำของขวัญที่ได้จากไท่ซั่งหวงกลายเป็นของที่ไร้ประโยชน์ เพียงแต่ว่าผู้คนของต้าถังจำนวนมากในวันนี้ได้ควบคุมกิจการที่สำคัญเช่นนี้ในเกาจู้ลี่ เป็นไปได้หรือว่าคนที่ฉลาดมาโดยตลอดอย่างเกาเจี้ยนอู่จะไม่รู้?
“รัชทายาท เจ้าบอกเรามาสิว่าฮ่องเต้เกาจู้ลี่ผู้นั้นก็คือเกาเจี้ยนอู่ คนอย่างเขาไม่ใช่คนโง่ พวกเจ้าทำเรื่องเหล่านี้กันได้อย่างไร”
“เสด็จพ่อ คนของลูกเป็นชาวเกาจู้ลี่ เพียงแต่ว่าเขาชอบอาศัยอยู่ในต้าถัง สิ่งที่เขาใฝ่ฝันคือการได้มีทะเบียนบ้านในต้าถัง ดังนั้นเพื่อจุดประสงค์นี้แล้วเขาจึงได้ทำงานอย่างหนักในเกาจู้ลี่เพื่อลูก”
หลี่เฉิงเฉียนยิ้มและอธิบายให้พ่อของตัวเองฟัง เป็นการพูดที่ดูสบายๆ แต่สำหรับเหล่าแม่ทัพเก่าแล้วมีความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง รัชทายาทได้ฝึกใช้แผนการและความคิดทางการทหารกับต่างแดน ไม่แปลกใจเลยที่ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉางอันจะวุ่นวายแต่ก็ยังคงมีความมั่นคงหนักแน่นฝังรากลึกถึงกระดูก ขอเพียงแค่ไม่มีความขัดแย้งภายใน ต้าถังก็ไม่เคยกลัวว่าใครจะบุกรุกเข้ามา
หลี่ไท่พูดต่อว่า “เสด็จพ่อ เดิมทีกงซูเหลียงเป็นทูตของเกาจู้ลี่ ใช้เงินจำนวนมากจ้างผู้เชี่ยวชาญจากดินแดนป่าเถื่อน เขาเพียงแค่เข้าร่วมวางแผนแต่ไม่เคยถามถึงเรื่องอื่น และเขาได้แต่งงานและมีลูกในเกาจู้ลี่ เขาเป็นคนให้ความรู้แก่ผู้คน ได้รับการเคารพนับถืออย่างสูง เมื่อได้พบกับเกาเจี้ยนอู่ก็ไม่จำเป็นต้องโค้งคำนับ”
“ตระกูลเจ้าล่ะ ได้ยินมาว่าเมื่อพูดถึงเรื่องจงรักภักดีคนรับใช้ในตระกูลอวิ๋นของเจ้าคือที่หนึ่ง เถ้าแก่ของตระกูลเจ้าคงไม่ใช่ชาวเกาจู้ลี่หรอกนะ” หลี่ซื่อหมินมองอวิ๋นเยี่ยที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนด้วยความสนใจ
“กราบทูลฝ่าบาท เถ้าแก่ในตระกูลของกระหม่อมแซ่ชุย ได้ยินมาว่าบรรพบุรุษเป็นขุนนางตั้งแต่ยุคสมัยของจูเหมิง เพียงแต่ว่าต่อมาตระกูลของเขาได้ล้มลง เมื่อเกาเจี้ยนอู่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็ได้ฆ่าทั้งตระกูลของเขา เขาพาลูกน้อยหนีหัวซุกหัวซุนมาถึงต้าถัง สาบานว่าจะฆ่าเกาเจี้ยนอู่และตระกูลของเขา และทำให้ชาวเกาจู้ลี่ทุกคนตกเป็นทาส เพราะว่าเขาเป็นทาสของคนอื่นมาแปดปี และเป็นเพราะเขาไม่ได้ดูแลลูกให้ดีจึงได้กลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ”
