“อะไรนะ เราคือคนค้าทาสที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้? อวิ๋นเยี่ยเราอยากจะสับเจ้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ เสีย” เสียงร้องอย่างบ้าคลั่งของหลี่ซื่อหมินดังออกมาจากตำหนักเหลี่ยงอี๋ เขาคาดไม่ถึงว่ากิจการของฮองเฮาคือการค้ามนุษย์
นี่เป็นกิจการที่เก่าแก่มากอย่างหนึ่ง มันเริ่มขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักการแบ่งชนชั้นจึงได้มีกิจการนี้ขึ้นมา กิจการนี้ การค้าเนื้อ การจ้างนักฆ่าเป็นสามกิจการที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพียงแต่ว่าชื่อไม่น่าฟังเสียเท่าไหร่ หลี่ซื่อหมินรู้ว่ามีสาวใช้ชาวเกาจู้ลี่และชาวซินหลัวจำนวนมากในฉางอัน คิดว่ามันเป็นชื่อเสียงของต้าถังที่ทำให้ผู้หญิงต่างแคว้นเหล่านี้มาทำมาหากินยังฉางอัน คิดไม่ถึงว่าจะมีฮองเฮาคอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง
“ฝ่าบาทมองในแง่ร้ายเกินไป การค้าทาสเป็นสิ่งที่หม่อมฉันเอามาจากเจ้าคนพวกนั้น พี่ชายข้า แล้วยังมีตระกูลเฉิง ตระกูลฉิน เกือบจะแตกคอกันก็เพราะกิจการนี้ ท่านไม่รู้หรอกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่ต้าถังอยู่ภายใต้การควบคุมของท่าน อำนาจแคว้นได้เฟื่องฟูขึ้น ได้ยินมาว่าภาษีการค้าคิดเป็นครึ่งหนึ่งของภาษีทั้งหมด ขอเพียงแค่ภาษีการค้ามีมากขึ้นภาระของท่านก็จะเบาลง ลดภาระบางส่วนให้กับเกษตรกรใต้หล้า ให้คนชั้นสูงได้ลิ้มรสชาติอันรุ่งโรจน์ แต่หากมีพ่อค้ามากขึ้น จำนวนเกษตรกรก็ไม่ควรลดลงเด็ดขาด ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าล้อมแคว้นเพื่อนบ้านเหล่านี้ ท่านพิชิตเกาชังและเซวียเหยียนถัวกลับมาพร้อมกับชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ทำไมแม่ทัพเหล่านั้นจึงอยากจะได้เฉลยศึกแต่กลับไม่อยากได้เงินทองและไข่มุก เหตุผลก็คือที่บ้านไม่มีแรงงานคน คนในกวนจงไม่ยอมทำกิจการจึงไม่มีแรงงานมาทำงาน หากทำการค้ากับราษฎรต้าถังก็จะถูกท่านตัดหัว ดังนั้นจึงต้องขายให้คนต่างแคว้น หม่อมฉันกำลังกักตุนแรงงานเก็บขนแกะจำนวนมากสำหรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง ต้องการแค่ผู้หญิงเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นกองภูเขาขนสัตว์ในฉ่าวหยวนก็จะมากองรวมกันที่เมืองฉางอัน ท่านจะทำอย่างไรหากไม่มีแรงงานคน จะให้หม่อมฉันพาคนในวังไปจัดการด้วยตัวเองตลอดเช่นนั้นไม่ได้หรอกนะ ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมาฉ่าวหยวนเป็นหัวโจกที่ทำร้ายจงหยวน ท่านเป็นคนฉลาดที่มีไม้ตายที่จะโน้มน้าวคนป่าเถื่อนเหล่านั้นได้ แต่ไม่ใช่ว่าลูกหลานของท่านจะเป็นคนฉลาดทุกรุ่น