ตอนที่ 1913 ขึ้นสู่มิติเบื้องบน

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1913 ขึ้นสู่มิติเบื้องบน

การต่อสู้กับเทพเจ้าทำให้นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆมีสภาพเหลือเพียงโครงกระดูก ในเมื่อทุกคนใกล้หมดอายุขัยเต็มที ก็คงเสียทรัพยากรไปเปล่าหากจะพยายามเยียวยาพวกเขา แต่ก่อนที่จางเซวียนจะออกเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง เขาเห็นขงซือเหยาเก็บร่างของคนเหล่านั้นแช่แข็งไว้เพื่อรักษาสภาพร่างกาย ครึ่งปีผ่านไปแล้วนับจากวันนั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาน่าจะยังคงมีชีวิตอยู่

ขงซือเหยาพยักหน้า “ตอนนี้ทุกคนอยู่ระหว่างการจำศีล”

“พาผมไปหาพวกเขาที ผมมีวิธีช่วยชีวิตพวกเขาแล้ว!” จางเซวียนสั่งการขณะรวบรวมพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทไว้ได้กำมือหนึ่ง

คำพูดนั้นทำให้ขงซือเหยาตาโตด้วยความตื่นเต้น เพราะรู้ดีว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับพรรคพวกอยู่ในสภาพไหน ทั้งหมดที่เธอทำได้จึงเป็นแค่การถ่วงเวลา เธอเคยคิดว่าบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ที่ได้อุทิศชีวิตเพื่อปกป้องร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์คงต้องถึงจุดจบเข้าสักวัน แต่คำพูดของจางเซวียนได้จุดประกายแห่งความหวังให้ฉายวาบขึ้นในดวงตาของเธอ

ขงซือเหยารีบนำทางไป ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงห้องที่ปิดสนิท ในห้องนั้น ร่างของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับนักปราชญ์โบราณอีกหลายคนถูกวางเรียงไว้ข้างกันรอบแท่นบูชารูปกลม ภายใต้แท่นนั้นคือของล้ำค่ามากมายที่ใช้ยื้อพลังชีวิตของเหล่านักปราชญ์โบราณเอาไว้ให้มีชีวิตยืนยาวออกไปนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

วิธีการนี้ไม่อาจช่วยยืดอายุขัยของพวกเขา แต่อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยยืดความตายให้ห่างไกลออกไป มันเป็นวิธีการเดียวกับที่พวกเขาเคยใช้ตั้งแต่หมื่นปีก่อน

จางเซวียนเดินตรงเข้าหาโครงกระดูกของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง เขาดีดนิ้วเพื่อปลดปล่อยฉนวนที่โอบล้อมร่างของอีกฝ่ายไว้ โครงกระดูกนั้นค่อยๆฟื้นคืนสติสัมปชัญญะขึ้นมา

“ปรมาจารย์จาง!” โครงกระดูกรีบลุกขึ้นและโค้งคำนับอย่างงาม

“ผมพบวิธีช่วยชีวิตพวกคุณแล้ว แต่เพราะยังไม่เคยทดสอบมันมาก่อน จึงรับประกันไม่ได้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ถ้ามันได้ผลล่ะก็ อายุขัยของพวกคุณจะยืนยาวขึ้นอีก แถมระดับวรยุทธก็จะเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก แต่ถ้าล้มเหลว พวกคุณจะเสียชีวิตทันที คุณสนใจเดิมพันครั้งนี้ไหม?” รู้ดีว่าอีกฝ่ายมีเวลาจำกัด จางเซวียนตรงเข้าประเด็นทันที

“ผมอยากลอง!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบอย่างเด็ดเดี่ยว

ในเมื่อเขาจวนจะตายอยู่แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่คว้าฟางแห่งความหวังเส้นสุดท้ายไว้ ต่อให้ความหวังนั้นจะแสนริบหรี่ก็ตาม

“ดี ผมมีกรรมวิธีการไหลเวียนพลังปราณที่อยากให้คุณฝึกฝนตอนนี้ อีกอย่าง ขณะที่คุณกำลังฟื้นฟูสภาพกายเนื้อเดิมกลับมา ผมก็อยากให้คุณสร้างทางเดินพลังปราณของคุณขึ้นใหม่ตามแบบแผนที่ผมมีอยู่!”