เมื่อหลี่จิ้งเห็นว่าฮ่องเต้ถามเสร็จแล้วจึงได้แทรกถามอวิ๋นเยี่ยขึ้นมาว่า “ตอนนี้เกาจู้ลี่มีเก้าสิบเจ็ดเมือง กำลังของพวกเจ้าจะสามารถโจมตีได้กี่เมือง” หลี่ซื่อหมินพยักหน้าแล้วมองอวิ๋นเยี่ยเพื่อรอคำตอบจากเขา ที่นี่มีแต่แม่ทัพที่มีชื่อเสียงทั้งหมด ไม่มีทางที่ความลับจะถูกเปิดเผย
“ข้าวางแผนจะจัดการผิงหรั่ง หวันโตว เมืองหลวง เว่ยน่าเหยียน เมืองเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเมืองที่ร่ำรวย รัชทายาทชอบเมืองฉางอันและเมืองเฉิงอี้ที่ผลิตเสบียงอาหารได้ ส่วนชิงเชวี่ยนั้นเขาสนใจเพียงแค่เกาเจี้ยนอู่”
หลี่จีพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้ายุ่งวุ่นวายอยู่กับการหาเงิน แต่ไม่ได้เตรียมการสำหรับการเดินทัพทหารให้ต้าถังอย่างนั้นหรือ เมืองเหลียวตง เมืองไป๋เหยียน เมืองฝูอวี๋ เมืองซิน เมืองไก้โหมว เมืองอันซื่อ ทั้งหกเมืองนี้อยู่ติดเส้นทางที่กองทัพของเราต้องผ่าน พวกเจ้ากลับไม่สนใจเรื่องสำคัญเหล่านี้ ใช้ได้เสียที่ไหนกัน”
จั่งซุนอู๋จี้กลอกตามองหลี่จีแล้วพูดว่า “เมืองอันซื่อเป็นพื้นที่กิจการตระกูลจั่งซุนของข้า เจ้าหวังจะให้องค์รัชทายาทและคนอื่นๆ มาต่อสู่แย่งผลกำไรกับตระกูลข้าอย่างนั้นหรือ”
หลี่จีมองดูแม่ทัพเก่าที่อยู่รอบๆ กำลังจ้องมองมาที่เขาจึงได้เข้าใจว่ากิจการทั้งหมดในเกาจู้ลี่ถูกแบ่งแยกอย่างสมบูรณ์กว่าเพื่อนร่วมงานใจดำเหล่านี้เสียอีก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ตัวเองได้ต่อสู้เพื่อต้าถัง ชาวเมืองฉางอันกลับพากันตั้งอกตั้งใจทำเงิน ดูเหมือนว่าตัวเองจะเสียเปรียบเป็นอย่างมาก
หลี่ซื่อหมินพอใจกับเหตุการณ์นี้เป็นอย่างมากจึงไม่ถามต่อว่าพื้นที่ล่าสัตว์ในสองสามเมืองนี้เป็นของตระกูลไหน เป็นแบบนี้เสียก็ดี แต่ละคนพากันไปเป็นเศรษฐีอยู่นอกเมือง ประการแรกคือทำให้ศัตรูของตัวเองอ่อนแอลง ประการที่สองคืออย่างไรเสียขุนนางก็ควรได้รับการปรนนิบัติเป็นพิเศษ หลังจากนี้ก็ดำเนินการตามวิธีนี้ ไม่ทำลายอำนาจของชาติ ไม่เบียดเบียนประชาชน อีกทั้งยังได้ประโยชน์อย่างมากในการควบคุมการรวบรวมที่ดิน เป็นครั้งแรกที่พบว่าคนทำการค้าขายก็เป็นอาวุธทางการทหารได้ ต่อให้เกาเจี้ยนอู่สร้างกำแพงทั้งแปด แต่ภายใต้รากฐานที่ถูกทำลาย มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร หลี่ซื่อหมินเชื่อว่าฮองเฮาควรจะเป็นคนทำกิจการรายใหญ่ที่สุดในเกาจู้ลี่ เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าดำเนินกิจการไปถึงขั้นไหนแล้ว กลับไปจะต้องถามให้ชัดเจน