เมื่อถึงเวลาก็ต้องพึ่งผลประโยชน์ มัดพวกเขาไว้บนรถม้าของเราให้แน่น เมื่อมีศัตรูก็ให้พวกเขาออกรับ เมื่อมีภัยพิบัติก็ให้พวกเขากั้นไว้ เช่นนี้เราถึงจะเต็มใจให้เขากินจนอิ่ม ดังนั้นหม่อมฉันจึงได้เข้ามาดูแลกิจการที่อันตรายเช่นนี้โดยไม่สนสิ่งใดทั้งนั้น และอีกอย่างกิจการนี้จะอยู่ภายใต้อำนาจของหม่อมฉันเท่านั้น ผู้หญิงชาวเกาจู้ลี่และซินหลัวจะไม่ถูกทรมานอย่างโหดร้ายจนเกินไป ท่านดูคนใต้บังคับบัญชาของท่าน นอกจากหม่อมฉันแล้วยังจะมีคนใจดีเช่นนี้อีกหรือ อวิ๋นเยี่ยเป็นคนจิตใจดีแต่เด็กคนนี้ไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ของราษฎรต้าถัง แต่ถ้าท่านดูการกระทำของเขาในหลิ่งหนานท่านก็จะรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ถือว่าเป็นคนดี ได้ยินมาว่าเขาเอาคนมาตอกบนไม้ปักไว้จนเต็มเกาะ”
เมื่อฟังจั่งซุนพูดจบหลี่ซื่อหมินก็รู้สึกสบายใจขึ้นมามาก ที่ตัวเองทำสิ่งเหล่านี้ลงไปก็เพื่อเป็นการทำความดี เฉิงเหย่าจิน? จั่งซุนอู๋จี้? ฉินฉยง? คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่เปื้อนเลือดในสนามรบ ไม่นับว่าเป็นคนจิตใจดี
“เรื่องที่อวิ๋นเยี่ยเอาคนมาตอกไว้บนไม้ จากนี้ไปไม่ต้องพูดถึงอีก กองทัพที่กล้าบุกเข้ามาในดินแดนต้าถังของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำเช่นนี้ยังถือว่าน้อยเกินไป หากข้าเป็นคนมาเจอ จุดจบของพวกเขาจะต้องโหดร้ายกว่านี้เป็นร้อยเท่า ดังนั้นการทำเรื่องนี้ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด แต่เป็นผลงานที่ไม่เคยมีมาก่อน หากมีคนอยากจะพูดก็ให้เขามาพูดกับเรา หึๆ…”
จั่งซุนกัดเส้นด้ายที่อยู่ในมือจนขาด นำเสื้อคลุมนุ่มๆ ไปคลุมไว้บนตัวหลี่ซื่อหมิน นั่งลงกับพื้นจัดระเบียบชายผ้า จากนั้นเดินถอยหลังไปสองก้าว ปรบมือแล้วพูดว่า “ท่านสวมชุดคลุมผ้าฝ้ายได้พอดีตัวเป็นอย่างมาก เฉิงเฉียนส่งผ้าฝ้ายห้าสิบผืนเข้าไปในวัง บอกว่าให้เอามาใช้ทำเป็นเสื้อคลุมตัวนอก ผ้าทั้งอบอุ่นและเบา เมื่อมีมันแล้วท่านก็ไม่ต้องใส่ขนสัตว์หนักๆ เหล่านั้นอีก เป็นผ้าที่ดีมากจริงๆ ทำไมต้าถังจึงไม่มีของดีๆ เช่นนี้ ท่านเป็นโอรสสวรรค์ ท่านช่วยถามพระเจ้าทีว่า เหตุใดจึงได้มอบสิ่งดีๆ เช่น มันฝรั่ง ข้าวโพด และฝ้ายให้แก่คนป่าเถื่อนเหล่านั้น คนดีๆ อย่างพวกเรานั้นเมื่อต้องการฝ้ายก็ต้องไปสู่รบแย่งชิงเอามา”
คำพูดหยอกล้อของจั่งซุนทำเอาหลี่ซื่อหมินได้หัวเราะอย่างปลดปล่อย ยื่นมือไปจับมือจั่งซุนพาเดินออกไปข้างนอก หันกลับมายิ้มแล้วพูดว่า “เรามาทำวันตรุษจีนให้ดีกันดีกว่า พระสนมยินและคนอื่นๆ ออกแบบท่าเต้นรำและร้องเพลง ได้ยินมาว่าใช้โคมไฟสามร้อยตัว เราไปชมกันเสียหน่อย คืนนี้ข้ากับเจ้าไม่เมาไม่เลิก”
