อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1914 แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว
จางเซวียนค่อยๆฟื้นคืนสติด้วยอาการหัวหมุนติ้ว สิ่งแรกที่เขาเห็นคือเพดานสีขาว หลังจากสำรวจโดยรอบอย่างรวดเร็ว ก็พบว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องที่ค่อนข้างกว้างใหญ่
พละกำลังของเรา*…*
จางเซวียนค่อยๆลุกขึ้นนั่ง เจ็บปวดแสนสาหัสในทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว เขาเพ่งมองร่างกายของตัวเองและพบว่ามันถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลอย่างแน่นหนา จางเซวียนพยายามขับเคลื่อนพลังปราณ แต่ก็รู้ทันทีว่าพลังปราณที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายของเขานั้นต่ำมาก
ทำไมพลังปราณของเราถึงหนักอึ้งแบบนี้*?*
จางเซวียนตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน และพบว่าพลังปราณของเขาหนักอึ้งขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แค่จะขับเคลื่อนมันก็สร้างความตึงเครียดอย่างหนักแล้ว
จางเซวียนรู้สึกได้ทันทีว่าพลังปราณของเขาไม่ได้อยู่ในระดับต่ำ แต่พลังปราณปริมาณมหาศาลที่เขาเคยสะสมไว้ก่อนหน้านี้ได้แปรสภาพกลายเป็นพลังปราณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท
จริงอยู่ว่าพลังปราณที่เข้มข้นกว่าจะทำให้เขามีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าเดิม แต่ปัญหาก็คือแม้แต่จะขับเคลื่อนมันเขาก็ยังทำไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงการใช้มันเยียวยาอาการบาดเจ็บ
จางเซวียนรีบทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
เราเข้าสู่ทางเดินที่นำไปสู่มิติเบื้องบนแต่แล้วก็ถูกสายฟ้าขวางทางเราพยายามหาทางหนีให้พ้นมันแต่ก็มาปะทะกับสายฟ้าอีกสายหนึ่งและสุดท้ายก็สลบไป*…*
เมื่อเห็นสภาพย่ำแย่ของร่างกายและได้ความทรงจำก่อนอุบัติเหตุครั้งนั้นกลับคืนมา จางเซวียนหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ
หรือว่า*…เราอยู่ในมิติเบื้องบนแล้ว?*
ในเมื่อเขาสลบไปที่ทางเดินนั้น ก็คิดว่าน่าจะตื่นมาและคลำทางอยู่ตรงนั้นอย่างไร้จุดหมาย แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว ก็มานอนอยู่ในห้องพร้อมกับมีผ้าพันแผลพันทั่วร่าง หรือว่าเขาผ่านอาณาเขตของสายฟ้ามาได้ด้วยวิธีการบางอย่าง และเข้าสู่มิติเบื้องบนได้สำเร็จ?
ความคิดนั้นทำให้จางเซวียนรีบเหลียวมองไปรอบๆ เขาพยายามปลดปล่อยการรับรู้จิตวิญญาณออกไป แต่แล้วก็ต้องอ้าปากค้าง
ที่ผ่านมา การรับรู้จิตวิญญาณของเขาแผ่ออกไปได้มากกว่าหลายล้านลี้ แต่ตอนนี้ มันถูกกักขังไว้ในร่างกาย ไม่สามารถแผ่ออกมาได้ไม่ว่าเขาจะผลักดันมันจะแค่ไหน
แรงกดดันของมิติที่นี่ช่างน่าทึ่งเหลือเกิน*!*
ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าเขาอยู่ในมิติเบื้องบน ซึ่งไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเปิดใช้การรับรู้จิตวิญญาณได้ แม้กระทั่งประสิทธิภาพในการต่อสู้ก็ถูกสกัดกั้นไว้ อันที่จริง ขนาดการเคลื่อนไหวแบบธรรมดาๆก็ยังถูกยับยั้งไว้อย่างรุนแรงจากแรงกดดันอันหนักหน่วงของมิติ
โครกกกกก!
