ขณะที่ปลายกระบี่ทั้งสี่ด้ามอยู่ห่างจากหน้าอกของตงหลิงหวงเพียงครึ่งชุ่น
“อ้าก… ”
ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด เสียงกรีดร้องโหยหวนพลันดังขึ้น นางเห็นเพียงแสงสว่างวาบสีขาว จากนั้น มือที่ถือกระบี่ของนักฆ่าชุดดำทั้งสี่ก็ถูกตัดขาด
บุคคลที่สวมชุดทหารอุ้มตงหลิงหวงขึ้นมาบนม้า และพุ่งทะยานไปยังจุดที่ปลอดภัย
ท่ามกลางแสงจันทร์บนท้องฟ้า ทหารผู้นั้นทำผ้าพันรอบศีรษะของเขาตก ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิงจนพันกับเส้นผมของตงหลิงหวง
ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง
ช่างเป็นใบหน้าที่ธรรมดาอย่างมาก ธรรมดาจนนางแทบจำเขาไม่ได้
ทว่าแวบแรก ตงหลิงหวงก็จำได้ทันทีว่า เขาคือคนเดียวกับทหารผู้นั้นที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับมู่หรงเยวี่ย ก่อนที่เขาจะโจมตีกองทัพยวี่หลิน ทหารค่ายพยัคฆ์บิน และกองทัพวิหคสวรรค์ และช่วยมู่หรงเยวี่ยฝ่าวงล้อมออกมา
ทันทีที่ทั้งสองลงมาอยู่บนพื้น อู๋ซวงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยปากพูดอย่างไม่พอใจ “กล้ามาก บังอาจล่วงเกินรัชทายาท ยังไม่ปล่อยมืออีก”
ตงหลิงหวงเพิ่งรู้ตัวว่ามือข้างหนึ่งของคนผู้นั้นโอบรอบคอของนาง ส่วนมืออีกข้างก็โอบรอบเอวของนาง
ความเป็นศัตรูและคำตำหนิของอู๋ซวงนั้นชัดเจนอย่างมาก ทว่าคนผู้นั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือ
อู๋ซวงเดินเข้ามาใกล้แล้วผลักคนผู้นั้นอย่างแรง เขาจึงปล่อยตงหลิงหวง
ทว่าวินาทีถัดมา ตงหลิงหวงกลับใช้มือฉีกหน้ากากหนังมนุษย์ออกจากใบหน้าของคนผู้นั้น
อู๋ซวงตกใจชะงักงันอยู่กับที่ “ฉี… ฉีอ๋อง… ”
เป็นไปได้อย่างไร…
เป็นมู่หรงฉีได้อย่างไร???
มู่หรงฉีไปหุบเขามรณะแล้วมิใช่หรือ?
เขาตายด้วยน้ำมือของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินแล้วมิใช่หรือ?
ดวงตาของตงหลิงหวงเต็มไปด้วยความตกใจ
เมื่อครู่ ตอนที่จ้องใบหน้าของบุรุษผู้นั้น นางเพียงมองออกว่าบนใบหน้าของคนผู้นั้นมีหน้ากากหนังมนุษย์ กลับไม่คาดคิดว่าภายใต้หน้ากากหนังมนุษย์จะเป็นใบหน้าเช่นนี้
ภาพในหัวฉายซ้ำไปมาราวกับภาพยนตร์ กระบวนท่าคุ้นเคยที่คาดเดาไม่ออก รูปร่างที่คุ้นเคย ดวงตาที่คุ้นเคยนั้น…
นางควรคิดได้ตั้งนานแล้ว น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว
“หวงเอ๋อร์… ”
มู่หรงฉีมองดวงตาแดงก่ำเล็กน้อยของตงหลิงหวงด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง เขายื่นมือออกไป คิดจะสัมผัสแก้มของตงหลิงหวงด้วยความรัก
ตงหลิงหวงพลันรู้สึกตัว นางก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อหลบหลีกมือของมู่หรงฉี
“ฉีอ๋อง ล้อเล่นเช่นนี้สนุกมากหรือไม่? ”
“หวงเอ๋อร์… ข้าไม่ได้… ”
“หวงเอ๋อร์ ฆ่าเขาเลย ฆ่ามู่หรงฉี”
มู่หรงฉียังไม่ทันพูดจบ ด้านหลังก็มีเสียงสุขุมที่ผู้คนไม่อาจต่อต้านได้ดังขึ้น
ไม่ต้องหันกลับไปมอง ตงหลิงหวงก็สามารถแยกแยะได้ว่านี่คือเสียงของฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน เสด็จพ่อของนาง