จางเซวียนดีดนิ้วและถ่ายทอดกรรมวิธีของเคล็ดวิชาเทียบฟ้าแบบย้อนกลับบวกกับแผนผังของเครือข่ายทางเดินพลังปราณที่เขาสร้างขึ้นเมื่อครู่ก่อนเข้าสู่สมองของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง

นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงใช้เวลา 10 นาทีก็ทำความเข้าใจทางเดินพลังปราณและวงจรพลังปราณนั้นได้ทั้งหมด เขาไม่แน่ใจนักว่าจางเซวียนคิดอะไร แต่มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ทำร้ายเขาแน่ จึงสูดหายใจลึกก่อนจะขับเคลื่อนพลังปราณตามกรรมวิธีการไหลเวียนพลังปราณที่จางเซวียนมอบให้

เป๊าะ!

ด้วยการดีดนิ้ว จางเซวียนปล่อยพลังงานหน้าตาเหมือนปรอทที่เขารวบรวมไว้เมื่อครู่ก่อนออกมา มันแผ่ซ่านออกไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว

การปรากฏของพลังงานทำให้นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตัวแข็งขึ้นมาทันทีด้วยความกังวล แต่เขาก็กัดฟันกรอดและตั้งใจมุ่งมั่นที่จะฝ่ามันไปให้ได้

เขาตั้งต้นซึมซับพลังงานหน้าตาเหมือนปรอทที่อยู่โดยรอบโดยใช้กรรมวิธีการไหลเวียนพลังปราณที่จางเซวียนมอบให้ และคาดว่าไม่ช้าจะต้องพบกับแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สีหน้างุนงงสงสัยก็ปรากฏขึ้นแทน

เมื่อเขาซึมซับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทโดยใช้กรรมวิธีการไหลเวียนของพลังปราณตามแบบที่จางเซวียนมอบให้ ก็รู้สึกได้เลยว่าพลังจิตวิญญาณนั้นเข้าบ่มเพาะร่างกายของเขาแทนที่จะทำลาย ด้วยความยินดีปรีดา นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงซึมซับพลังงานต่อไปอย่างตื่นเต้น ภายใน 4 ชั่วโมง กายเนื้อของเขาก็ถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างเสร็จสมบูรณ์

ด้วยการเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายทางเดินพลังปราณ ร่างกายของเขาแผ่ปราณสังหารอันทรงพลังออกมา ทำให้ดูเผินๆเหมือนเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่ง

เมื่อเห็นแผนการขั้นแรกได้ผล จางเซวียนนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความดีใจ เขารีบสั่งการขั้นตอนต่อไป “ดีแล้ว ตอนนี้พยายามผลักดันการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติให้ได้!”

นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพยักหน้าขณะซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทต่อไป

ด้วยการสั่งสมวรยุทธของเขาตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ซึ่งเหนือชั้นกว่าจ้าวหย่ามาก เขาจึงใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผลจากการฝ่าด่านวรยุทธครั้งนี้ทำให้อายุขัยของเขายืนยาวขึ้น

ด้วยสิ่งนี้ เขาจะไม่ต้องเสี่ยงกับชีวิตที่ร่อแร่ใกล้ตายอีกต่อไป

“ขอบคุณมาก ปรมาจารย์จาง!”

