ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 607 จะเสกดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ หรือเสกมารร้าย ข้าจะทำลายในดาบเดียว

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

พูดกันอย่างยุติธรรม ในฐานะที่จางเชาเป็นยอดฝีมือในด้านวรยุทธ์ที่มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม และลอยไปยังโลกซ้อนโลกได้สำเร็จเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ คนธรรมดาย่อมไม่อาจเทียบได้

ไม่ว่าจะเป็นด้านพรสวรรค์ หรือด้านพลังส่วนตัว กวาดตามองประวัติศาสตร์โลกแปดพิภพ เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สุดยอดที่สุด

แต่ว่า คนที่เขาต้องเจอในตอนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะนำเหตุผลมาวัดได้

ในปัจจุบัน จางเชาลงมายังแปดพิภพ ถูกพลังแห่งเขตแดนกดให้อยู่ในระดับสูงสุดของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม

ทว่าคู่ต่อสู้ของเขากลับเป็นคนที่เขาไม่อาจเอาชนะได้ถ้าไม่ได้อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่โดยสมบูรณ์

เยี่ยนตี๋มีสีหน้าสงบนิ่ง สองมือว่างเปล่า

เขาในตอนนี้ไม่อาจใช้อาวุธวิญญาณชั้นสูงได้อีกแล้ว เนื่องจากอาวุธวิญญาณไม่อาจรอบรับเจตจำนงดาบที่แข็งกร้าวและดุดันของเขาได้

ประกายดาบฟันดวงอาทิตย์ที่ตกลงมาจากฟ้าให้ดับลง มีเสียงครางหนักๆ ดังมาจากในดวงอาทิตย์

เงาร่างสายหนึ่งไม่ได้พุ่งลงมาอีก กลับลอยขึ้นข้างบนใหม่

ร่างของเยี่ยนตี๋ลอยตามขึ้นไป

ในแสงสว่างไร้สิ้นสุดบนท้องฟ้า เงาคนที่เหลืออยู่พุ่งลงมาเช่นกัน

ในวินาทีนี้ ทุกแห่งในโลกแปดพิภพเหมือนกับกำลังสั่นไหวพร้อมกัน

ขณะเดียวกันก็มียอดฝีมือระดับสุดยอดลงมายังโลกใบนี้มากเกินไป พลังโจมตีที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาราวกับกำลังจะบดขยี้โลกแปดพิภพ

นอกจากจางเชาแล้ว ยังมีเงาร่างอีกห้าสาย

พลังอันยิ่งใหญ่นั้นสั่นสะเทือนฟ้าดิน ล้วนเป็นพลังระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามทั้งสิ้น

การเคลื่อนไหวของสองคนที่นำหน้าสามารถสั่นไหวฟ้าดินเหมือนกับจางเชา แต่ถูกพลังแห่งเขตแดนจำกัดพลังฝึกปรือไว้เช่นกัน

พลังอันน่ากลัวรวมตัวกัน แค่เพียงหายใจก็คล้ายกับว่าปั่นป่วนการเคลื่อนไหวปราณวิญญาณในสภาวะปกติบนโลกแปดพิภพได้ทั้งหมดแล้ว

สองคนนี้ยกมือขึ้น ใจกลางฝ่ามือของคนหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงสลับกันระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ แสงสว่างส่องฟ้าดิน

เป็นวิชาตะวันจันทราผสมผสานอันเป็นวิชาสายตรงของสำนักแสงสว่าง และฝ่ามือเทพสุริยันจันทราซึ่งเป็นกระบวนท่าวรยุทธ์ ถือดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไว้กลางฝ่ามือ หยินหยางผสมผสาน แสงสว่างไร้สิ้นสุด

ส่วนใจกลางฝ่ามือของอีกคนหนึ่งปรากฏปราณสีดำหนาหนัก ดูชั่วร้ายอย่างแปลกประหลาด อีกทั้งยังบิดเบี้ยวน่ากลัว

หมอกสีดำที่เหมือนกับหมึกเข้มปรากฏกลางแสงละลานตา แต่แสงไม่อาจส่องผ่านหมอกหนานี้ได้

ในหมอกสีดำเหมือนกับมีปีศาจนับไม่ถ้วนกระโดดโลดเต้นพร้อมกับร้องคำราม ทำให้จิตใจของผู้คนครั่นคร้ามจนไม่อาจต้านทาน

เยี่ยนตี๋เข้าปะทะกับทั้งหมดโดยไร้ความเกรงกลัว เหวี่ยงดาบหนึ่งออก เกิดปรากฏการณ์มากมาย ฟันฟ้าแยกแผ่นดิน

ไม่ว่าเจ้าจะเสกดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ หรือเสกมารร้าย ข้าก็จะทำลายในดาบเดียว!