ซีถงฟื้นจากฤทธิ์เหล้า เอ่ยปากขอให้อวิ๋นเยี่ยเตรียมม้าสามตัวที่วิ่งเร็วที่สุดให้เขา เขาต้องการวิ่งกลับไปยังเหอเป่ยโดยไม่หยุดพัก ยกนิ้วขึ้นมาคำนวณคาดว่าภรรยาคนที่สิบเก้ากำลังจะคลอดบุตรแล้ว ไม่อาจรอช้าได้
ม้าของตระกูลอวิ๋นนอกจากวั่งไฉแล้วเขาสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องขอ นอกจากลูกอมถุงใหญ่ ทองคำสี่ก้อน ที่เหลือเขาก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว สวมเสื้อคลุมหนังหมีตัวใหญ่ของอวิ๋นเยี่ย จากนั้นก็ควบม้าหายไปในกลุ่มควัน
วันนี้เป็นวันที่สองของตรุษจีน เป็นวันที่ลูกสาวต้องเดินทางกลับบ้าน ท่านอากลับมาพร้อมกับตั้งท้อง อวิ๋นเยี่ยเหลือบมองหลีสืออย่างไม่พอใจนัก ใบหน้าแก่ๆ ของหลีสือแดงก่ำ เอาแต่ก้มหน้าดื่มชา ท่านอาจึงบิดแขนของอวิ๋นเยี่ยแรงๆ หนึ่งที
อี้เหนียงก็กลับมาแล้ว ทันทีที่ก้าวเข้าประตูมาก็เอาไข่มุกบนหัวออกให้หมด กลับมาแต่งตัวเป็นลูกสาวคนเดิม ลากต้ายาไปที่หอซิ่วโหลวที่เมื่อก่อนเคยเป็นของตัวเอง ห้องนี้ว่างมาตลอด คนในตระกูลอวิ๋นมีน้อยแต่ห้องกว้าง จึงได้เก็บห้องของลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วไว้ให้พวกนางเหมือนเดิม เมื่อเวลากลับมาก็จะนึกถึงความทรงจำดีๆ
พอรุ่นเหนียงกลับมาก็ร้องห่มร้องไห้ราวกับว่าไม่ได้รับความยุติธรรม อวิ๋นเยี่ยที่โกรธจัดดึงคอเสื้อของคุณชายรองตระกูลฉิน กำลังจะใช้ความรุนแรงก็ถูกรุ่นเหนียงดึงออกมา พยายามบอกว่าไม่ใช่ว่าตัวเองได้รับความไม่ยุติธรรม เพียงแต่ว่าคิดถึงบ้านมากเกินไป
“ทุกวันตอนเช้าต้องไปคารวะท่านพ่อกับท่านแม่ ก็ไม่ได้มีอะไร แต่ว่ายังต้องไปคารวะพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ จากนั้นก็ตามด้วยเอ้อร์เหนียง ซันเหนียง ซื่อเหนียง และคนสุดท้ายคือซินเหนียง ข้าขี้เซาไปหน่อยจึงไปสาย เอ้อร์เหนียงบอกว่าข้าไม่รักษากฎระเบียบ และยังพูดอีกว่าบ้านเราสอนข้ามาไม่ดี ขาดการอบรมสั่งสอนในครอบครัว ต้าเหนียงบอกว่าเอ้อร์เหนียงพูดมากจึงดึงหูนางไปหนึ่งที นางอยากจะไปกระโดดบ่อน้ำบอกว่าถูกรุ่นน้องรังแก และยังบอกอีกว่าเครื่องประดับบนหัวของนางไม่มีค่าเท่าเครื่องประดับของข้า ข้าจึงเอาปิ่นปักผมให้นาง แต่ก็ถูกนางโยนทิ้งไป”
ได้ยินรุ่นเหนียงฟ้องเช่นนี้ก็หันกลับไปมองคุณชายรองของตระกูลฉินที่เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จาอะไร อวิ๋นเยี่ยจึงพูดขึ้นมาว่า “หวยอิง นี่เป็นเรื่องครอบครัวเจ้าข้าจะไม่เข้าไปยุ่ง ข้าเป็นคนละเลยเรื่องการสอนวินัยให้แก่รุ่นเหนียง เมื่อตรุษจีนผ่านไปข้าจะไปกราบขออภัยนายท่าน”