ไม่มีคำพูดใดจะบรรยายความรู้สึกของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงได้ขณะที่รับรู้ถึงกระแสพลังงานเชี่ยวกรากที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง เขารีบทรุดตัวลงคุกเข่าเพื่อแสดงความสำนึกบุญคุณต่อจางเซวียน

เขาพร้อมเผชิญหน้ากับความตายแล้วหลังจากการใช้พละกำลังเกินพิกัดเพื่อพยายามซ่อมแซมค่ายกล แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะนำชีวิตของเขากลับคืนมาได้ด้วยวิธีการอันแสนแปลกประหลาด? ไม่เพียงเท่านั้น ตัวเขายังทำได้แม้แต่ฝ่าด่านวรยุทธและเข้าถึงระดับที่ไม่เคยนึกฝันว่าจะมีวันได้เข้าถึง

“พลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นน่าทึ่งจริงๆ ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับวรยุทธ ยังฟื้นฟูสภาพร่างกายได้รวดเร็วกว่านิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณเสียอีก…” เมื่อเห็นว่าการคาดเดาของเขาตรงประเด็น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก

ภายใต้สถานการณ์ปกติ ด้วยพลังชีวิตของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงที่เหลือน้อยเต็มที เขาคงไม่อาจฟื้นฟูกายเนื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ อยู่เข้มข้น แต่ทุกอย่างจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงหากเขาซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทเข้าไปแทน

พลังจิตวิญญาณเข้มข้นชนิดนี้มีพละกำลังอย่างน่าทึ่งอยู่ในตัวมัน ขอแค่ผู้นั้นซึมซับมันได้ ก็จะสามารถเยียวยาบาดแผลและอาการบอบช้ำใดๆก็ตามได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากแน่ใจแล้วว่ากรรมวิธีนี้ได้ผล จางเซวียนปลุกบรรดานักปราชญ์โบราณที่เหลืออยู่ให้ฟื้นขึ้นมาโดยไม่ลังเล เขาเตือนคนเหล่านั้นถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ก่อนจะถ่ายทอดกรรมวิธีการไหลเวียนของพลังปราณและแผนผังของเครือข่ายทางเดินพลังปราณแบบใหม่อย่างที่ถ่ายทอดให้นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงให้คนเหล่านั้น ทุกคนตัดสินใจทันทีที่จะดำเนินการตามแผนของจางเซวียน โดยเฉพาะเมื่อเห็นแล้วว่ามันใช้ได้ผลกับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง

ในที่สุด นักปราชญ์โบราณที่เหลือเกือบทุกคนก็ก้าวข้ามขั้นตอนสุดท้ายและสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ แต่ก็มีอุบัติเหตุอยู่บ้าง เกิดความผิดพลาดในวรยุทธของนักปราชญ์โบราณ 2 คน ซึ่งลงเอยด้วยการที่โครงกระดูกของพวกเขาแตกสลายไปเพราะพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้ง ทำให้ทั้งสองเสียชีวิตในทันที

แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็แสดงให้เห็นว่านี่คือวิธีการที่ได้ผล จางเซวียนจึงเรียกบรรดาศิษย์สายตรงของเขาเข้ามาและถามว่า “พวกคุณพร้อมจะเสี่ยงอันตรายเพื่อสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติไหม?”

ทั้ง 8 คนพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง

จางเซวียนโบกมืออย่างไม่ลังเล แล้วศิษย์สายตรงทั้ง 8 คนของเขาก็กระอักเลือดออกมาพร้อมกัน การโจมตีเพียงครั้งเดียวนั้นทำลายทางเดินพลังปราณทั้งหมดในร่างกายของพวกเขา

“ฝึกฝนวรยุทธตามนี้ จำให้ขึ้นใจด้วยว่าผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียวก็ไม่ได้ อย่าหาว่าผมไม่เตือนคุณก็แล้วกันหากลงท้ายคุณต้องตาย!” จางเซวียนพูดขณะถ่ายทอดกรรมวิธีแบบเดิมรวมทั้งแผนผังของทางเดินพลังปราณเข้าสู่สมองของศิษย์สายตรงทั้ง 8 คน

เจิ้งหยางกับคนอื่นๆได้เห็นการเกิดใหม่ของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงด้วยตาตัวเอง ทุกคนจึงรู้ดีว่าควรทำอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เพราะพวกเขาได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายมาก่อน จึงคุ้นเคยกับมันดี ถึงจะไม่เคยฝึกฝนแบบย้อนกลับ แต่การจะทำความคุ้นเคยกับมันก็ไม่ได้ยากเกินไป