ในตอนนั้น เสียงครางดังสนั่นก้องออกมาจากท้องของจางเซวียน เขากำลังหิว
นับตั้งแต่ได้เป็นนักรบเหนือมนุษย์ จางเซวียนสามารถรักษาสภาพร่างกายไว้ได้เพียงแค่ใช้การซึมซับพลังจิตวิญญาณและการฝึกฝนวรยุทธ ส่วนจะได้กินอาหารหรือไม่นั้นไม่สำคัญ นี่เป็นครั้งแรก ในช่วงระยะเวลาอันยาวนานที่เขารู้สึกหิวมาก ราวกับร่างกายว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย
จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหลับตา รู้สึกได้ว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท ในแง่ของความเข้มข้น มันเข้มข้นกว่าที่เขาเคยสัมผัสบริเวณแท่นบูชาที่อาณาจักรคุนฉื่ออย่างน้อยก็ 10 เท่า
จางเซวียนพยายามซึมซับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทนั้นเพื่อขัดเกลาพลังปราณและเยียวยาอาการบาดเจ็บ แต่ครู่ต่อมา ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำและกระอักเลือดกองใหญ่ออกมา
จางเซวียนไออย่างหนักติดกันชุดใหญ่ เขาต้องตบหน้าอกหลายครั้งกว่าที่อาการแน่นหน้าอกจะค่อยบรรเทาลง
ตอนที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาสามารถใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายต้านทานแรงตีกลับจากการซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทได้ แต่เมื่อตอนนี้ทั้งร่างกายและทางเดินพลังปราณกำลังบอบช้ำ ลำพังแค่การซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทก็ทำให้เขารู้สึกเหมือน ทั้งร่างจะพังแล้ว ส่วนการจะผสานมันเข้ากับร่างกายนั้นไม่ต้องพูดถึง
ดูเหมือนเราควรจะลองอีกครั้งหลังจากที่อาการบาดเจ็บดีขึ้นสักหน่อย*…*จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่
เขารู้ดีว่าหากไม่อดทนก็จะไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย จึงตัดสินใจปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามยถากรรม
แต่ถึงอย่างนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าจางเซวียนไม่สามารถขับเคลื่อนพลังปราณได้เลย อีกทั้งความบอบช้ำรุนแรงที่ร่างกายของเขาต้องเผชิญ ก็หมายความว่าเขาแทบไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาสามัญ เขาต้องระมัดระวังตัวจนกว่าจะฟื้นคืนพละกำลังดังเดิม
“อันดับแรก เราต้องหาอะไรกินก่อน” จางเซวียนพึมพำขณะคลื่นความหิวอีกระลอกถาโถมเข้าใส่
เขากระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ลูบท้องก่อนจะพยายามคืบคลานออกจากห้อง
จางเซวียนผลักประตูออก เขาได้ยินเสียงลมวู่หวิวกรีดก้องอยู่ในอากาศ เมื่อหันไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งถือดาบเหล็กไว้ในมือและกำลังสำแดงศิลปะเพลงดาบ แม้กระบวนท่าของเขาจะไม่ได้หรูหราอลังการนัก แต่ก็มีความงดงามน่ามอง
สิ่งหนึ่งที่เตะตาจางเซวียนทันทีก็คือขาซ้ายของชายหนุ่มคนนั้นซึ่งแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ บอกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บหรือเป็นสภาพร่างกายที่เป็นมาแต่กำเนิด แต่มันเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวของเขามาก
พื้นฐานของเขาไม่เลว**แต่ศิลปะเพลงดาบยังอ่อนด้อยอยู่มาก…จางเซวียนขมวดคิ้ว
หากนำตัวปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวสักคนหนึ่งจากทวีปแห่งปรมาจารย์มา ศิลปะเพลงดาบของปรมาจารย์ผู้นั้นก็ยังลึกซึ้งกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาเสียอีก แต่ด้วยการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มที่เป็นไปอย่างยากลำบาก เรื่องนี้ก็ถือว่าพอรับได้
จางเซวียนถอนหายใจเบาๆ ดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มในทันที เขาหยุดการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบและหันหน้ามา เมื่อเห็นจางเซวียน สีหน้าของเขาก็บ่งบอกความดีใจขณะพูดว่า “คุณฟื้นแล้ว!”
จางเซวียนพินิจพิจารณาอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน ชายหนุ่มดูเหมือนจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย รูปร่างไม่สูงนัก เตี้ยกว่าจางเซวียนประมาณศีรษะหนึ่ง หากใช้มาตรวัดจากโลกเก่าของเขา ชายหนุ่มน่าจะสูงราว 1.6 เมตร มีปานแดงโดดเด่นที่กินเนื้อที่กว่าครึ่งแก้มอยู่บนแก้มซ้ายของเขา ปิดบังใบหน้าส่วนหนึ่งไว้
ในแง่ของหน้าตา ชายหนุ่มไม่อาจเทียบได้กับคำว่า ‘หล่อเหลา’ อันที่จริง เขาออกจะดูน่าเกลียดน่ากลัวสักหน่อยเสียด้วยซ้ำ
“ขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตผม” จางเซวียนประสานมือ
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ผมบังเอิญเห็นคุณเข้า ก็เลยนำตัวคุณกลับมา บาดแผลของคุณน่ะสาหัสนะ ผมนึกว่าคุณจะตายเสียแล้ว แต่ดูเหมือนคุณจะฟื้นตัวได้เอง…” ชายหนุ่มเกาหัวอย่างงุนงงขณะพูดออกมา
คำพูดของเขาออกจะกระอักกระอ่วนเล็กน้อย บ่งบอกว่าเขาไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกมากนัก
“นายน้อยที่ 3…”
ในตอนนั้น ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในลานบ้าน เมื่อเห็นจางเซวียน เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะโค้งคำนับเพื่อทักทาย “คุณ ดูเหมือนในที่สุดคุณก็ฟื้นแล้ว!”