ฉินหวยอิงหน้าแดง คำนับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ เรื่องนี้ไม่โทษรุ่นเหนียง รุ่นเหนียงถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีในจวนตระกูลอวิ๋น แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็ถูกปฏิบัติมาเหมือนกับต้ายา ไม่เคยได้รับความไม่ยุติธรรมเมื่ออยู่ในบ้านหลังนี้ เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ทำให้นางไม่ได้รับความสำคัญในบ้าน เอ้อร์เหนียงเพียงแค่เห็นว่าข้าได้ภรรยาที่ดีกว่าน้องสามจึงเกิดความอิจฉา ผ่านไปหลายวันคงจะดีขึ้น”
อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าแล้วพูดว่า “การที่เจ้าคิดได้เช่นนี้ถือว่าดีมาก เจ้าเองก็เรียนที่สำนักศึกษามาแล้วสามปี ข้าคิดว่าควรถึงเวลาแล้ว เจ้าควรจะมีประสบการณ์ในกองทัพสักหน่อย หากไม่ต้องการเป็นทหารเรือ หากต้องการเข้าร่วมกองทัพทหารล่ะก็ เจ้าลองเป็นทหารรักษาพระองค์ดีหรือไม่ หลังจากการประเมินแล้วข้าจะลองทาบทามเจ้าให้กับท่านผู้เฒ่าอวี้ฉือกง เจ้าจะไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่น จะต้องทำตามกฎระเบียบในฐานะผู้นำกองทัพเท่านั้น นี่คือตำแหน่งขุนนางระดับแปด ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
ฉินหวยอิงยืนขึ้นด้วยความดีใจเตรียมจะคำนับขอบคุณ แต่เห็นรุ่นเหนียงดึงแขนอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ หวยอิงเป็นลูกศิษย์แถวหน้าของสำนักศึกษา หากอยากจะเข้าร่วมกองทัพไม่ว่าจะเป็นหน่วยไหนก็จะได้เป็นผู้บัญชาการเสมอ น้องอยากให้หวยอิงเป็นทหารเรือใต้บังคับบัญชาการของท่าน ติดตามเรือไปก็พอแล้ว น้องไม่อยากให้เขาอยู่ในสนามรบ”
อวิ๋นเยี่ยหัวเราะไม่ได้พูดอะไร ฉินหวยอิงบอกกับรุ่นเหนียงว่า “ไม่ต้องรบกวนพี่ใหญ่หรอก แค่ไปเป็นทหารรักษาพระองค์ก็ถือว่ายากแล้ว จะให้ไปเป็นทหารเรือทำไมให้พี่ใหญ่ต้องลำบาก เอาเช่นนี้แหละ ข้าไปเป็นทหาารรักษาพระองค์ ท่านลุงโหวและท่านลุงอวี้ฉือประจำการอยู่ที่ลั่วหยาง ข้าไม่มีวันลำบากหรอก เจ้าเองก็ไปลั่วหยาง พวกเราจะไปสร้างครอบครัวอยู่ที่นั่น”
เมื่อได้ยินว่าจะได้ใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง รุ่นเหนียงก็ดีใจขึ้นมา ลากฉินหวยอิงไปที่ห้องของตัวเอง มีเพียงท่านย่าที่เหลือบมองรุ่นเหนียงแต่ไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยพอใจ
“ท่านย่า ในครอบครัวใหญ่นั้นมีกฎอยู่มากมาย มีคนเยอะ เรื่องก็เยอะ ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกัน แค่หลีกเลี่ยงกันก็พอแล้ว ให้ไปสร้างครอบครัวของตัวเองที่ลั่วหยาง สิ่งที่ข้าช่วยได้ก็จะช่วย หวยอิงเป็นคนมีความสามารถ เมื่อไปถึงที่นั่นก็จะมีชื่อเสียง ท่านเองก็รู้จักนิสัยของรุ่นเหนียงที่เป็นคนไม่คิดอะไรมาตั้งแต่เด็ก”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเดินไปไกลแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ปลอบท่านย่าเบาๆ ไม่ให้ท่านย่าโกรธ