ประกายดาบพุ่งผ่าน ดวงอาทิตย์สูญสลาย จันทราดับแสง กลิ่นอายมารถูกทลาย เหล่ามารถูกสังหาร

สองคนนั้นโซเซถอยหลัง จางเชากับคนอีกสองคนบุกเข้ามาใหม่ ถึงจางเชาจะไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่บนร่างของยอดฝีมือสำนักแสงสว่างระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามอีกสองคน ปรากฏแสงสว่างและพลังดับอันแข็งแกร่งของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ชั่วขณะนั้นปราณแสงพุ่งขึ้นท้องฟ้า สั่นสะเทือนจักรวาล

เยี่ยนตี๋สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เสื้อคลุมนภาปรากฏขึ้นบนร่าง สภาวะพลังของเยี่ยนตี๋เพิ่มสูงขึ้นเพราะมีพลังขึ้นมา เล่นงานอีกฝ่ายถอยหลังติดต่อกัน

คนสุดท้ายในกลุ่มคู่ต่อสู้ทั้งหกไม่ได้ร่วมมือกับคนอื่นโจมตีเยี่ยนตี๋ กลับเปลี่ยนพุ่งเข้ามาหาเยี่ยนจ้าวเกอ

ตัวเขากลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง ทะลุฟากฟ้า คล้ายกับไม่เห็นเวลาและระยะห่างทางมิติในสายตา

นี่กลับเป็นวิชาสายตราของสำนักแสงสว่าง ที่ได้รับการขนานนามเคียงคู่ท่าตะวันจันทราผสมผสานและวิชารัศมีสาดส่อง วิชาธารแสงพันมายา

เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าสายตาของตัวเองไม่อาจตรวจสอบร่างกายของอีกฝ่ายได้

ความเร็วเช่นนี้ ถ้าร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกไปถึงระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามคงจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน

แต่ว่าเยี่ยนตี๋ไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย ฟันไปอีกหนึ่งดาบ เจตจำนงดาบที่แข็งกร้าวดุดันในตอนนี้เหมือนกับเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย

ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในที่ว่างรอบๆ ตัวเขาเหมือนกับช้าลง ราวกับกำลังจะหยุดนิ่ง

ประกายดาบของเขารวดเร็วยิ่งกว่าเดิม

ร่างกายของยอดฝีมือสำนักแสงสว่างที่คิดจะโจมตีเยี่ยนจ้าวเกอช้าลงอย่างคาดไม่ถึง ส่วนประกายดาบของเยี่ยนตี๋กลับมาถึงเบื้องหน้าเขาในชั่วอึดใจ

ทั้งสองฝ่ายปะทะกันกลางอากาศหนึ่งกระบวนท่า ยอดฝีมือสำนักแสงสว่างคนนั้นครางหนักคำหนึ่ง เลือดสาดกระจายเต็มฟ้าดิน

เยี่ยนตี๋เอาชนะอีกฝ่ายด้วยดาบเดียว มือไม่หยุดลง สภาวะดาบรุนแรงและบ้าคลั่งดุจคลื่นโหม แต่กลับต่อเนื่องไม่ขาดตอน ฟันดาบออกอีกหลายครั้ง กดดันคู่ต่อสู้ที่เหลือถอยหลัง

นอกจากจางเชาแล้ว ยอดฝีมือสำนักแสงสว่างคนอื่นล้วนมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นต่ำอยู่ในมือคนละชิ้น พลังทำลายมิติได้ทำลายฟ้าดินรอบๆ ยอดเขาเรืองรองจนเละเทะ

โลกแปดพิภพราวกับกำลังจะถูกคนฉีกกระชากจากข้างใน

แต่ว่าเยี่ยนตี๋ไร้ความเกรงกลัว ใช้เร็วสู้ช้า สู้หนึ่งต่อหกกลับไม่เสียเปรียบ ทำให้ยอดฝีมือสำนักแสงสว่างไม่อาจข้ามเขตแดนได้

เยี่ยนจ้าวเกอมองทุกคนที่อยู่กลางอากาศอย่างสงบนิ่ง ยกมือขวาของตนขึ้นช้าๆ จากนั้นก็กำเป็นหมัด

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอกำหมัดแล้ว แสงสว่างโชติช่วงก็พุ่งขึ้นท้องฟ้า ตราประทับสีทองอันหนึ่งก่อตัวกลางแสงอาทิตย์ พลังงานอันยิ่งใหญ่และแข็งกร้าวคล้ายกลับไม่อาจบรรจุอยู่ในโลกแห่งนี้ได้

พลังอันมหาศาลทำให้ทุกคนที่อยู่รอบๆ ตกตะลึง

อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง ตราประทับตะวัน!