เสียงฝีเท้าจำนวนมาก เสียงควบม้า เสียงล้อ และเสียงต่างๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
ตงหลิงหวงไม่ได้หันหลังกลับไป
แววตาของอู๋ซวงยังคงตกตะลึงอยู่เช่นนั้น เมื่อเห็นฮ่องเต้และท่านเฟิงพาคนและม้ามา นางก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม
“องค์รัชทายาท… ”
อู๋ซวงส่งเสียงเตือนตงหลิงหวงเบาๆ
ฝ่าบาททรงสงสัยรัชทายาทแล้ว เวลานี้รัชทายาทไม่ควรทำให้ฝ่าบาทเข้าพระทัยผิดอีก
“ฉีอ๋อง… ”
พระสุรเสียงของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินเย็นชาเล็กน้อย ครู่ต่อมา องครักษ์กองทัพยวี่หลินนายหนึ่งก็ผลักบุรุษที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดออกมาต่อหน้าผู้คน
เขาคือคนที่ปลอมตัวเป็นมู่หรงฉีและไปยังหุบเขามรณะเพื่อพบฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน เขาคือหลินเฟิง ผู้ที่เป็นหนึ่งในยอดฝีมือ และเป็นลูกน้องที่มีวรยุทธโดดเด่นที่สุดของมู่หรงฉี
“ท่านอ๋องรีบหนี! พวกเขามีกองทัพจำนวนมาก รีบหนีเร็ว! ”
หลินเฟิงบาดเจ็บสาหัส ทว่าในช่วงเวลาสำคัญนี้ เขายังไม่ลืมกล่าวเตือนเจ้านายของตน
ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของหลินเฟิง ตงหลิงหวงก็ดึงพัดของตนออกมาจากเอวเสียงดัง ‘พรึบ’
ชั่วพริบตาที่กางพัด ใบมีดรูปเพชรที่ทอแสงเย็นเยือกก็ปรากฏขึ้นบนด้ามพัด เปี่ยมไปด้วยไอสังหาร
ผู้ที่รู้จักตงหลิงหวงย่อมรู้ดีว่าในมือของรัชทายาทตงหลิงหวงมีพัดหนึ่งเล่ม แท้จริงแล้ว มันคือพัดเหล็กที่ทาทับด้วยสีหยก
วันเวลาผ่านไปนับไม่ถ้วน
รัชทายาทตงหลิงหวงไม่เคยใช้พัดเล่มนี้โดยง่าย
เมื่อดึงออกมาใช้งาน แสดงว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง นางต้องฆ่าให้ตาย หากไม่ตายก็ต้องได้รับบาดเจ็บ
“มู่หรงฉี แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหนานหลีพ่ายแพ้ยับเยินไปนานแล้ว วันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า ตายเสียเถิด! ”
ขณะที่พูด พัดในมือก็ปรากฏไอสังหาร นางโจมตีไปที่ดวงตาของมู่หรงฉี
มู่หรงฉีไม่ได้ตอบโต้ เขาเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย หลบกระบวนท่าของตงหลิงหวงอย่างต่อเนื่อง
เขาเอ่ยด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น “หวงเอ๋อร์ ข้าเคยพูดแล้วว่าจะไม่มีวันเผชิญหน้ากับเจ้าด้วยกระบี่”
ผู้อื่นอาจมองไม่ออก ทว่าอู๋ซวงที่อยู่ข้างกายตงหลิงหวงมานานย่อมรู้จักตงหลิงหวงดีที่สุด
แม้ตงหลิงหวงจะหยิบอาวุธสังหารออกมา ทว่านางไม่ได้ตั้งใจจะฆ่ามู่หรงฉีจริงๆ
นางกำลังประหม่า และพยายามปกปิดอย่างเห็นได้ชัด
นางไม่รู้ว่าเสด็จพ่อของนางมีการเตรียมการและมีแผนสำรองมากน้อยเพียงใด เกรงว่าหากปล่อยให้พวกเขาจัดการ มู่หรงฉีจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน
แทนที่จะปล่อยให้สถานการณ์อยู่เหนือการควบคุม มิสู้ชิงลงมือก่อน เพื่อให้ทุกเรื่องอยู่ในการควบคุมของนางดีกว่า
ทำเช่นนี้ อย่างน้อยนางก็สามารถรับประกันชีวิตของมู่หรงฉีได้
อู๋ซวงยังดูออก เหตุใดมู่หรงฉีจะดูไม่ออก?