จางเซวียนหันกลับไปพยักหน้ารับ
เขาประเมินผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน และเห็นทันทีว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายเปรอะเปื้อน เลอะรอยน้ำมันเป็นดวงๆ ที่มุมปากมีบาดแผลเล็กน้อย มีรอยเลือดปรากฏ แก้มทั้งสองข้างก็ฟกช้ำ เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งถูกใครบางคนซ้อมมา
ชายหนุ่มพิการที่ได้รับการเรียกขานว่านายน้อยที่ 3 หันหน้าไปมอง ทันทีที่เห็นสภาพของผู้อาวุโส ก็หน้าถอดสีด้วยความประหลาดใจ เขารีบเข้าไปถามอย่างเป็นห่วง “ผู้อาวุโสอี้ เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่มีอะไรหรอก นายน้อยที่ 3” ผู้อาวุโสอี้ตอบแบบไม่เต็มปาก
ชายหนุ่มยังคงจับจ้องผู้อาวุโสอย่างถี่ถ้วน เห็นได้ชัดว่าไม่คล้อยตามคำพูดของอีกฝ่าย สุดท้ายผู้อาวุโสอี้ก็ยอมแพ้การจับจ้องของชายหนุ่มและพูดว่า “นายหญิงน้อยที่ 2 ของท่านเจ้าเมืองมาที่นี่”
“เฉว่ชิงอยู่ที่นี่หรือ?”
ข่าวที่ได้รับทำให้นัยน์ตาของชายหนุ่มพิการเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
“ใช่…” เห็นทีท่าของชายหนุ่ม ผู้อาวุโสอี้หน้าแดงก่ำกว่าเดิม ดูเหมือนมีบางอย่างที่อยากพูด แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร
ชายหนุ่มพิการรู้สึกได้ทันทีถึงทีท่าผิดปกติของผู้อาวุโส เขาหุบยิ้มขณะตั้งคำถาม “การมาของเธอมีอะไรเกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บของคุณหรือเปล่า?”
“ในอีก 3 วันนับจากนี้ สำนักดาบเมฆเหินจะมาที่เมืองของเราเพื่อรับศิษย์สายตรงใช่ไหม?” ผู้อาวุโสอี้มีสีหน้าสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ด้วยเส้นสายของท่านเจ้าเมือง นายหญิงน้อยที่ 2 เฉว่ชิงได้รับโควต้าหนึ่งที่ล่วงหน้าแล้ว…”
“เธอได้รับโควต้าหนึ่งที่ล่วงหน้าหรือ?” ชายหนุ่มพิการหน้าตาสดชื่นด้วยความยินดี “นั่นไม่ใช่ข่าวดีหรือไง?”
แต่ทันทีที่พูดจบ ชายหนุ่มก็ก้มลงมองขาข้างซ้ายที่พิการของตัวเอง เขาหน้าสลดไป “ผมคิดว่าผมคงไม่มีโอกาสหรอก…”
“เมื่อได้โควต้า ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอจะต้องจากที่นี่ไปพร้อมกับพวกสำนักดาบเมฆเหินในอีก 3 วันนับจากนี้ เธอมาที่นี่เพื่ออำลาผมใช่ไหม?” ชายหนุ่มพิการส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เธอ…เธอ…” ผู้อาวุโสลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนในที่สุดจะโพล่งความจริงออกมา “เธอมาที่นี่เพื่อขอยกเลิกการแต่งงานกับคุณ!”
“เธอตั้งใจจะยกเลิกการแต่งงาน?”
ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด ร่างของเขาโงนเงนและเกือบทรุดลงกับพื้น “เธอจะยกเลิกการแต่งงานกับผมเพียงเพราะกำลังจะได้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินอย่างนั้นหรือ?”
ไม่ว่าจะเป็นใคร การถูกคู่หมั้นปฏิเสธถือเป็นการหยามหน้ากันอย่างรุนแรง
ได้ยินบทสนทนาของชายหนุ่มกับผู้อาวุโส จางเซวียนเลิกคิ้ว
หญิงสาวผู้ฉลาดปราดเปรื่องคนหนึ่งเหยียดหยามคู่หมั้นของเธอด้วยการขอยกเลิกการแต่งงาน ชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บและเจ็บช้ำไม่รู้จะทำอย่างไร…
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะพบเจอเรื่องแบบนี้ทันทีที่มาถึงมิติเบื้องบน
ชีวิตช่างน่าตื่นเต้นอะไรอย่างนี้!