บางเรื่อง อาจไม่สนใจสถานการณ์ได้
ผู้อื่นอาจไม่ใส่ใจ ทว่าซูจิ่นซีชัดเจนในใจมากว่าบุรุษผู้สูงส่งที่อยู่ข้างหลังนางใส่ใจในเรื่องนี้ยิ่งนัก
ดังนั้น นางจึงต้องทำ
ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับเรื่อง ‘สถานภาพ’ อีกด้วย
เมื่อเห็นมู่หรงเยวี่ยรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย และไม่พูดจาอยู่ครึ่งค่อนวันด้วยใบหน้าดำทะมึน ท่าทางเฉยเมยของซูจิ่นซีจึงเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
“หึ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่สนใจอันใดอีก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เล็ก ข้าเติบโตที่แคว้นจงหนิง ไม่มีความรู้สึกอันใดกับแคว้นหนานหลี ชีวิตนี้ของข้ามีเพียงพระสวามีที่สามารถไว้วางใจได้ จะช่วยหรือไม่ช่วยผู้ใด ขึ้นอยู่กับพระสวามีของข้า”
ซูจิ่นซีพูดพลางหันศีรษะไปมองเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านหลัง “ท่านอ๋อง ท่านตัดสินใจเถิด! ”
ดวงตาดำขลับล้ำลึกของเยี่ยโยวเหยาลุกโชนดั่งเปลวเพลิง เขาอดกลั้นอย่างสุดความสามารถ และมองซูจิ่นซีด้วยแววตาเป็นประกาย
เขาตื่นเต้นกับสิ่งที่ซูจิ่นซีพูดเมื่อครู่! ไม่มีทางสนใจเรื่องอื่นไปมากกว่านี้
เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากเยี่ยโยวเหยาเป็นเวลานาน ซูจิ่นซีจึงเลิกคิ้วมองเยี่ยโยวเหยาและส่งเสียงเรียก “ท่านอ๋อง! ”
เวลานี้ ซูจิ่นซีสวมชุดเกราะสีดำ ห่อหุ้มร่างเล็กทั้งร่างด้วยโลหะสีดำหนักอึ้ง เส้นผมยาวสีดำขลับมัดรวบเป็นหางม้าสูง เส้นผมสีดำจำนวนหนึ่งที่จอนหูดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย
นางคงไม่รู้ว่าขณะที่นางกะพริบตาปริบๆ เมื่อครู่นั้น ช่างน่ารักและมีเสน่ห์เพียงใด
สำหรับเยี่ยโยวเหยาแล้ว มันช่างยั่วยวนยิ่งนัก
เยี่ยโยวเหยาแทบเป็นบ้าแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ ใต้สะดือลงไปสามนิ้วยังสามารถตอบสนองได้อีก
ขาทั้งสองข้างของเขาหนีบท้องม้า กระตุ้นให้มันเดินไปหาม้าของซูจิ่นซีหนึ่งก้าว จากนั้นจึงดึงมือซูจิ่นซีอย่างแรงเพื่อให้นางขึ้นมาบนม้าตนเอง
ซูจิ่นซีตกใจเล็กน้อย นางโอบลำคอของเยี่ยโยวเหยาเอาไว้
มู่หรงเยวี่ยที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นสิ่งนี้จึงคิดว่าเยี่ยโยวเหยาเห็นด้วยกับคำพูดของซูจิ่นซี
อย่างไรเสีย สถานการณ์ในตอนนี้ก็เร่งด่วน ในสนามรบ เขาเห็นขุนพลผีที่ต่อสู้อยู่กับกองทหารแคว้นตงเฉินกำลังแสดงท่าทีถอนทัพอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงกัดฟันแน่นและทำความเคารพเยี่ยโยวเหยา
“โยวอ๋อง เมื่อครู่กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว”
กลับไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาไม่แม้แต่จะชายตามองมู่หรงเยวี่ย เขาโอบซูจิ่นซีพลางหวดแส้ม้าเบาๆ และจากไป
ม้าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็หันศีรษะกลับมาพูดว่า “ท่านแม่ทัพมู่หรง ผิดแล้ว เป็นราชบุตรเขย! ”
แม้เสียงนั้นจะแผ่วเบาอย่างมาก ทว่ากลับมีแรงกดดันที่มองไม่เห็น
มู่หรงเยวี่ยรีบแก้คำพูด “พ่ะย่ะค่ะ ท่านราชบุตรเขย เมื่อครู่กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว”
แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าน้ำเสียงในครั้งนี้ ไม่หลงเหลือความไม่เต็มใจเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว
เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีขี่ม้าด้วยกัน พวกเขายืนอยู่นอกสนามรบ มองแคว้นตงเฉิน แคว้นหนานหลี และขุนพลผีต่อสู้กัน
ด้านหน้าเป็นสนามรบอันโหดร้าย การสังหาร ซากศพที่ทับถม และเลือดที่ราวกับลำธารสายเล็ก
ในช่วงเวลาสำคัญนี้ ท่านโยวอ๋องยังมีจิตใจเกี้ยวพาราสีอยู่อีก ช่าง… น่าระอา
ซูจิ่นซีรู้สึกได้ถึงฝ่ามือหนาและใหญ่ที่ลูบไล้บริเวณท้องน้อยของนางไม่หยุด นางขมวดคิ้วอย่างแรงและจับมือปลาหมึกนั้นไว้
“เยี่ยโยวเหยา ท่านพอได้แล้ว! ”
“ไม่พอ! ”
เยี่ยโยวเหยาพูดพลางซุกไซ้ริมฝีปากเย็นยะเยือกของตนกับซอกคอของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีรู้สึกเสียวซ่านไปทั้งกาย นางขมวดคิ้วแน่น “เยี่ยโยวเหยา ท่านดูสถานการณ์หน่อยได้หรือไม่ ที่นี่คือสนามรบ”
ลมหายใจหนักแน่นของบุรุษ เยี่ยโยวเหยาซุกไซ้อยู่ที่ซอกคอของซูจิ่นซี “พูดดั่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่อีกครั้งสิ”
หืม? คำพูดเมื่อครู่?
ซูจิ่นซีสับสนเล็กน้อย
นางครุ่นคิดอย่างละเอียด ระหว่างทางที่มานั้นปกติอย่างมาก ตอนที่สถานการณ์ผิดปกติก็มีเพียงยามที่นางสนทนากับมู่หรงเยวี่ยเมื่อครู่
ตอนนั้นนางพูดตั้งมากมาย…
ทว่าสิ่งเดียวที่สามารถยั่วยุท่านอ๋องผู้นี้ได้ก็มีเพียงประโยคนั้น…
“พระสวามี… ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ร่างกายของเยี่ยโยวเหยาแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่จุมพิตของเยี่ยโยวเหยากำลังจะประทับลงมา ซูจิ่นซีก็ใช้แขนของตนปิดปากของเยี่ยโยวเหยาได้ทันเวลา
“ท่านอ๋อง ท่านอดกลั้นหน่อยเพคะ! ที่นี่คือสนามรบ สนามรบ สนามรบเพคะ! ”
เรื่องเช่นนี้อดกลั้นได้ด้วยหรือ?
ตกลง เห็นทีคงต้องอดกลั้นเสียแล้ว!
เวลานี้ ผู้คนจำนวนมากในสนามรบต่างเห็นสถานการณ์ทางนี้เรียบร้อยแล้ว
เหล่าทหารขุนพลผีอยู่ข้างกายเจ้านายทั้งสองมานานหลายปี แม้พวกเขาจะคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งประสาทสัมผัสยังถูกปิดกั้น ทว่าเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาก็หลีกเลี่ยงอาการตกตะลึงเล็กน้อยไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ตกใจมากที่สุดคือ เหล่าทหารแคว้นตงเฉินและแคว้นหนานหลี
โอ้ พระเจ้า…
พวกเขาเห็นอันใดกัน?
ตามคำเล่าลือ เยี่ยโยวเหยาทั้งป่าเถื่อน เจ้าเล่ห์ โหดร้าย และไม่ใกล้ชิดอิสตรี ทั้งยังไม่รู้ว่าสิ่งใดคือความรักและการทะนุถนอม ไม่ใช่หรือ?
ผู้ที่อยู่บนหลังม้านั้นคือผู้ใดกันแน่?
ข่าวลือไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย!
ข่าวลือไม่น่าเชื่อ!
ในเวลาเดียวกัน มู่หรงเยวี่ยที่ยืนอยู่ในระยะไกลพลันขมวดคิ้วมุ่น ทว่าไม่ใช่เพราะเรื่องของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา
ทว่าเป็นเพราะ… นายทหารที่ก่อนหน้าร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ และช่วยเขาออกมาจากวงล้อมของกองทัพยวี่หลิน ทหารค่ายพยัคฆ์บิน และกองทัพวิหคสวรรค์ สามกองทัพยอดฝีมือ คนผู้นั้นหายตัวไปแล้ว
เขายืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงเล็กน้อย เมื่อกวาดสายตามองไปทางฝูงชนหลายครั้ง กลับไม่เห็นแม้เงา
คนผู้นั้นฝีมือไม่ธรรมดา ทั้งยังมีวรยุทธ์สูงส่ง หากเขายังอยู่ในสนามรบ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ย่อมแตกต่างจากผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด มู่หรงเยวี่ยย่อมสังเกตเห็นทันที
ทว่าเวลานี้ คนผู้นั้นไม่ได้อยู่ในสนามรบแล้ว
เขาไปที่ใด?