ในที่สุด ขงซือเหยาก็เป็นคนแรกที่เยียวยาตัวเองได้สมบูรณ์และสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ

ตามมาด้วยเจิ้งหยาง เว่ยหรูเหยียน ลู่ชง และหวังหยิ่ง…

5 วันต่อมา แม้แต่จางจิ่วเซี่ยวซึ่งอ่อนด้อยที่สุดในหมู่พวกเขาก็สำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติเช่นกัน

ด้วยสิ่งนี้ ศิษย์สายตรงทั้ง 9 ของจางเซวียนก็กลายเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติ!

“ท่านอาจารย์!”

เมื่อเห็นว่าตัวเองทำสำเร็จ ทั้ง 9 คนร้องออกมาด้วยความยินดีปรีดา

ท่านอาจารย์ของพวกเขาสร้างวีรกรรมในแบบที่ปรมาจารย์ขงในยุคนั้นก็ยังทำไม่สำเร็จ!

เห็นภารกิจสุดท้ายของเขาลุล่วง จางเซวียนเรียกทุกคนเข้ามารวมตัวกันและเปิดเผยความตั้งใจของเขา “ผมตั้งใจจะเปิดฉนวนออกและขึ้นสู่มิติเบื้องบน ในเวลานี้เรายังไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไร และมีความเป็นไปได้ว่าจะมีอันตรายรออยู่มากมาย ดังนั้นผมจึงอยากให้พวกคุณทุกคนรออยู่ที่นี่ไปก่อน และช่วยอารักขาทวีปแห่งปรมาจารย์แทนผม รอฟังข่าวคราวของผมก็แล้วกัน ตกลงไหม?”

ตลอด 5 วันที่เหล่าศิษย์สายตรงของเขาใช้เวลาไปกับการฝึกฝนวรยุทธเพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ เขาครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างไรต่อไป และพบว่าความตั้งใจของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง

จางเซวียนอยากขึ้นสู่มิติเบื้องบนเพื่อตามหาหลัวลั่วชิง ตอนแรกเขาคิดว่าอาจพาบรรดาลูกศิษย์ไปด้วยได้ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ โดยเฉพาะเมื่อมีอันตรายหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง

“ท่านอาจารย์ พวกเราอยากไปกับคุณด้วย!” จ้าวหย่าประกาศ

“ไม่ว่าจะมีอันตรายชนิดไหนรออยู่เบื้องหน้า เราก็พร้อมจะตามไปทุกที่ที่ท่านอาจารย์ไป ไม่มีอะไร ขวางกั้นพวกเราได้!” เจิ้งหยางพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง

ถึงคนอื่นจะไม่พูดอะไร แต่สีหน้าเด็ดเดี่ยวของพวกเขาก็บ่งบอกความรู้สึกได้เป็นอย่างดี

เป็นเพราะท่านอาจารย์ของพวกเขาที่ทำให้ทุกคนประสบความสำเร็จขนาดนี้ ถ้าท่านอาจารย์ต้องประสบอันตราย พวกเขาคงไม่มีวันอยู่เป็นสุขได้

“ผมประทับใจในความหวังดีของพวกคุณ แต่พวกเราจะผละทวีปแห่งปรมาจารย์ไปดื้อๆตอนนี้ไม่ได้ ด้วยการกระจายอำนาจอย่างไม่สมดุลของทวีปแห่งปรมาจารย์ คงไม่ต้องบอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตหากหากจู่ๆพวกคุณก็หายตัวไปกันหมด วางใจเถอะ เมื่อผมมั่นใจในสถานการณ์ของมิติเบื้องบนแล้ว จะพยายามแจ้งให้พวกคุณทราบผ่านทางหลิวหยาง” จางเซวียนอธิบายยิ้มๆ

มิติเบื้องบนดูจะเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด ต่อให้เขาสู้กับคนเหล่านั้นไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มั่นใจว่าจะหนีเอาตัวรอดได้หากอยู่ตามลำพัง แต่ถ้าต้องพาบรรดาลูกศิษย์ไปด้วย ก็ไม่มั่นใจว่าจะรับประกันความปลอดภัยของคนเหล่านั้นได้