“ทั้งสองคนพากันมารบกวนเจ้า ย่ากังวลว่าจะส่งผลเสียต่อเจ้า เจ้าเป็นเสาหลักของครอบครัว จะถูกพังลงด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไม่ได้ เด็กสาวคนอื่นๆ หากช่วยได้ก็ช่วย หากช่วยไม่ได้ก็ให้พวกนางยอมรับชะตากรรม วันที่ยากจนก็อยู่รอดมาได้ ย่าไม่เชื่อหรอกว่าในวันที่มั่งมีจะเอาชีวิตรอดไม่ได้”
อวิ๋นเยี่ยพยุงท่านย่ามาที่ห้องรับแขก ในห้องรับแขกมีคุณยายสองสามคน ท่านปู่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่นั่น ร่างกายของท่านย่าอ่อนแอลงมาก ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้าไปที่อุโบสถแต่กลับชอบพูดคุยดื่มชากับคนแก่เหล่านี้ บางครั้งอวิ๋นเยี่ยก็นั่งเป็นเพื่อนอยู่สักพัก ฟังพวกเขาคุยโม้ไปเรื่อย พูดเรื่องที่น่าสนใจในหมู่บ้าน เชื่อถือได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็มักจะพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก…
หลีสือดูภาพวาดเต่าของอวิ๋นเยี่ยในห้องหนังสือของเขา หยิบขึ้นมาทีละใบแล้วพยักหน้าแสดงถึงความพอใจ เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงเอาแต่โจมตีเส้นทางชีวิตของเต่า
สองเดือนแล้วที่ไม่ได้เห็นเขาวาด ฝีมือการวาดรูปเต่านี้ช่างงดงามยิ่งนัก เมื่อก่อนอวิ๋นเยี่ยเคยบอกเขาว่ามีคนเชี่ยวชาญการวาดเสือมาทั้งชีวิต มีคนวาดมังกร มีคนวาดลา มีคนวาดกุ้ง ส่วนคนที่วาดวัวนั้นกลับไม่มีใครพูดถึง ตัวเองตัดสินใจวาดภาพเต่า เมื่อถึงเวลาก็ชูนิ้วโป้งขึ้นมาชื่นชมพวกเขา ภาพวาดเต่าของอวิ๋นโหวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ช่วยวาดภาพเต่ามอบให้แก่ผู้น้อยจะได้หรือไม่ เมื่อพู่กันเริ่มวาดลงไปก็จะมีเต่าที่สดใสร่าเริงอยู่บนกระดาษ ดูไร้เดียงสาและมีความหมายเป็นมงคล เป็นของขวัญที่หายากสำหรับญาติมิตร
เขามักจะคิดว่าคำพูดนี้ของอวิ๋นเยี่ยแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะมีการเสียดสีเล็กน้อย และรู้สึกเหมือนเป็นคนไม่ดี แต่ว่าการให้รูปเต่าในต้าถังนั้นถือเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืน ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม มอบให้ฮ่องเต้ก็ยังได้
เปิดไปเห็นรูปเต่าที่มาพร้อมกับบทกวี ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย เห็นบนกระดาษเขียนไว้ว่า นอนอยู่บนชายหาดมาสามปีครึ่ง วันนี้ตัวข้าถูกคลื่นซัดกระหน่ำจนหงายท้อง