มีความสุขเป็นอย่างมาก หลี่ซื่อหมินไม่อยากจะอยู่ในบ้านตระกูลอวิ๋นแล้ว วันนี้ในวังหลวงพระสนมยินและคนอื่นๆ ได้ซ้อมรำเตรียมพร้อมให้ผู้คนได้รับชม หากวันนี้ตัวเองไม่ได้ยินว่าเหล่าแม่ทัพจะไปรวมตัวที่ตระกูลอวิ๋นก็คงจะไม่ลดตัวลงมาร่วมตรุษจีนที่บ้านอวิ๋นเยี่ย ตอนมานั้นได้ควบม้ามาเอง แต่ตอนกลับองครักษ์ได้เตรียมรถเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมีดินปืนอยู่ในมือหลี่ซื่อหมินจึงได้ค้นพบวิธีที่จะพิชิตเกาจู้ลี่ ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขาลำบากคือการขนส่งเสบียง ความแข็งแกร่งของต้าถังเริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ เมื่อรอถึงสองปีคาดว่าจะเป็นโอกาสที่เหมาะสม สุดท้ายความอัปยศในราชวงศ์สุยก็ต้องให้เราเป็นคนแก้
ฮ่องเต้ไปแล้ว บรรดาแม่ทัพเก่าก็จากไปเยอะแล้วเช่นกัน เหลือเพียงแค่เฉิงเหย่าจิน หนิวจิ้นต๋า ฉินฉยง และอวี้ฉือกงที่ยังอยู่ต่อ ในศาลาอันอบอุ่นบรรดาแม่ทัพเฒ่าทั้งสี่คนกำลังดื่มกันอย่างมีความสุข การเก็บเกี่ยวของที่บ้านในปีนี้ได้ผลผลิตกำลังดี ลูกๆ ก็มีอนาคตของตัวเอง ในฐานะผู้อาวุโสตอนนี้สามารถวางใจได้แล้ว
การพบปะกันของผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องให้อวิ๋นเยี่ยมาปรนนิบัติ พ่อบ้านเฉียนวิ่งวุ่นไปมา ยกเนื้อตุ๋นมันฝรั่งมาวางสามรอบแล้ว ดูแล้วคงจะต้องเอามาวางอีกเป็นรอบที่สี่
หลี่เฉิงเฉียนอารักขาเสด็จพ่อของเขากลับฉางอัน มีเพียงหลี่ไท่ที่ถือเนื้อวัวชิ้นใหญ่ไว้ในมือแล้วบ่นไม่หยุด “บ้านเจ้าล้มวัว เหตุใดไม่คิดจะส่งมาให้ข้าบ้างสักหนึ่งขา เสด็จแม่ของข้าสั่งห้ามไม่อนุญาตให้พวกเราล้มวัวโดยไม่ได้รับอนุญาต รู้ทั้งรู้ว่ามันอร่อยแต่กลับทำอะไรไม่ได้ เรื่องที่วัวในตระกูลเจ้าป่วยตายได้เลื่องลือไปทั่วฉางอัน พรุ่งนี้จะให้คนใช้พาวัวสองสามตัวมาส่งที่บ้านเจ้า ต้องทำให้มันป่วยตายโดยเร็วที่สุด ข้ากะว่าจะส่งให้เสด็จแม่สักสองสามชิ้น”
อวิ๋นเยี่ยถามหลี่ไท่ด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมวัวของเจ้าที่ป่วยตายต้องมาตายที่บ้านข้า เจ้าไม่รู้หรือว่าจะต้องถูกทางการลงโทษ ผู้ว่าราชการเขตหลานเถียนได้ขอร้องพ่อบ้านว่าปีนี้อย่าให้วัวต้องป่วยตายอีกเลย หากมีวัวป่วยตายอีกสองสามตัวเขาคงจะต้องหลุดจากตำแหน่งนี้แล้ว”