อีกอย่าง บรรดาลูกศิษย์ของเขาต่างก็มีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเองในทวีปแห่งปรมาจารย์ ไม่มีใครจากไปอย่างกะทันหันได้

ดูหลิวหยางเป็นตัวอย่าง เขาคือผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ซึ่งสถานการณ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เพิ่งมั่นคงได้ไม่นาน หากเขาหายตัวไปในช่วงเวลานี้ แน่นอนว่าคนอื่นๆจะต้องฉวยโอกาสเข้ายึดอำนาจ ปฏิวัติระเบียบและกฎเกณฑ์ของเขา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้น…ท่านอาจารย์ คุณดูแลตัวเองให้ดีด้วย!”

รู้ดีว่าท่านอาจารย์ของพวกเขาตัดสินใจแล้ว และจะไม่มีใครเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจนั้นได้ ทั้ง 9 คนก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง

“เจิ้งหยาง ผมได้บ่มเพาะหอกสวรรค์กระดูกมังกรด้วยพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้งนี้ และมันฝ่าด่านวรยุทธจนมีวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติแล้ว ผมจะมอบมันให้คุณ ผมไม่รู้ว่าเทพเจ้าอื่นๆจะพยายามลงมายังทวีปแห่งปรมาจารย์อีกหรือไม่เมื่อผมจากไป จึงขอมอบหมายให้คุณปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์จากภัยคุกคามด้วย” จางเซวียนพูดขณะยื่นหอกสวรรค์กระดูกมังกรให้เจิ้งหยาง

เพราะมีปราการแห่งมิติ เขาจึงไม่อาจนำข้าวของใดๆรวมทั้งแหวนเก็บสมบัติติดตัวขึ้นไปยังมิติเบื้องบนได้ อีกอย่าง ด้วยระดับวรยุทธของเขาในตอนนี้ หอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก

“หวังหยิ่ง คุณเชี่ยวชาญด้านการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ แต่การร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา ผมขอมอบหม้อต้นกำเนิดทองคำให้คุณ มันจะช่วยอารักขาความปลอดภัยให้คุณได้เป็นอย่างดี” จางเซวียนพูดขณะนำหม้อต้นกำเนิดทองคำออกมาจากรังนางพญามด

ตลอด 5 วันที่ผ่านมา แม้เจ้าหม้อที่มีหน้าตาเหมือนก้อนอิฐนี้จะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่การเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติไม่สำเร็จทั้งที่ได้รับการบ่มเพาะจากพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท แต่ก็ถือว่าเข้าใกล้วรยุทธขั้นนั้นเต็มทีแล้ว ในเมื่อเขาพามันไปด้วยไม่ได้ ฝากไว้กับลูกศิษย์ของเขาก็ย่อมดีที่สุด

จางเซวียนนำทรัพย์สมบัติชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมาแจกจ่ายให้กับบรรดาลูกศิษย์ของเขาอย่างทัดเทียมกันก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

ด้วยระดับวรยุทธของลูกศิษย์ของเขาประกอบกับทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่แต่ละคนมี ต่อให้เทพเจ้าทั้งกลุ่มลงมาจากสวรรค์ในตอนนี้ ก็คงไม่มีทางที่จะเล่นงานคนเหล่านี้ได้ง่ายๆ

ส่วนไอ้โหด จางเซวียนขังอีกฝ่ายไว้ในหนังสือเทียบฟ้าซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของหอสมุดเทียบฟ้า ในเมื่อไอ้โหดเป็นบุคคลที่มีสถานภาพทัดเทียมกันกับปรมาจารย์ขงในครั้งนั้น ก็คงเป็นหายนะทีเดียวหากเขาปล่อยอีกฝ่ายไว้ให้อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แม้ทั้งคู่จะผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย แต่เขาก็ยังไม่อาจไว้ใจไอ้โหดได้เต็มร้อย จึงรู้สึกว่าควรเก็บไว้กับตัวจะดีกว่า