เขาคือใคร?
……
เวลานี้ เส้นทางจากค่ายทหารแคว้นหนานหลีไปยังหุบเขามรณะ มีม้าชั้นดีคู่หนึ่งกำลังพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว
คนที่อยู่บนหลังม้าสวมชุดเกราะ กล้าหาญ และไร้เทียมทาน ทว่าพวกนางไม่ได้ปิดบังว่าตนเองเป็นอิสตรี
คนผู้นั้นคือตงหลิงหวง หลังจากได้ยินข่าวการสิ้นพระชนม์ของมู่หรงฉี นางก็ขี่ม้าห้อตะบึงไปยังหุบเขามรณะอย่างรวดเร็ว
ใกล้พลบค่ำ พระจันทร์ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
แม้แสงจันทร์จะไม่เจิดจ้ามากนัก ทว่าลำแสงบางเบากลับปกคลุมชุดเกราะสีทองบนร่างนั้น
ทำให้สตรีที่เดิมทีหล่อเหลาไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ยิ่งทวีความงดงามจนผู้คนไม่อาจมองโดยตรงได้
ขณะที่ตงหลิงหวงกำลังหวดแส้ม้าขึ้นไปบนยอดเขา ทันใดนั้น รอบด้านก็เกิดเสียงหวีดหวิวของลมหนาว
ลมระลอกนี้แปลกประหลาดเล็กน้อย คราแรก ตงหลิงหวงหยุดม้าและเพิ่มความระแวดระวัง นางนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยสายตาเฉียบคมและสงบนิ่ง
“องค์รัชทายาท พระองค์… พระองค์ช้าลงหน่อย! ”
อู๋ซวงที่ควบม้าตามมาด้านหลัง ในที่สุดก็ตามตงหลิงหวงทัน ทว่าทันทีที่ส่งเสียง นางก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ
นางยังไม่ทันได้ตอบสนอง ชั่วพริบตา คนชุดดำสี่คนก็กระโดดออกมาจากทั้งสี่ด้านของตงหลิงหวง พวกเขาถือกระบี่ที่ส่องแสงแวววาวอยู่กลางอากาศ ก่อนจะกระโจนใส่ตงหลิงหวงราวกับนกอินทรีตัวผู้ที่กำลังจะฆ่าเหยื่อ
แม้ตงหลิงหวงจะมีวรยุทธ์สูงส่ง ทว่านางไม่สามารถป้องกันการลอบโจมตีเช่นนี้ได้!
และเมื่อดูวรยุทธ์ของคนทั้งสี่ พวกเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
“องค์รัชทายาทระวัง! ”
อู๋ซวงรีบส่งเสียงห้าม หัวใจของนางแทบกระโจนมาที่ลำคอแล้ว
อย่างไรก็ตาม คิดไม่ถึงว่าขณะที่กระบี่ทั้งสี่เล่มพุ่งตรงมาทางตงหลิงหวง วินาทีถัดมา นางกลับเอนตัวไปด้านหลังด้วยร่างกายและท่าทางที่พลิ้วไหว และใช้กระบี่ในมือขวางกระบี่ยาวของคนทั้งสี่
แม้กระบี่ยาวของคนทั้งสี่จะสังหารตงหลิงหวงไม่สำเร็จ
ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งน่าเป็นกังวลอย่างมาก!
อู๋ซวงตกประหม่าจนไม่กล้าส่งเสียง
ชายชุดดำทั้งสี่ร่วมมือกันโจมตีอีกครั้ง ร่างของตงหลิงหวงเอนไปข้างหลัง กีบเท้าม้าทั้งสี่ข้างจมลงไปในดินแล้ว
“ฮี่… ” ในที่สุด ม้าก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป มันยกเท้าด้านหน้าขึ้นชี้ฟ้าและคำรามเสียงยาว
กระบี่ยาวในมือตงหลิงหวงฟาดออกไปเสียงดัง ‘วืด’ กระบี่ยาวในมือชายชุดดำแทงเข้าไปกลางอกของตงหลิงหวง
อู๋ซวงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางรีบเหาะเข้าไปหาตงหลิงหวงอย่างไม่คิดชีวิต