เล่มที่ 26 เล่มที่ 26 ตอนที่ 760 เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

แสงอาทิตย์อัสดงราวกับสายรุ้ง แสงตะวันสาดส่องไปทั่วท้องฟ้า

แสงสีแดงที่ปกคลุมท้องฟ้าไม่อาจบดบังรอยแผลบนร่างของคนผู้นั้นได้

สีของเลือดเหล่านั้นทอประกายยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ที่สาดส่องบนท้องฟ้าเสียอีก

เมื่อคนผู้นั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แววตาของตงหลิงหวงก็เริ่มขุ่นมัวเล็กน้อย นิ้วมือที่ถือแส้ไว้เริ่มซีดขาว

ทันใดนั้นก็มีเสียงม้าร้องดังก้อง ตงหลิงหวงหวดแส้ในมือและควบม้าห้อตะบึงออกไปจากสนามรบราวกับบินได้

“องค์รัชทายาท! ”

อู๋ซวงที่ยืนอยู่ด้านหลังตงหลิงหวงยังไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ตงหลิงหวงก็หายไปไม่เหลือแม้เงา

นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?

อู๋ซวงจ้องธงที่ติดคำว่า ‘หนานหลี’ ด้วยสายตาว่างเปล่า พลางมองตามทหารที่รายงานการสิ้นพระชนม์ตลอดทาง

เมื่อมองทหารผู้นั้น นางจึงเห็นกระบี่ที่เขาถือมาด้วย หลังจากมองอย่างละเอียด ก็พบว่ามันเหมือนกระบี่ล้ำค่าข้างกายมู่หรงฉี

หรือว่าฉีอ๋องจะ…

การแสดงออกของอู๋ซวงพลันเปลี่ยนไป นางหวดแส้ม้าอย่างแรงและไล่ตามตงหลิงหวง

เมื่อผู้นำกองทัพยวี่หลินเห็นเช่นนั้นจึงรีบไล่ตามอู๋ซวงไปทันที

“องครักษ์อู๋ นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? หากท่านกับองค์รัชทายาทจากไปแล้ว ที่นี่จะทำอย่างไร? ”

อู๋ซวงดึงบังเหียนแล้วเหลือบมองไปยังการรบพุ่งอันโกลาหลทางด้านหลัง

เวลานี้ นางและองค์รัชทายาทไม่สามารถจากไปได้จริงๆ

ทว่าเรื่องต่างๆ ไม่สำคัญอีกต่อไป

ความกังวลใจ ความสับสน และปฏิกิริยาขององค์รัชทายาทเมื่อครู่ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงสูญเสียการควบคุมไปแล้ว

นอกจากนั้น นางไม่สามารถปล่อยให้องค์รัชทายาทจากไปเช่นนั้นได้ เวลานี้นางต้องอยู่ข้างกายองค์รัชทายาท

หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว อู๋ซวงจึงพูดว่า “ที่นี่ให้เจ้าจัดการ แม่ทัพฮัว แม่ทัพซ่ง และแม่ทัพผาง ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าสงครามครั้งนี้ต้องชนะเท่านั้น ไม่อนุญาตให้แพ้ พวกท่านคงทราบว่าต้องทำอย่างไร”

พูดจบ นางก็หวดแส้ม้าและห้อตะบึงจากไปอย่างรวดเร็ว

องครักษ์กองทัพยวี่หลินตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะหันกลับไปตะโกนเสียงดัง “ฝ่าบาทและองค์รัชทายาททรงมีพระบัญชา สงครามครั้งนี้ต้องชนะเท่านั้น ไม่อนุญาตให้แพ้ พี่น้องทั้งหลาย ลุย! เมื่อการสู้รบเสร็จสิ้น พวกเราจะสามารถกลับบ้านไปกอดภรรยาและลูกๆ และกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน”

ทันทีที่สิ้นเสียงพูดขององครักษ์กองทัพยวี่หลิน ทหารแคว้นตงเฉินก็ลุกฮือราวกับถูกเทพสงครามครอบงำ พวกเขาสังหารกองทัพศัตรูอย่างบ้าคลั่ง

บางครั้ง การทำสงครามไม่เพียงขึ้นอยู่กับจำนวนคน กลยุทธ์ ความสามารถ และทักษะในการสู้รบของทหารเท่านั้น