เมื่อพวกจางเชาเห็นตราประทับตะวัน ใบหน้าต่างเคร่งขรึม ถอนใจอย่างไร้เสียง

ถึงแม้จะทราบถึงความแข็งแกร่งและความเหี้ยมหาญของตราประทับตะวันอยู่แล้ว แต่ที่ยอดฝีมือของสำนักแสงสว่างกล้าลงมายังโลกแปดพิภพย่อมต้องมีความมั่นใจ

เพียงแต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าจะเกิดปัญหาซ้ำซ้อนขึ้น

ความแข็งแกร่งที่เหนือจินตนาการของเยี่ยนตี๋ทำให้พวกเขารับมือไม่ทัน

พวกเขาทราบว่าเยี่ยนตี๋ไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ทราบเหมือนกันว่า จนถึงตอนนี้ เยี่ยนตี๋เพิ่งเลื่อนเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ถึงสองปี

เวลาสั้นๆ เช่นนี้ เยี่ยนตี๋กลับพัฒนาขึ้นอีกครั้ง เลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสอง เหนือความคาดหมายของทุกคน

เยี่ยนตี๋ที่เลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสองแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ทำให้คนในสำนักแสงสว่างที่มาจากโลกซ้อนโลกต้องตื่นตระหนก

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์ม่วงจางเชายิ่งคับข้อง ผู้สะเทือนสวรรค์จ่านตงเก๋อที่ทำให้เขาต้องหลบหนีเพราะความน่าเกรงขามในอดีต เมื่ออยู่ในระดับเดียวกันยังไม่ได้น่ากลัวเท่าเยี่ยนตี๋

ถึงแม้ว่าเขาจางเชาจะลอยขึ้นด้านบนสำเร็จ แต่ว่าเยี่ยนตี๋ในตอนนี้เป็นคนแรกในประวัติของโลกแปดพิภพ

ในสถานกาณณ์เช่นนี้ เมื่อต้องเจอกับตราประทับตะวันอีก พวกจางเชาก็จนปัญญาโดยสิ้นเชิง

การหนีเป็นทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา ไม่เช่นนั้นก็ได้แต่เดินตามรอยพวกเติ้งเซิน สิ้นชีวิตบนโลกแปดพิภพตลอดกาล

พลังของพวกจางเชาสามคนที่มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามระเบิดขึ้นพร้อมกัน แต่กลับถูกพลังแห่งเขตแดนบีบอัด ค่อยๆ หายไปจากโลกแปดพิภพ

ส่วนสามคนที่เหลือพุ่งไปที่แสงสว่างที่ยังไม่หายไปกลางอากาศ นั่นเป็นบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ที่เหลืออยู่ ครั้งนี้พวกเขาเตรียมตัวมาอย่างดี เหลือทางหนีทีไล่เอาไว้

เยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋เห็นดังนั้นย่อมไม่ปล่อยให้คู่ต่อสู้หนีโดยง่าย การสังหารยอดฝีมือสำนักแสงสว่างให้มากที่สุดส่งผลดีต่อพวกเขา

ประกายดาบของเยี่ยนตี๋ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำลายม่านฟ้า ไม่เพียงแต่คนทั้งสามที่หนีไปยังบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์เท่านั้น แม้แต่พวกจางเชาที่ยังไม่ได้หนีไปก็ถูกม้วนเข้าไปเช่นกัน

ตราประทับตะวันอันน่าพรั่นพรึงกระแทกใส่อีกฝ่ายอย่างสะเทือนเลือนลั่น

แต่ว่าในตอนนี้เอง ในบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์พลันปรากฏปราณสีดำสายหนึ่ง

ปราณสีดำกระจายไปทั่ว แสงอาทิตย์ดับลงในทันใด ฟ้าดินมีแต่ความมืดมิด