“บ้านเจ้ามักจะมีคนแปลกๆ อยู่เสมอ เมื่อก่อนก็เคยมีเด็กคนหนึ่งที่นั่งมองน้องสาวของเจ้าอยู่บนต้นไม้ ตอนนี้ไม่เห็นเด็กคนนั้นแล้ว แต่กลับมีคนชอบนั่งดื่มเหล้าอยู่บนต้นไม้เพิ่มมาหนึ่งคน อากาศหนาวเช่นนี้ยังใส่เสื้อผ้าแหวกหน้าอก ไม่กลัวจะเป็นไข้เอาหรือ”
หลี่ไท่ชี้ไปที่เท้าใหญ่หนึ่งคู่ที่ห้อยลงมาจากต้นไม้ในสวนแล้วถามอวิ๋นเยี่ย
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร คนแปลกย่อมมีพฤติกรรมแปลกๆ หากเก่งจริงเจ้าก็หาคนที่ดื่มเหล้าเช่นนี้ในบ้านเจ้าสักคน ข้าจะถือว่าเจ้าเก่งมาก ทั้งจวนเว่ยอ๋องมีแต่นักปราชญ์ที่เอาแต่พูดเรื่องบทกวี ทำเช่นนั้นไม่เห็นจะมีหน้ามีตาอะไร อยากให้ข้าแต่งกวีสักสองบทหรือไม่ ปราบปรามพวกเขาสักหน่อย จะได้เห็นหัวคนอื่นเสียบ้าง”
“แน่นอนว่าข้าไม่เข้าใจ แต่ว่าหนังสือแผ่นดินใหญ่ข้าเป็นคนเรียบเรียงขึ้นมาเอง ข้ายอมรับว่าข้าเอาหนังสือจากห้องสมุดในสำนักศึกษาไปมาก แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องให้สวี่จิ้งจงมาทวงหนังสือที่บ้านข้าทุกวัน มันไม่ได้ผลหรอก”
“พวกเจ้ายืมหนังสือภูมิศาสตร์ภูเขาและแม่น้ำข้ายังพอเข้าใจได้ แต่พวกเจ้ายังยืมคัมภีร์ภูเขาและท้องทะเลไปด้วยเพื่ออะไรกัน หรือเจ้ากะจะเอาคัมภีร์ภูเขาและท้องทะเลมาเป็นแนวทางในการเรียบเรียงหนังสือแผ่นดินใหญ่ของเจ้า ถ้าหากข้าให้จี้หยกแก่เจ้า เจ้าจะช่วยข้าหาหาว่าไป๋อวี่จิงอยู่ที่ไหนได้หรือไม่”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางให้คนอื่นเอาจี้หยกไปหรอก สุดท้ายคนที่ได้มันก็คือเสด็จพ่อของข้า เมื่อเสด็จพ่อของข้าได้ฟังความเป็นมาของจี้หยกนั่นก็โยนจี้หยกทิ้งทันทีโดยไม่ต้องคิด ทำไมเจ้าไม่ให้เสด็จพ่อของข้าดูของสิ่งนั้น”
อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ใต้ต้นไม้รอให้หลี่ไท่เดินเข้ามาใกล้ก่อนแล้วจึงพูดเสียงเบาว่า “มันไม่เหมือนกัน เมื่อเจ้าเห็นมันแล้วอย่างมากเจ้าก็แค่ใช้เงินจำนวนมากในการตามหามัน เมื่อฮองเฮาเห็นมันแล้วอย่างมากก็แค่สนองความอยากรู้อยากเห็นของนาง การที่ให้พี่ชายของเจ้าดูก็เพื่อจะให้เขารู้ว่าการมีชีวิตอยู่เป็นอมตะเป็นเพียงเรื่องตลก เสด็จพ่อของเจ้าพึ่งจะล้มเลิกเรื่องการกลืนลูกตะกั่วลงคอ หากมีความคิดที่จะแสวงหาความเป็นอมตะขึ้นมาล่ะก็ ก็ต้องบูชายันต์ชีวิตเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงสามพันคน จะให้เจ้าพาไปตามหาเผิงไหล[1]หรือไม่ก็จะให้ข้าพาไปหาเจ้าอาวาส ข้าว่าเอาความคิดไปเน้นในเรื่องทางทหารจะดีกว่า”
หลี่ไท่ยัดเนื้อวัวชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยวอยู่นาน หลังจากที่กลืนลงไปแล้วก็หันไปมองอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เจ้าถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถ เพียงแค่จี้หยกอันเดียวก็ทำเอาคนวุ่นวายไปทั่ว สุดท้ายคนที่เสียเปรียบมากที่สุดก็คือพ่อข้า หากเป็นคนอื่นตอนนี้คงจะบ้านแตกสาแหลกขาดเป็นแน่ เจ้าไม่ต้องเอาเรื่องเกาจู้ลี่มาพูดแล้ว คนทั้งหมดล้วนเป็นผู้ฉลาดหลักแหลม เจ้าเพียงแค่ต้องการดึงดูดความสนใจของเสด็จพ่อข้าไปที่เกาจู้ลี่ไม่ใช่หรือ ก่อนหน้านี้พวกเราพูดกันไว้แล้วว่าจะสูบเลือดสูบเนื้อเกาจู้ลี่จนแห้งก่อนแล้วค่อยหยุด แต่ตอนนี้เจ้ากลับพูดมันออกมาเพื่อเป็นเกราะกำบังภัยให้แก่ตัวเอง ไม่มีความชอบธรรมเอาเสียเลย”
“การปิดบังเรื่องนี้จะต้องมีขีดจำกัดอยู่เสมอ ตอนนี้ถึงเสด็จพ่อของเจ้าจะรู้แต่ก็ไม่เป็นปัญหา หากรอพูดตอนที่เสด็จพ่อของเจ้าเป็นกังวลมากเกินไปนั้น ฮ่าๆๆ”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มแห้ง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลี่ไท่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ถูกอวิ๋นเยี่ยผลักไปหนึ่งที “ตอนนี้เจ้าเป็นหนอนหนังสือ ไม่เข้าใจว่าทำไมข้าจึงหัวเราะแล้วจะหัวเราะตามไปทำไม หัวเราะอย่างกับนกเค้าแมว”
“ใครบอกว่าข้าไม่เข้าใจ หากรอให้เสด็จพ่อของข้าเป็นกังวลแล้วค่อยพูด ถึงแม้ว่าจะเป็นผลงานชิ้นใหญ่ แต่ว่าจะต้องทำให้เสด็จพ่อข้าไม่พอใจอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นใครที่บอกความจริงกับเขา ภายภาคหน้าจะต้องโชคร้ายอย่างแน่นอน เรื่องนี้ต่อให้เป็นเสด็จแม่ของข้าก็คงไม่ยอมทำ”
“พูดได้ดีมาก! แต่ว่าเจ้าเป็นคนพูด ไม่ใช่ข้าเป็นคนพูด ข้าคิดมาโดยตลอดว่าฝ่าบาทเป็นประมุขที่จิตใจกว้างในทุกสถานการณ์ คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินว่าฝ่าบาทเป็นคนจิตใจแคบจากปากลูกของเขา สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ”
[1] เผิงไหล ดินแดนแห่งสวรรค์บนดิน ตํานานเล่ากันว่าเผิงไหลเป็นที่อยู่ของแปดเซียนข้ามทะเล