แน่นอนว่าขวัญกำลังใจก็มีบทบาทในการสร้างแรงกระตุ้นและชี้ขาดเช่นกัน

ภายใต้ความแตกต่างที่ชัดเจนราวฟ้ากับเหวเช่นนี้ เดิมทีทหารแคว้นหนานหลีที่แตกกระเจิงไปแล้วยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกองทัพแคว้นตงเฉิน

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า ในเวลานี้ กระบวนท่าของ ‘ทหาร’ ที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับมู่หรงเยวี่ยจะยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้น

เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็สามารถกำจัดทหารยวี่หลินและทหารค่ายพยัคฆ์บินได้หลายคน ทั้งยังพามู่หรงเยวี่ยออกมาจากวงล้อมได้

มู่หรงเยวี่ยไม่คิดว่า ‘องครักษ์’ ที่อยู่ข้างกายจะมีความสามารถเช่นนี้

หลังจากตกตะลึงครู่หนึ่ง เคราของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย เขาต้องพูดอันใดบางอย่าง ทว่าไม่มีเวลาได้พูด

ศัตรูที่อยู่ด้านข้างรบพุ่งเข้ามาอีกครั้ง เขาจึงเข้าไปต่อสู้ท่ามกลางสงครามที่กำลังโกลาหล

เวลานี้ ตงหลิงหวงไม่ได้อยู่ในสนามรบ หากนางยังอยู่ นางคงพบว่าตนคุ้นเคยกับทักษะการต่อสู้ของคนผู้นี้จริงๆ

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่คนผู้นั้นพามู่หรงเยวี่ยออกมาจากวงล้อม ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าม้าห้อตะบึงก็ดังสะท้อนมาแต่ไกลราวกับแผ่นดินไหว

จากทิศทางของเสียง กลุ่มควันสีดำเคลื่อนตัว ฝุ่นและทรายลอยขึ้นฟ้าจนมองไม่เห็นสิ่งใด

ทุกคนในสนามรบพลันตื่นตระหนกและมองไปยังทิศทางของเสียงนั้น

บางคนถึงกับลืมไปว่ามีกระบี่จ่ออยู่ที่คอตนเอง

บางคนถึงกับลืมไปแล้วว่ากระบี่ในมือตนเองกำลังจะแทงเข้าที่หน้าอกของศัตรู บางคนก็ถึงกับลืมไปว่าแขนขาของตนเองขาดไปแล้ว

จนกระทั่งกลุ่มควันและฝุ่นตลบอบอวลนั้นเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ทุกคนถึงได้เห็นว่าเป็นกลุ่มคนสวมชุดดำ ขี่ม้าตัวสูงสีดำ ในมือถือกระบี่สีดำทองเย็นเยือก

“เป็นโยวอ๋องและฉางอันกงจู่… ”

ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกน ชั่วพริบตา ทหารที่เหมือนถูกสกัดจุดเหล่านั้นก็วิ่งกันอลหม่านราวกับถูกคลายจุด

โดยเฉพาะทหารแคว้นหนานหลีที่กำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ “เป็นฉางอันกงจู่… ฉางอันกงจู่มาช่วยพวกเราแล้ว… ”

“ฉางอันกงจู่มาช่วยพวกเราแล้ว… ”

ผู้ที่มาคือเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี คนกับม้าอยู่ในชุดสีดำทอง ด้านหลังของพวกเขาเป็นขุนพลผีของเยี่ยโยวเหยานั่นเอง

โยวอ๋องและซูจิ่นซีพาขุนพลผีมาแล้ว…

ทหารแคว้นหนานหลี ขวัญกำลังใจเดือดพล่านราวกับฝนที่ตกลงมาในหน้าแล้ง

เวลานี้ ทหารของแคว้นตงเฉินควรตื่นตระหนก

ตำนานกล่าวว่า ขุนพลผีแห่งวิหารวิญญาณของโยวอ๋องราวกับภูตผีจากขุมนรกที่มีชีวิต

แม้พวกเขาจะไม่เคยพบมาก่อน ทว่าชื่อเสียงอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็เป็นดั่งอัสนีบาต

ทหารแคว้นตงเฉินบางคนตื่นตระหนกจนไม่สามารถถืออาวุธในมือได้

เวลานี้ ผู้นำกองทัพแคว้นตงเฉินคือแม่ทัพฮัว แม่ทัพผาง และแม่ทัพซ่ง

แม่ทัพซ่งและแม่ทัพฮัวเป็นกองทัพหน้า แม่ทัพผางเป็นผู้บัญชาการ

เมื่อเห็นโยวอ๋องกับซูจิ่นซี ทั้งด้านหลังของพวกเขายังมีขุนพลผี พวกเขาทั้งสามคนก็หวาดกลัวเช่นกัน!