สำหรับน้ำเต้าตงฉู่ มันซ่อนอยู่ในจุดตันเถียนของเขา การจะนำมันผ่านปราการแห่งมิติไปด้วยจึงไม่น่ามีปัญหาอะไร

ส่วนตัวโคลน เขาพบว่าแม้อีกฝ่ายจะไม่อาจเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าได้ แต่ก็สามารถเข้าถึงมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ในเมื่อมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในพื้นที่ที่แยกจากกันกับหอสมุดเทียบฟ้า และตัวโคลนก็ใช้จิตวิญญาณดวงเดียวกันกับเขา จึงไม่น่ามีปัญหาอะไรที่ตัวโคลนจะเข้าสู่พื้นที่นั้นได้เช่นกัน ดังนั้นจางเซวียนจึงสามารถพาตัวโคลนไปกับเขาได้

เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว จางเซวียนมองค่ายกลที่อยู่เหนือศีรษะ เขาโบกมือและเปิดรอยแยกรอยหนึ่ง จากนั้นก็กระโจนพรวดเข้าใส่รอยแยกที่เพิ่งเปิดออก

ก่อนหน้านี้ พลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทที่ไหลบ่าลงมาถือเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณของเขา แต่เมื่อสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติแล้ว จางเซวียนก็ไม่เดือดร้อนกับมันอีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักเดินทางที่พบโอเอซิสกลางทะเลทรายเข้าโดยบังเอิญ มันช่วยเพิ่มพลังได้มาก

ที่บริเวณเหนือค่ายกล จางเซวียนเห็นความว่างเปล่าสีดำสนิทจำนวนมากมาย ช่องว่างที่แตกสลายระหว่างทั้งสองมิติก่อตัวขึ้นเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติที่เข้าเล่นงานเขาจากทุกทิศทาง

“โชคดีที่เราสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติแล้ว ไม่อย่างนั้น คลื่นความสั่นสะเทือนของมิตินี้จะต้องฉีกเราเป็นชิ้นๆแน่…” จางเซวียนคิดอย่างเคร่งเครียดขณะคลำทางผ่านคลื่นความสั่นสะเทือนแห่งมิติไปอย่างยากลำบาก

คลื่นความสั่นสะเทือนแห่งมิตินี้ทรงพลังกว่าที่เขาเคยพบเจอในอดีต อย่าว่าแต่นักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ต่อให้นักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโดยทั่วไปก็น่าจะพ่ายแพ้ให้กับคลื่นความสั่นสะเทือนของมิตินี้และลงเอยด้วยการถูกฉีกร่างเป็นชิ้นๆหากเลินเล่อเพียงแวบเดียว

ถ้าไม่ใช่เพราะพละกำลังอันเหนือชั้นของเขาที่สั่งสมมา ต่อให้จางเซวียนก็คงผ่านไปได้ด้วยความยากลำบาก

แต่ถึงอย่างนั้น คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติก็ยังสร้างรอยแผลมากมายไว้บนร่างของเขา ทำให้ เลือดไหลออกมาไม่หยุด

เส้นทางนี้ไม่มีถนน และตลอดเส้นทางก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากมิติที่พังทลาย ด้วยการใช้หอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนจึงสามารถประเมินหาเส้นทางที่ปลอดภัยได้ ไม่อย่างนั้นคงหลงทางอยู่ในมิติที่แตกสลายแห่งนี้

จางเซวียนเดินทางด้วยสภาพนั้นอยู่เกือบครึ่งเดือน หากจะประเมินระยะทางที่เขาเดินมา ก็รู้สึกว่าน่าจะถึงเป้าหมายในไม่ช้า

แต่ตอนนั้นเอง สายฟ้าฟาดขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า สกัดกั้นเส้นทางของเขาไว้

ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิดว่าจะผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้อย่างไร สายฟ้าฟาดอีกสายหนึ่งก็ฟาดเข้าใส่จางเซวียนอย่างจังก่อนที่เขาจะทันรู้ตัว ทำให้จางเซวียนสลบไป