ตอนนี้ในดวงตาและหัวใจของเขาเต็มไปด้วยตงหลิงหวง เขาย่อมมองเห็นทุกความคิดอันเฉียบคมของตงหลิงหวงอย่างชัดเจน
เขามองตงหลิงหวงที่อยู่ตรงหน้าไล่ฆ่าตนเองอย่างบ้าคลั่ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับคาดการณ์ทิศทางการหลบของเขาได้ ตงหลิงหวงออมมือสามส่วนอย่างเหมาะสม
ในทิศทางที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรักเอ็นดูสุดหัวใจ
“หวงเอ๋อร์ เจ้าเป็นห่วงข้าใช่หรือไม่? ”
ตงหลิงหวงกัดฟันแน่น ท่าทางของนางเคร่งขรึม ทั้งน้ำเสียงยังเย็นชาอย่างมาก “มู่หรงฉี พูดจาไร้สาระให้น้อยหน่อย ชักอาวุธของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้! ”
มู่หรงฉียกยิ้มมุมปากแผ่วเบา ก่อนจะชักกระบี่ออกมาเสียงดัง ‘ชริ้ง’ “ตกลง วันนี้เจ้ากับข้าจะมอบการแสดงให้พวกเขาสักฉากหนึ่ง”
ในที่สุด มู่หรงฉีก็ถือกระบี่ไว้ในมือ บรรยากาศโดยรอบเริ่มตึงเครียด
มู่หรงฉีหันหลังให้ทุกคนตั้งแต่แรก ดังนั้นอู๋ซวงและทุกคนจึงไม่อาจมองเห็นสีหน้าของมู่หรงฉีได้อย่างชัดเจน
เมื่อเห็นแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น ทำให้อู๋ซวงตกตะลึง
เกิดอันใดขึ้นกับฉีอ๋องผู้นี้?
หรือว่า… เขาถูกรัชทายาทยั่วโมโหเข้าแล้วจริงๆ ?
ในช่วงแรก ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินเห็นทั้งสองเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด พระองค์จึงทอดพระเนตรตงหลิงหวงด้วยความพอพระทัย
ทว่าไม่นาน พระองค์ก็ทรงพบเบาะแสบางอย่าง
สองคนนี้เพียงแสดงละครเท่านั้น ไม่ได้ต่อสู้กันจริง!
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินจึงเหลือบมององครักษ์กองทัพวิหคสวรรค์ที่อยู่ข้างกาย
เหล่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาพลันเข้าใจความหมาย ยอดฝีมือหลายสิบคนรีบพุ่งเข้าไปช่วยตงหลิงหวงต่อสู้กับมู่หรงฉี
ครั้งนี้มู่หรงฉีต้องต้านทานด้วยพลังทั้งหมดแล้ว
ตงหลิงหวงสบถอยู่ในใจ
หรือว่า… เสด็จพ่อทอดพระเนตรเห็นแล้ว?
ทั้งสองฝ่ายยืนเผชิญหน้ากัน ทันใดนั้น นักฆ่าชุดดำก็โผล่พรวดออกมาจากความมืด พวกเขาแต่งกายเหมือนนักฆ่าที่ลอบสังหารตงหลิงหวงก่อนหน้านี้
กลุ่มคนจำนวนหนึ่งเริ่มโจมตี หมายสังหารฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งโจมตีมาทางตงหลิงหวง
ครั้งนี้ทุกคนไม่ลงมือไม่ได้แล้ว สถานการณ์พลันวุ่นวาย
คนชุดดำเหล่านี้คือผู้ใด?
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพุ่งเป้ามาที่ตงหลิงหวงและฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน
พวกเขาเป็นฝ่ายใดกันแน่?