ทว่าในสนามรบ ชายชาตรีผู้ใดจะกล้าแสดงความขี้ขลาดต่อหน้าผู้คนกัน?

“เหล่าทหาร ลุยไปกับข้า! สังหารพวกมันอย่าให้เหลือ ฝ่าบาทและรัชทายาทสัญญาแล้วว่าจบศึกครั้งนี้ พวกเราสามารถยุติการรบและกลับบ้านได้! ”

จู่ๆ แม่ทัพผางก็ตะโกนเสียงดัง

เหล่าทหารแคว้นตงเฉินที่ภายในใจกำลังตื่นตระหนกพลันได้สติ พวกเขากำอาวุธในมือแน่นและพุ่งเข้าไปต่อสู้ด้วยความบ้าคลั่ง

เวลานี้ เยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซี และขุนพลผีได้มาถึงแล้ว ในไม่ช้า พวกเขาก็เข้าสู่การสู้รบในสงครามที่โกลาหล

มู่หรงฉีไม่อยู่ มู่หรงเยวี่ยเป็นผู้บัญชาการทัพแคว้นหนานหลี เขารีบออกไปต้อนรับด้านหน้าม้าของเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี

“กงจู่! ”

อย่างไรก็ตาม แคว้นหนานหลีและแคว้นตงเฉินกำลังทำสงคราม แม้ขุนพลผีของเยี่ยโยวเหยาจะมาด้วย ทว่าทหารแคว้นหนานหลีไม่มีทางเห็นคนของศัตรูอยู่ในสายตา

แม้บรรยากาศรอบตัวคนผู้นั้นจะเปี่ยมไปด้วยความโหดร้าย ทำให้ผู้คนไม่อาจละเลยได้ ทว่าเขาเป็นศัตรูของตนเอง ทั้งยังเป็นศัตรูของท่านจอมทัพอีกด้วย

เมื่อซูจิ่นซีเห็นว่า มู่หรงเยวี่ยไม่เห็นเยี่ยโยวเหยาอยู่ในสายตา นางจึงแสดงท่าทีไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด

“แม่ทัพมู่หรง ฉีอ๋องสั่งสอนพวกเจ้ามาเช่นนี้หรือ? ”

“ทูลกงจู่ ปกติแล้วท่านอ๋องมอบหมายงานทางการทหาร ให้พวกเราตามกฎของกองทัพ แม่ทัพนายกองกรำศึกของพวกเราทำสงครามมาทั้งชีวิต ยังคงแยกแยะศัตรูและฝ่ายเดียวกันได้พ่ะย่ะค่ะ”

ซูจิ่นซีหรี่ตาทั้งสองข้าง

“แยกแยะศัตรูและพวกเดียวกันได้หรือ เยี่ยโยวเหยา ดูเหมือนว่าท่านกับข้าทำเกินความจำเป็นเสียแล้ว มิสู้ร่วมมือกับแคว้นตงเฉินกำจัดแคว้นหนานหลีก่อน อย่างไรเสีย ทุกคนล้วนเป็นอุปสรรคต่อเส้นทางสู่จักรพรรดิ หากไม่มีแคว้นหนานหลี ปัญหาก็จะยิ่งน้อยลง”

มู่หรงเยวี่ยตกตะลึงครู่หนึ่ง เคราของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง “ฉางอันกงจู่ พระองค์ตรัสเช่นนี้ได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม… อย่างไรก็ตาม แคว้นหนานหลีก็เป็นบ้านเกิดของพระองค์ พระองค์จะก่อกบฏหรือ? ”

ซูจิ่นซีไม่แยแส “โอ้? แม่ทัพมู่หรงยังจำได้อีกหรือว่าข้าเป็นกงจู่แห่งแคว้นหนานหลี! ฮ่า ฮ่า แล้วเหตุใดท่านถึงลืมสถานะราชบุตรเขยเล่า! ”

นางพูดพลางเหลือบตามองเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านหลัง

เคราของมู่หรงเยวี่ยสั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้ง ท่าทางของเขาขึงขังผิดปกติ

นี่มันยามใดแล้ว เรื่องชีวิตคนสำคัญดุจฟ้าสวรรค์ กงจู่ผู้นี้ยังต่อปากต่อคำกับเขาเช่นนี้ จริงๆ เลย… นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายเชียวนะ